ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ตีความรหัส'นายกฯ-ส.ส.'ไม่ใช่สมบัติของใคร ตอกย้ำ อาจทำ พท.ถึง'พังพาบ'

เริ่มโดย itplaza, 11:06 น. 18 มี.ค 56

itplaza



กระแส ข่าวปรับ ครม. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.เที่ยวนี้ อย่างที่ทราบกันว่า ร้อนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ ภายหลังจบศึกเลือกตั้งเมืองหลวง พ่อเมืองเสาชิงช้า (กทม.) ระหว่างพรรคเพื่อไทย ที่ชู "บิ๊กจูดี้" พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ กับพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม (ประชาธิปัตย์) ที่ยก "ชายหมู" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เข้าต่อกรในฐานะแชมป์เก่า โดยศึกครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะอันสุดแสนแฮปปี้ของฟากค่ายพรรคการเมืองสีฟ้า แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อย ชนิดรากเลือดกันไปทั้งพรรคก็ตาม

ตอนนี้ รอขั้นตอนการรับรองการเลือกตั้ง จาก 5 กกต.กลาง ซึ่งต้องสอบสวนเรื่องร้องเรียน ของคุณชาย ตอนนี้ก็ไม่น้อยกว่า 9 เรื่อง ที่ถูก กกต.กทม.ส่งเข้ามาให้พิจารณา ซึ่งก็ทำท่าเรื่องจะไม่จบลงง่ายเสียแล้ว เมื่อ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. ปูดข่าวว่า จะมีข่าวใหญ่ในวันที่ 20 มี.ค. ก็มีคนสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา ทั้งกรณีอาจมีบุคคลสำคัญมาร้องคัดค้าน "คุณชายหมู" ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. ให้ต้องฝันค้าง ยืดเวลาในการเข้านั่งเก้าอี้ "บิ๊กเสาชิงช้า" ออกไปอีก ถึงแม้นางสดศรี สัตยธรรม 1 ใน 5 กกต.กลาง จะออกมาระบุถึงแนวโน้มเรื่องดังกล่าว คงจะมีการประกาศรับรองผล ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไปก่อน แล้วค่อยไปตามสอยทีหลัง หากพบว่าเรื่องที่ถูกร้องเรียนเข้ามามีความผิดชัดแจ้ง


อย่าง ไรก็ตาม ก็เป็นนางสดศรีเองที่ออกมาปูดว่า ข่าวใหญ่ที่ประธาน กกต.กทม. ออกมาบอกให้สื่อมวลชนต้องไปทำข่าวในวันที่ 20 มี.ค.นั้น น่าจะเป็นข่าวการลาออกจากตำแหน่ง ปธ.กกต.กทม. เสียเองมากกว่า หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นการลาออกจาก กกต.กทม.ไปเลยก็เป็นได้

โดย นางสดศรีเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ยอมรับที่เข้าหูมาก็เป็นเรื่องลาออกจาก ประธาน กกต.กทม. ซึ่งก็ยังคลางแคลงใจ เนื่องจากข้อเท็จจริง พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ก็จะครบวาระตำแหน่ง ประธานกกต.กทม.อยู่แล้ว ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ แล้วที่ผ่านมา ก็ไม่มี ปธ.กกต.กทม. ท่านใด ต้องแถลงข่าว ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงใน กกต. ตั้งข้อสังเกตว่า พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ อาจต้องการให้ชื่อติดอยู่ในกระแส เพื่อประโยชน์เวลาลงสมัคร กกต.กลาง ที่กำลังจะครบวาระทั้ง 5 ท่าน ในช่วงเดือน ก.ย.นี้ ดังนั้น กรณีดังกล่าว จึงเป็นที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่า "ศึกพ่อเมืองเสาชิงช้า" ครั้งนี้ จะจบลงอย่างไร


