ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

รูปแบบการสอนธรรมมะ

เริ่มโดย เณรเทือง, 07:49 น. 21 ก.พ 56

เณรเทือง

ผมกำลังสงสัยว่าทำไมพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายๆรูปทั้งที่มรณะภาพไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ มีรูปแบบการสอนที่ต่างออกไป
ทำไมไม่สอนหลักการของพุทธแบบตรงไปตรงมานั่นคือหลักความหลุดพ้น (นิพพาน) ซึ่งหนทางที่จะนำไปสู่นิพพานนั่นคือมรรคมีองค์แปด, หนทางไปสู่มรรคแปดคือกุศลกรรมบท 10, หนทางไปสู่กุศลกรรมบท 10 คือศีลห้า, หนทางสู่ศีลห้าคือการทำความดีละเว้นความชั่ว ฯลฯ.
เพราะบ้างก็สอนให้ทำบุญหนักๆบริจาคหนักๆ บอกว่าสวรรค์รออยู่ข้างหน้า
บ้างก็สอนให้สวดมนต์หลายร้อยจบ บอกว่าชีวิตจะดีขึ้นสามีจะไม่ทิ้ง ฯลฯ
บ้างก็สอนว่าอย่ากินเนื้อ ให้กินแต่ผัก แล้วจะดี
บ้างก็เทศนาธรรมในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจนผู้ฟังไม่เคยได้เข้าถึงหลักการโดยตรง
บ้างก็เทศนาธรรมมีเนื้อหายาวนาน ต้องใช้เวลามากในการติดตาม
อันที่จริงเรื่องง่ายๆของพุทธ หลักปฏิบัติเบื้องต้นสู่ระดับสูงน่าจะเข้าใจง่ายกว่า
แต่ทำไมถูกแปลงเป็นปรัชญาอันน่าเบื่อ (ในบางสำนัก)

เพิ่งพบธรรม

พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองว่าหลักคำสอนเหล่านั้นเป็นไปเพื่อความละกิเลสและเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นหรือไม่ การที่จะละกิเลสเพื่อความสุขอันไพบูลย์ ต้องดำเนินทางองค์มรรค ๘ ซึ่งก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ดังนี้
  ศีล
๑.สัมมาวาจา วาจาชอบ
    -มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ
    -ปิสุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากการพูดส่อเสียด
    -ผรุสายวาจาย เวรมณี เว้นจากการพูดคำหยาบ
    -สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ไร้ประโยชน์
๒.สัมมากัมมันโต การงานชอบ
    -ปาณาติปาตา เวรมณี
    -อทินนาทานา เวรมณี
    -กาเมสุมิจฉา เวรมณี
๓.สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ เว้นจาก
    -ขายสุรา ยาพิษ สิ่งเสพติด
    -ศัตราวุธ
    -ขายสัตว์มีชิวิตต้องเอาไปฆ่า
สมาธิ(ภาวนามัย)
๑.สัมมาวายาโม เพียรชอบ
    -สังวรปธาน เพียรระวังอกุศลวิตก ๓(โลภะ โทสะ โมหะ)ที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด
    -ปหานปธาน เพียรละอกุศลวิตก ๓ ที่เกิดแล้วให้หายไป
    -ภาวนาปธาน เพียรเจริญกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด
    -อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดแล้วไว้ให้บริบูลณ์
๒.สัมมาสติ ระลึกชอบ ให้ระลึกอยู่ในสติปัฏฐาน ๔
    -กายานุสติปัสสนา ระลึกถึงกาย
    -เวทนานุสติปัสสนา ระลึกถึงเวทนา
    -จิตตานุปัสสนา ระลึกถึงจิต
    -ธัมมานุปัสสนา ระลึกถึงธรรม
๓.สัมมาสมาธิ ความตั้งใจชอบ ตั้งใจในองค์ณานทั้ง ๔
    -ปฐมณาน
    -ทุติยณาน
    -ตติยณาน
    -จตุตถณาน
ปัญญา
๑.สัมมาสังกัปโป ดำริชอบ
    มีปัญญาพิจารณาเห็นโทษของกาม เห็นอานิสงส์ของเนกขัมมะ จึงคิดดำริออกจากกาม
๒.สัมมาทิฎฐิ ความเห็นชอบ
    เห็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ถามว่า องค์มรรค ๘ ใครๆก็รู้แต่ทำไมเดินกันไม่ใคร่จะถูก
ท่านตอบว่า ที่เดินไม่ถูกเพราะชอบเดินทางเก่าซึ่งเป็นทางที่ชำนาญ ทางเก่าคือ
-กามสุขัลลิกานุโยค การทำตนให้หมกมุ่นติดอยู่ในกามสุข
-อัตตกิลมถานุโยค ได้แก่ผู้ปฏิบัติผิด แม้ประพฤติเคร่งครัด ก็ไม่สำเร็จประโยชน์มรรค ผล นิพพาน
เพื่อไม่ดำเนินตามทางดังกล่าว พระพุทธเจ้าให้ดำเนินทางสายกลาง มัชณิมาปฎิปทาที่พระองค์ทรงแสดงก่อนธรรมอื่นๆ
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
สรุป ถ้าคำสอนใดๆที่เดินตามองค์มรรค ๘ (ศีล สมาธิ ปัญญา) ดำเนินไปในทางสายกลาง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น
น่าจะเป็นคำสอนที่ถูกต้อง ส่วนคำสอนต่างๆที่กระทู้ยกมา คิดว่ายังไม่สามารถสรุปว่าถูกหรือผิดอาจจะด้วยปัญญาอันน้อยนิด
อีกอย่างก็กลัวปาปอันอาจจะเกิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการไปล่วงเกินพระผู้ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ
อ้างอิงจากหนังสือ "ธัมมานุธัมมปฎิปัตติ"

   
   

คุณหลวง

    ผมชอบท่านพี่เณรก็ตรงนี้แหละครับ มีอะไรให้ขบคิดอยู่เสมอๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระยะหลังๆมานี้ สมองของผมไม่ค่อยได้ตั้งข้อสังเกตอะไรให้มาขบคิดเอง อาศัยความสงสัยของคนอื่นมาคิด ซึ่งได้รับสิ่งนี้เสมอจากท่านพี่เณรเทือง คิดแล้วตอบบ้างไม่ตอบบ้างตามโอกาสจะอำนวยให้ แต่ก็คงจะตอบมากพอดูจึงมีเพื่อนบางท่านว่าผมทำตัวเป็นกูรู ความจริงมันก็เป็นการแลกเปลี่ยนกัน มีอะไรคิดอย่างไรก็ว่ากันไป บางทีเอาแต่ใจตนมั่งอะไรมั่งก็นะ...อย่าถือสา ถือสาระกันดีกว่า

    มาว่ากันในหัวข้อนี้ นี่ผมถือว่าน่าจะเป็นภาคต่อของหัวข้อว่าด้วยระบบสำนัก เพียงแตกประเด็นต่อลงมาอีกชั้นหนึ่ง แต่เอาแค่ส่วนของสาระครับ ไอ้ที่ไร้สาระก็อย่าเอามาต่อกัน (หากจะมีก็คงเป็นการเริ่มใหม่ อิอิ) ในที่นี้ผมขอแสดงความคิดเห็นในส่วนของพระผู้ที่สอนธรรมเพื่อธรรมนะครับ ยกพวกที่สอนเอาลาภ เอาอะไรๆแปลกๆไว้ก่อน  ไม่มีเวลาพูดถึง