หัน กลับมาที่ศึกภายในพรรคเพื่อไทยกันเองบ้าง โดยเฉพาะการปรับ ครม.ภายในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ ที่ว่ากันว่า จะมีการปรับ ครม.ประมาณ 5-7 ตำแหน่ง และเริ่มปรากฏการคาดเดา แนวโน้มรายชื่อของบุคคลที่จะถูกเด้งออกจาก ครม.เป็นระลอก ทั้ง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ซึ่งรายหลังนี้ ออกมาแสดงความมั่นอกมั่นใจแล้วว่า คงไม่ได้รับแรงสั่นสะเทือนตามที่สื่อมวลชนบางสำนักคาดการณ์แต่อย่างใด

นี่ ยังไม่นับปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวในค่าย-มุ้งการเมืองจากสายต่างๆ ภายในพรรคเพื่อไทยเอง ทั้งเจ๊ "ด" นายใหญ่ นายหญิง สะท้อนกลับมาที่ "นายกฯ ปู" ที่สุดท้ายจะต้องเป็นคนฟันธงว่า ควรจะปรับเปลี่ยนหรือโยกย้ายใครไปอยู่ตำแหน่งไหนบ้าง


การ ปรับ ครม. ยิ่งลักษณ์ 4 นี้ จะปรับใครออก-ใครเข้า ยังไม่แปลกใจเท่า จู่ๆ มีกระแสข่าวจากคนวงในที่เชื่อถือได้ ที่มีความใกล้ชิดกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ผู้เปรียบเป็น "หนังหน้าไฟ" ดูแลปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นเจ้าของคำพูดเสมือนเป็นการกดดันให้ กกต.กลาง สมควรพิจารณาให้ใบเหลือง-ใบแดง แก่ "ชายหมู" แชมป์เลือกตั้งผู้ว่าฯ เมืองหลวง

โดยคำบอกเล่าที่น่าเชื่อถือ เมื่อช่วงหลายวันก่อน ยืนยันว่าขนาดคนสำคัญระดับ ร.ต.อ.เฉลิมเอง ยังถึงกับเครียด เพราะต้องออกแรงไปวิ่งเต้นจนถึงนาทีสุดท้าย เพื่อการันตีว่าตัวเองจะไม่หลุดจาก ครม.ยิ่งลักษณ์ 4 ที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งต่อมาหลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ก็ได้รับคำยืนยันจากคนใกล้ชิดรายเดิมว่า "เคลียร์กันเรียบร้อย ไม่มีปัญหาแล้ว มั่นใจคงจะไม่หลุดออกจากตำแหน่งแน่นอน"


น่า คิดว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นแสดงว่า การปรับ ครม.ของรัฐบาลเพื่อไทยในครั้งนี้ แม้ตอนแรกคนในพรรคบอกว่า น่าจะเป็นการปรับเล็ก คงไม่มีแรงกระเพื่อมมากนัก แต่จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ชัดว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้มีความสำคัญระดับไหน เพราะขนาดคนระดับ ร.ต.อ.เฉลิมเอง ที่ใครๆ ก็ทราบว่า ชื่อ-ชั้น-ลีลา บวกกับมีความเก๋าเกมทางการเมือง เรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร เอาเข้าจริง ก็ยังอยู่นิ่งไม่ได้


คน ใกล้ชิดต้องใช้คำว่า "วิ่งจนนาทีสุดท้าย" ทั้งที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิมเอง ก็มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ในฐานะ "เป็นกันชน" ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ให้ปะทะโดยตรงกับฝ่ายตรงข้ามอย่างพลพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎรมาโดยตลอด

อีกเรื่องที่กำลังกลายเป็น ประเด็นร้อนของรัฐบาลเพื่อไทยในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ข่าวการลาออกจาก ส.ส. ของคนสนิท นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ชื่อ "เกษม นิมมลรัตน์" เขต 3 เชียงใหม่ แม้พรรคจะรีบออกมาแถลงถึงสาเหตุว่ามีปัญหาด้านสุขภาพแล้วก็ตาม แต่มาถึงตอนนี้ เชื่อว่าสังคมคงมีความคลางแคลงใจไม่น้อย เพราะจะว่าไปตั้งแต่นายเกษมได้เป็น ส.ส.มา ก็ไม่เคยปรากฏข่าวว่ามีอาการป่วยหนัก จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแต่อย่างใดแม้แต่ครั้งเดียว


ขนาด นายนพคุณ รัฐไผท ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ยังกล่าวว่า "ก็เพิ่งทราบจากข่าว และยังติดต่อ นายเกษมไม่ได้ จึงยังไม่ทราบสาเหตุการลาออก" ยิ่งทำให้กระแสข่าวที่ว่า สาเหตุการลาออกในครั้งนี้ ก็เพื่อเปิดทางให้นางเยาวภาได้กลับมาเป็น ส.ส.แทนนายเกษม เพื่อเตรียมการเป็นนายกรัฐมนตรีสำรอง หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเกิดประสบกับอุบัติเหตุทางการเมืองแบบไม่คาดฝันในภายภาคหน้า มีน้ำหนักมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ถึงนาทีนี้ ขอฝากเตือนไปยังทีมผู้บริหารระดับสูงในพรรคเพื่อไทยว่า สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดในเวลานี้ ไม่ใช่ นางเยาวภา จะได้มาเป็น ส.ส. เพื่อสำรอง เป็นนายกรัฐมนตรีจริงหรือไม่? แต่ที่น่ากลัวกว่า คือ กระแสการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม ที่พยายามโหมชี้ให้เห็นว่า การลาออกของ นายเกษม อาจไม่ถูกต้อง นอกจากทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณนับ 10 ล้านบาท ในการจัดเลือกตั้งซ่อมฯ ใหม่แล้ว ต้องไม่ลืมว่าในพื้นที่เดียวกันนี้ ก็เคยจัดเลือกตั้งซ่อมฯ มาแล้ว จากกรณี น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งก็คือลูกสาว นายสมชาย-นางเยาวภาเอง ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด กรณีแสดงทรัพย์สินเป็นเท็จ


มา ครั้งนี้ ก็ยังต้องมาจัดเลือกตั้งซ่อมฯ ซ้ำสอง อาจทำให้สังคมไทยมองว่า เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ อีกทั้งเป็นการดูถูกประชาชน และตำแหน่ง ส.ส.อันทรงเกียรติ ที่มีหน้าที่ดูแล สุข-ทุกข์ ของประชาชน ก็ไม่ใช่สมบัติของตระกูลชินวัตร ที่จะสามารถทำอย่างไรก็ได้ มองไปก็เหมือนกับแนวความคิดที่ว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ก็มิใช่สมบัติส่วนตัวของใคร ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่คิดจะส่งใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้

ดังนั้น ถึงแม้การเลือกตั้งซ่อมฯ ส.ส.เชียงใหม่ ที่ว่างลงในครั้งนี้ สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทย น่าจะชนะการเลือกตั้งแน่ เพราะพื้นที่เป็นฐานเสียงสำคัญ ทั้งยังเป็นบ้านเกิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่า และต้องระวังอย่างยิ่งยวด ก็คืออย่าให้คนในพื้นที่ส่วนอื่นของประเทศ ตื่นตัว หันกลับมามอง หรือคำนึงถึงความจริงข้อนี้ จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถนำไปขยายแนวความคิดนี้ ได้อย่างมีนัยสำคัญ หากเป็นเช่นนั้นอนาคตพรรคเพื่อไทยลำบากแน่ แล้วอย่ามาหาว่า ไม่เตือนก็แล้วกัน...


ไทยรัฐออนไลน์
ที่มา http://itplaza.co.th/update_details.php?type_id=1&news_id=25479&page=1