    ผมขอเริ่มต้นตรงที่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ดำริที่จะบอกธรรมแก่ชนทั้งหลาย พระองค์ตรองแล้วถึงกับไม่รู้ว่าจะสอนอย่างไรดีจนนึกท้อพระทัย (มาตรงนี้ ตำรากล่าวว่าสหัมบดีพรหมลงมาอาราธนาให้สอน ด้วยเหตุผลว่ายังมีคนที่ธุลีเบาบางในดวงตายังมีอยู่ พระองค์จึงสอน แต่ผมไม่ค่อยถนัดนัก เพราะส่วนตัวเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญธรรมบารมีมาเอนกชาติเพื่อการนี้โดยเฉพาะ จะอย่างไรพระองค์ต้องทำอยู่แล้ว เพียงการท้อนั้นเกิดจากการเห็นว่าธรรมนั้นลึกซึ้งนักเกินคนจะเข้าใจได้ง่ายๆ จึงอาจจะคิดอยู่ว่าจะสอนอย่างไรดีเท่านั้น (แต่จะมีพรหมมาอาราธนาก็ไม่น่าจะแปลกนะ..เฮ้อ แล้วจะคิดทำไมคุณหลวง)

    พระองค์มีวิธีการและอุบายในการสอนหลายรูปแบบ ขึ้นกับธาตุ จริต และอุปนิสัยบารมีของแต่ละองค์แต่ละท่าน ซึ่งพระองค์ได้เปรียบตรงสามารถรู้อุปนิสัย บารมี ธาตุจริตของแต่ละคนอย่างชัดเจน
    พระองค์สอนวัคคีย์ทั้งห้า ด้วยเนื้อหาสาระ ประกอบด้วยหนทาง ข้อปฏิบัติ และผลอย่างแจ่มแจ้ง จนเกิดภิกษุรูปแรก
    พระองค์สอนท่านยสะ(และอีกหลายท่าน)ด้วยอนุปุพพิกกถา ว่าไปตามลำดับ
    สอนอุรุเวลกัสสปะด้วยการแสดงฤทธิ์ข่ม
    สอนพาหิยะด้วยคำสอนสั้นๆ ไร้ศีล ๕ ไร้กุศลกรรมบถ ไร้อริยะมรรคมีองค์แปด ไร้นิพพาน แต่เกิดพระผู้ทรงคุณด้านตรัสรู้เร็ว
    สอนจุลปันถกด้วยการให้ผ้าเช็ดฝุ่นไปขยี้ซ้ำๆซากพร้อมภาวนาว่า"ผ้าเช็ดฝุ่นก็เช็ดฝุ่นสิ"
    สอนนันทะด้วยการเอานางสวรรค์มาล่อให้ปฏิบัติธรรม
    สอนฉันนะไม่ได้ ต้องให้สงฆ์ลงโทษหลังเสด็จดับขันธ์ไปแล้ว       ฯลฯ

    ที่ผมยกตัวอย่างท่านเหล่านี้มาอ้าง เพื่อที่จะบอกว่า แม้ว่าธรรมเป็นหนึ่งเดียว แต่พระพุทธองค์มีหลากหลายวิธี หลากหลายเนื้อหา หลากหลายสาระในการสอนแต่ละคนแต่ละกลุ่มไปตามจริตธาตุ อุปนิสัย บารมีที่แต่ละคนสั่งสมมา มีอุบายนานัปการเพื่อผลแก่บุคคลผู้ใส่ใจแก่ธรรม หากพระองค์ทรงสอนเพียงทางเดียว  ประกาศอริยสัจจ์ ไปอย่างเดียว ไม่มีวิธีการหลากหลาย เชื่อว่าจะไม่มีผู้คนเข้าใจ ศรัทธา ได้ผลมากเท่านี้

    การสอนธรรมมันเป็นเรื่องยากที่สุด เพราะธรรมเป็นหนึ่งเดียวรวด แต่โลกมันเป็นของคู่ การสอนคนที่ติดโลก ติดของคู่ให้เข้าใจความเป็นหนึ่งนั้นยากมาก เพราะว่าความเป็นหนึ่งแห่งธรรมนั้น ไม่ใช่สองลบหนึ่งเท่ากับหนึ่ง แต่เป็นสองลบสองเท่ากับหนึ่ง ความไม่มีอะไร(ให้ยึดมั่นถือมั่น)จึงชื่อว่าหนึ่ง มันจึงบอกได้ยาก เข้าถึง เข้าใจได้ยากที่สุด มันจึงต้องมีวิธีการหลากหลายออกมาเพื่อให้เข้าถึงความเป็นหนึ่งจากสองลบสอง

    จึงมีบันทึกคำสอนพระพุทธองค์มากมาย (โดยส่วนตัวเชื่อว่ามากกว่านี้ แต่ผู้ที่ทำการรวบรวมสังคายนาคงรวบรวมเอามาแต่พอสมควร)ตามจริตธาตุ อุปนิสัย บารมี และอินทรีย์แก่อ่อนของแต่ละบุคคล บางท่านต้องสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางท่านแค่ครั้งเดียวจบ บางท่านให้แค่อุบายไปทำเอง บางท่านต้องมีของล่อ บางท่านต้องมีตัวอย่าง ฯลฯและแสดงเด่นชัดว่าพระองค์เองก็มิได้ยึดติดอยู่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่สามารถใช้หลากหลายเพื่อประโยชน์แห่งธรรม และต้องคำนึงถึงผู้ฟังเป็นอย่างมาก อินทรีย์ผู้ฟังเท่านี้ สอนอ่อนไปก็น่าเบื่อ สอนหนักไปก็ไม่เข้าใจ แต่ทุกคำสอนล้วนเป็นไปในทางเดียวกัน ผู้อินทรีย์แก่ก็สอนธรรมได้เลยอย่างท่านพาหิยะ บางท่านต้องปูพื้นฐานให้ก่อน บางท่านก็ต้องข่มทิฏฐิลงก่อน ฯลฯ

    ส่วนบรรดาสาวกทั้งหลายนั้น ท่านมีอะไรๆน้อยกว่าพระพุทธองค์ การสอนการบอกจึงมีแนวทางอันจำกัดกว่า บางท่านก็สามารถสอนได้เท่าที่จริตตนจะอำนวยเท่านั้น ไม่สามารถรับมือกับผู้มีจริตต่าง รวมถึงผู้ไปรับคำสอนก็แตกต่างกันไป

    บางที เราเองก็ต้องมองให้ลึกว่าท่านสอนใคร เพราะการอ่านหนังสือของท่าน เราไม่ทราบว่าท่านพูดกับคนเช่นไร เพราะท่านต้องพูด สอนแตกต่างกันไปบ้าง อย่างหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ท่านมักจะสอนให้สวดมนต์มากๆเพื่อแก้ไขเรื่องร้ายในชีวิต อันนี้ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทราบดีว่าเป็นการฝึกสมาธิได้อย่างดี จิตไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อจิตมั่นคงไม่หวั่นไหวง่าย ปัญหากับความคิดตัวเองก็น้อยลง เมื่อไม่มีปัญหากับความคิดตัวเองก็มีปัญหากับคนอื่นน้อยลง ความงามความน่ารักก็มากขึ้น สามีก็เลิกมีเมียน้อยได้ ที่สามีมีเมียน้อยเพราะเมียหลวงไม่น่ารักก็มากครับ ส่วนสันดานสามีก็ส่วนหนึ่ง บางคนรักเมียมาก แต่รำคาญมากก็ออกไปหาความสบายใจข้างนอก เมื่อเมียน่ารักก็เลิกข้างนอกได้ เป็นต้น

    อันนี้ท่านก็สอนอนุเคราะห์โลก และใช้กิเลสคนมาล่อให้สนใจธรรม แน่นอนว่าสอนแค่นั้นมันไม่ถึงที่สุด แต่เป็นการปูพื้นฐานไปแล้วระดับหนึ่งก่อนแล้วค่อยเติมทีหลังได้ส่วนในส่วนของพลังจิตที่สื่อถึงกันได้ ให้ผลแก่กันได้นั้น ขอยกไว้ไม่พูดถึงนะครับ ยาวและเข้าใจยาก ผมเองก็ไม่เก่งนัก

    ส่วนในข้อวัตรอื่นๆเช่นไม่กินเนื้อ และอื่นๆอีกมากที่เห็นแตกต่างกันไปนั้น ก็เป็นเรื่องของความถนัด จริตอุปนิสัยอีกนั่นล่ะครับ ผู้ที่ศรัทธาในแนวทางใดก็ไปทางนั้นครับ หนทางหลากหลายมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเราสามารถคัดหาสิ่งที่ดีที่สดสำหรับเราได้ หรือเราสามารถค้นหาทางของตนได้จากทางอันหลากหลายนั่นเอง

    การแสวงหาครูบาอาจารย์จึงเป็นเรื่องของผู้ที่ต้องการศึกษาจะต้องลงทุนเอาเอง ให้พบครูบาอาจารย์ที่สามารถสอน บ่อยครั้งที่ผู้แสวงหาไปโทษครูบาอาจารย์ว่าไม่ดี ไม่สามารถสอน ไม่เก่งพอ ไม่สารพัด แต่ไม่เคยเหลียวมองตนเองว่าไปถูกที่ของตนหรือยัง และตนฝึกตนหรือยัง เฝ้าคอยแต่แสงสว่างจากผู้อื่นหยิบยื่นให้โดยไม่คิดสร้างแสงสว่างให้แก่ตน พอไปขอรับแสงสว่างในที่ที่ตนไม่สามารถรับได้ ก็โทษผู้ให้เสียอีกว่าอย่างนั้นอย่างนี้

    การสอนแบบที่ท่านพี่ว่า มันก็ดี แต่มันเหมาะกับบางคน ลางเนื้อชอบลางยา และจะว่ากันจริงๆมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะการสอนให้ทำดีละเว้นชั่วเพื่อเป็นฐานแห่งศีล ๕ เมื่ออธิบายแก่บางคนกลับต้องแตกออกมาอีก อย่างไรชื่อว่าดี อย่างไรชื่อว่าชั่ว? ดีในศาสนาเป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับดีของสังคม? เมื่อทำดีแล้วได้ชื่อว่ามีศีลอยู่แล้วมิใช่หรือ? บุญเป็นอย่างไร บาปเป็นอย่างไร? สารพัดที่จะสามารถแตกประเด็นออกไป เพราะคนฟังมีอินทรีย์ต่างกัน ความสามารถเข้าใจได้ต่างกัน บางคนบอกสั้นๆก็พอแล้ว บางคนต้องใช้เวลาหน่อย บางคนนานเลย จึงเกิดมีข้อเปรียบเทียบบัวสามเหล่าสี่เหล่าขึ้นมานั่นเอง

    ครูบาอาจารย์ท่านมีความสามารถเท่าที่บารมีของท่านจะอำนวยได้ ไม่ได้ครอบจักรวาล แม้พระพุทธองค์เองก็ไม่สามารถสอนได้ทุกคน มีปรากฏผู้ที่ไม่เชื่อและไม่ยอมรับฟังพระองค์ก็มากมายในพระคัมภีร์ เพราะความแสวงธรรมไม่ได้เป็นสันดานติดตัวมาในทุกคน อันนี้เป็นความจริงของมนุษย์เช่นกันในทุกยุคทุกสมัย พระพุทธเจ้าอุบัติมากี่พระองค์แล้วก็ยังมีคนหลงไม่หมดสักที มีพระพุทธเจ้าอีกกี่องค์คนที่หลงก็ยังมีให้มีพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปอีกมากมายมาอุบัติ นำทางสัตว์ผู้มีนิสัยสู่ทางธรรม ส่วนผู้ไม่มีนิสัยหรืออินทรีย์ยังอ่อนก็ต้องทิ้งไว้ให้เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ต่อไป และต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดหมดกันเมื่อไร

    ดังนั้น ผู้แสวงหาจำต้องแสวงหาเอาเอง และโดยหลักนักแสวงหาของโลกตะวันออกเรานั้น จะมีประโยคสำคัญก็คือ "เมื่อศิษย์พร้อม อาจารย์ก็ปรากฏ" นั่นหมายความว่าจะมัวรออาจารย์อย่างเดียวไม่ได้ มันต้องทำตัวเองให้พร้อม ต้องหงายภาชนะมาให้ดี มั่นคงก่อนท่านจึงจะมารินน้ำให้ หากยังคว่ำขันอยู่ท่านรินให้ก็โง่แล้ว บางคนอยู่กับครูบาอาจารย์นานปีก็ยังไม่มีทีท่าว่าอาจารย์จะปล่อยทีเด็ดให้สักที อันนั้น เพราะเขายังไม่พร้อม อาจารย์ที่ดีจริงไม่เสียเวลาไปดายประโยชน์อย่างนั้น

    อาจารย์ที่ดีจริง จะไม่ง้อศิษย์ แต่ศิษย์ต่างหากที่ต้องทำให้อาจารย์เห็นว่าตนควรอยู่กับท่านเพียงไร ภาระหน้าที่ของครูบาอาจารย์มันยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่สมัยนี้จะเข้าใจได้ สมัยนี้อาจารย์ก็แค่คนสอนเท่านั้น แต่สมัยก่อนอาจารย์คือพ่อแม่อีกคน และลูกศิษย์ก็ไม่ต่างจากลูก จึงมีวจนะว่า "เป็นครูบาอาจารย์วันเดียว เป็นพ่อแม่ชั่วชีวิต"

    ในส่วนสุดท้ายของท่านพี่นั้น ทำให้ผมคิดถึงท่านพุทธทาส ไม่ว่าท่านพี่จะหมายถึงใคร ผมขอยกไว้ แต่ผมคิดถึงท่านพุทธทาสด้วยเหตุว่าผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่เคยประมาทท่านพุทธทาสว่าเป็นอย่างนั้น ว่าท่านสอนเป็นวิชาการอันน่าเบื่อ ยืดยาวน่ารำคาญ และเคยปรามาสท่านรุนแรงมากที่สุด แต่โชคดีว่ามีสิ่งเตือนใจให้คำนึงถึงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินคน จึงได้ศึกษาท่านจนเข้าใจพอสมควร และได้ขอขมาศรัทธาท่านในที่สุด

    ท่านพุทธทาสนั้น คล้ายดั่งมาทำหน้าที่แจกแจงธรรมให้ง่ายลงมาอีกขั้นหนึ่ ง ท่านจึงย่อยออกมามากมายมหาศาล แต่ในทุกเทศนาธรรมของท่าน ล้วนสรุปรวบยอดสู่ความพ้นทุกข์ในทุกเทศนา ไม่มีนอกลู่ทางไปกว่านั้น ที่ยาว เพราะท่านตะล่อมมาโดยรอบเพื่อให้เห็นชัดทุกด้าน ทุกมุมเท่านั้น ซึ่งในชุดเทศนาอันมากมายนั้นมันมีส่วนที่เหมาะแก่ผู้มีจริตต่างๆกันอยู่ เพียงแต่ท่านคงไม่สามารถบอกไว้ว่า ชุดไหนเหมาะกับใคร เป็นหน้าที่ผู้แสวงหาเองต้องค้นเอา หรือหากไม่ชอบแบบท่านก็ไปหาครูบาอาจารย์ที่เหมาะแก่ตนเองได้ ซึ่งมีมากมายในประเทศ ในโลกนี้

    บ่อยครั้งครับที่เราตัดสินคนทั้งๆที่เราไม่ได้รู้จักเขาเลยแม้สักนิด เพียงได้ยิน ได้เห็นมานิดๆหน่อยๆแต่สามารถวิจารณ์ไปยืดยาวกว่าสระอูของบุญชูเสียอีก (อั๊ยย๊ะ...บอกอายุเลยนิ) แต่ก็นั่นเป็นธรรมดาของคนเราๆท่านๆ

    ขอว่ากันเท่านี้ก่อนนะครับ(ไมรู้ว่าจะพางงกว่าเดิมไหมนิ)

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป