ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

"กลุ่มหน้ากากขาว" รวมตัวแสดงออกทางสัญลักษณ์ที่ถนนสีลม

เริ่มโดย ทีมงานบ้านเรา, 09:22 น. 01 มิ.ย 56

ทีมงานบ้านเรา

โดย ไทยพีบีเอส http://news.thaipbs.or.th

กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มกายฟอกส์ หรือหน้ากากขาว หลังเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นต่อต้านระบอบทักษิณ และรัฐบาลโดยผ่านสื่อโซเซียลมีเดีย วันนี้ (31 พ.ค.) ได้นัดรวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหวที่ถนนสีลม พร้อมบอกว่าเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่ายังมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอยู่

กลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มหน้ากากขาว หรือกายฟอกส์ กว่า 100 คน ร่วมกันเดินขบวนถือป้ายรณรงค์บริเวณถนนสีลม ด้านหน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยตัวแทนกลุ่มหน้ากากขาวบอกว่าเป็นการรวมตัวกันของประชาชนที่ต้องการต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งประชาชนที่มาร่วมเดินขบวนรณรงค์ในครั้งนี้เป็นกลุ่มหน้ากากขาวที่เคยร่วมกิจกรรมกันในการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงก่อนหน้านี้ รวมถึงเครือข่ายจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทางเฟสบุ๊ก

การเดินขบวนรณรงค์ของกลุ่มหน้ากากขาว มีเจ้าหน้าที่ดูแลสงบความเรียบร้อยจำนวน 60 นาย ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้ร่วมกิจกรรมเดินขบวนเป็นระยะทางประมาณ 300 เมตร จนถึงบริเวณสี่แยกศาลาแดง ก่อนจะแยกย้ายกันไปด้วยความเรียบร้อย
สนับสนุนการขับเคลื่อนโดย
- ฮอนด้าพิธานพาณิชย์-อริยะมอเตอร์ www.phithan.co.th/hondaphithan
- ปาล์มสปริงส์ & ซิตี้รีสอร์ท บ้านและคอนโดคุณภาพจากเครืองศุภาลัย www.hatyainakarin.com
- ธีระการช่าง หาดใหญ่ (เยื้องบิ๊กซีคลองแห) โทร 086-4910345 www.facebook.com/teerakarnchanghy
- เอนกการช่าง ผู้นำการพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร โทร 081-7382622 www.an-anek.com/contact.php
รีวิวธุรกิจ เกาะติดบ้านเมือง ร้อยเรื่องท้องถิ่น TLP 0897384215

หมีเห็น

ขอแสดงความเห็นในฐานะไม่ได้อยู่ข้างไหน เป็นตัวของตัวเองเป็นพวกไม่มีสีไม่ใส่เสื้อ (Topless) ผมว่าไม่ว่าพรรคไหนหรือบุคคลใดถ้าเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ไม่แคล้วจะต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวกไม่ทางตรงก็ทางอ้อม สิ่งนี้เองที่ทำให้การเมืองไทยมันเสื่อม ไร้ศักดิ์ศรี ไร้เกียรติ บ้านเมืองมันถึงได้แต่ย่ำอยู่กับที่และถอยหลังในบางช่วง ทั้งๆที่จริงไทยเราควรจะพัฒนาได้ไกลไม่น้อยหน้ากว่าสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่แยกตัวออกมาจากมาเลเซียไม่กี่สิบปีนี้เอง ในรัชสมัย ร.5 สยามประเทศมีความเจริญแทบจะทัดเทียมกับญี่ปุ่น แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อัตราการเจริญเติบโตและพัฒนาประเทศกลับถดถอยลงตลอด จนทุกวันนี้มาเลเซีย อินโดนิเซีย ที่เคยล้าหลังเราได้เดินข้ามหัวประเทศไทยของเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนเราไม่มีทางที่จะไล่ทันอีกต่อไปในขณะที่เวียตนามกำลังพัฒนาเข้ามาเทียบเท่าเรา ลาว พม่า เขมร ก็กำลังเร่งพัฒนาประเทศจนเจริญก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดตามกระแสโลกาภิวัฒน์ มีแต่ไทยเรานี่แหละที่ยังดักดานย่ำอยู่กับที่เพราะภาคประชาชนไม่พยายามที่จะดัดสันดานและกำจัดนักการเมืองกับบรรดาข้าราชการเลวๆ ที่ครอบงำเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของไทย จนประชาธิปไตยบิดเบี้ยวกลายเป็นเผด็จการทางการเมืองประเภทพวกมากลากไป(สภาฯสวนสัตว์) ไม่ว่ายุคไหนทุกวันนี้บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยปัญหาค่าครองชีพแพงผิดปกติ ยาเสพติดเกลื่อนเมืองปราบยังไงก็ไม่หมดมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวันแบบโคลัมเบีย ปัญหาทางสังคม ปัญหาครอบครัว แม้แต่ปัญหาการเมืองที่เกิดจากนักกินเมืองโสมมจิตวิปริต ชอบสร้างแต่เรื่องวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพรรคพวก กัดกันยิ่งกว่าสุนัขแย่งกระดูก ไม่เคยใส่ใจกับหน้าที่และความรับผิดชอบที่สัญญาไว้กับประชาชนตอนหาเสียง เลยทำให้ประเทศไทยเสื่อม ล้ำหลัง ดักดาน ถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายในสายตาต่างชาติ หลังเปิด ACE เราคงได้เห็นประเทศไทยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นแน่แท้ ส.โอ้โห ส.โอ้โห ส.โอ้โห ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง

พิมพ์ไป บ่นไป


คนไทยเกิน100%

ย้อนอดีต_เมื่อไทย "เกือบจะ" ได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่ทุกอย่างก็พังในชั่วพริบตา เพราะความทะยานอยากที่เกินตัว
ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง มุมมอง ของ สุเมธ ตันติเวชกุล : ต้อง "เกษตรอุตสาหกรรม"
รายงานพิเศษ  มติชนสุดสัปดาห์  วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 27 ฉบับที่ 1385

หมายเหตุ "มติชนสุดสัปดาห์" รายงานพิเศษนี้เรียบเรียงจากการบรรยายพิเศษทางวิชาการของ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา หัวข้อเรื่อง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยในทิศทางการใช้เศรษฐกิจพอเพียง"

ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ร่วมกับ กองทัพบก จัดขึ้น ณ หอประชุมกิตติขจร กองทัพบก เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2550

มีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้

ภาคราชการที่จะนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปประยุกต์ใช้ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การมีสติพิจารณาตัวเอง รู้จักใช้ทรัพยากรให้เพียงพอและเหมาะสม อย่าให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป

ทุกจังหวัดต้องสำรวจจำนวนข้าราชการพร้อมศักยภาพข้าราชการและวางแผนการทำงานให้เกิดการพัฒนา

ในแต่ละจังหวัดไม่จำเป็นต้องดำเนินงานในลักษณะที่เหมือนกันก็ได้ รู้จักใช้เหตุและผล พร้อมกับสติปัญญาด้วยความระมัดระวัง และรอบคอบ รู้จักปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้รอบรู้อยู่เสมอ และที่สำคัญคือต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ดำรงตนอยุ่ในทศพิธราชธรรม

เพราะหากข้าราชการไม่ซื่อสัตย์สุจริตแล้วจะเกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนและประเทศชาติ

ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการใช้เศรษฐกิจพอเพียง สิ่งสำคัญคือ ตัวปรัชญา

ทั้งนี้ การนำไปใช้ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องเดินสายชี้แจงต่อต่างประเทศ เนื่องจากไม่ใช่เรื่องที่สับสนที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร ความพอดีควรจะอยู่ตรงจุดใด

ทั้งนี้ การสื่อถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง คนไทยยังเข้าใจผิดว่าสื่อถึงกันถึงเรื่องแค่การเกษตรแต่เป็นคนละประเด็น

โดยหลักเศรษฐกิจพอเพียงกำลังมีการศึกษากันทั่วโลกในขณะที่คนไทยกำลังสับสน

ปัจจุบัน เป็นโลกวัตถุนิยมที่คำนึงแต่ปริมาณ ไม่คำนึงถึงคุณภาพ มีแต่ความโลภ กิเลส ตัณหา จึงทำให้สังคมวุ่นวาย

บ้านเมืองเรายุ่งเหยิงก็เพราะความโลภ

การพัฒนาประเทศที่ผ่านมานั้นเราอยากเป็นเสือตัวที่ 5 เหมือนอย่างประเทศอื่น เป็นความอยากที่ไม่ได้ดูตนเองว่าควรเป็นอะไร แต่ทำเพื่อสนองความอยากของตนเอง

มีการลดพื้นที่เกษตรลงไปและเพิ่มพื้นที่อุตสาหกรรมทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ผลผลิตที่ได้มาส่วนหนึ่งใช้ในประเทศที่เหลือก็ส่งไปขายต่างประเทศ ประเทศไทยเป็น 1 ใน 7 ของประเทศทั่วโลกที่มีอาหารเหลือกินเหลือใช้เทียบกับประเทศที่ร่ำรวยก็ยังต้องซื้ออาหารกิน

แต่ทำไมเราไม่อยู่อย่างพอมีพอกิน

การพัฒนาประเทศของเราที่ผ่านมาพัฒนาด้วยความอยาก อยากเป็นเสือตัวที่ 5 ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและเป็น NICs โดยไม่ดูตัวเองว่าที่ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร

มีการเขียนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติลดพื้นที่เกษตรกรรมไปเป็นการทำอุตสาหกรรม การพัฒนาก็เลยเป็นแบบแตกดับมาตลอด

ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 เริ่มมีการวางเป้าหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงไว้ในแผน แต่เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโดยรวมและต้องใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ทำให้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้รับความสนใจมากนัก

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง จึงนำมาบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พึ่งพาตัวเองโดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งต้องใช้เวลา 20 ปี จึงจะบรรลุผลสำเร็จ

แต่เนื่องจากประเทศไทยมีรัฐบาลพรรคเดียวเป็นครั้งแรก การดำเนินการตามนโยบายรัฐภายใต้รัฐบาลพรรคเดียวก็เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลพรรคเดียวทำได้ทุกอย่าง

ดังนั้น งบประมาณที่จะดำเนินการในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 จึงไม่ได้รับความสนใจหรือพูดถึง งบประมาณในรัฐบาลสมัยนั้นถูกนำมาใช้ตามนโยบายของรัฐบาลเสียเป็นส่วนมาก

เมื่อพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากและเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้เข้ามาพัฒนาประเทศรั ฐบาลก็นำแผนของพรรคตัวเองที่ได้หาเสียงนำมาเป็นนโยบายรัฐบาลและนำมาเป็นแผนพัฒนาชาติ

เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรที่ขณะนั้นถือได้ว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา เนื่องจากพรรคการเมืองพรรคเดียวในรัฐบาล ซึ่งมีเสียงมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ได้ใช้เสียงข้างมากในการผ่านนโยบายเหล่านั้นให้เป็นแผนของชาติ

เปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้วางไว้ไม่ต่างอะไรกับการใช้กำลัง

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่ที่ผ่านมากระดูกสันหลังของชาติได้รับการละเลยทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศทั่วโลกที่มีทรัพยากรและอาหารเลี้ยงดูประชาชนภายในประเทศได้แล้วยังมีเหลือเก็บ

แต่เราไม่นำจุดนี้มาใช้

อย่างสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆ จะปลูกพืชก็ไม่ได้ มีแต่หิน ทำอุตสาหกรรมก็ไม่ดีเพราะเป็นพื้นที่เกาะ แต่ต้องยอมรับสิงคโปร์ว่าพัฒนาคนได้เป็นอย่างดี ทำการค้าขายเก่ง เซ็งลี้เก่ง ทำให้ประเทศเล็กๆ โตได้

ขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพมาก แต่มีการพัฒนาไปอย่างหลงทิศ

การท่องเที่ยวและเกษตรกรรมควรจะได้รับการดูแลมากกว่านี้ กลับทำไม่ได้ เราควรมุ่งอุตสาหกรรมการเกษตร ต่อยอดไปเรื่อยๆ เพื่อให้เป็นเกษตรอย่างยั่งยืน

ยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่าไปเกรงกลัว แต่ต้องมีความซื่อสัตย์และอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียงอย่างถูกต้อง

สมเกียรติ อ่อนวิมล :

ว่าด้วย วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง"พูดเพียงเพื่อให้ดูดี"

หมายเหตุ "มติชนสุดสัปดาห์" ข้อความต่อไปนี้ตัดทอนและเรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ของ สมเกียรติ อ่อนวิมล ต่อ สรวิศ ชุมศรี ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ "มติชน" ตีพิมพ์ยาวเหยียดในหนังสือ "มติชน" ฉบับประจำวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2550

มีเนื้อความที่สำคัญและเป็นประเด็น ดังนี้

ประเทศไทยในขณะนี้มี วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง หมายความว่ามีวิกฤตความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงว่าจะเอาไปทำอะไร

เพราะกลายเป็นว่า ทุกคนที่เป็นผู้นำชุมชน สังคม ก็ใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นข้ออ้างในการทำอะไรก็ได้ที่ดูดี รัฐบาลก็ถือเป็นนโยบาย นักการเมืองก็ใช้พูด เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีว่าได้ตอบสนองพระราชดำรัส

พูดง่ายๆ ก็คือ ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อตัวเอง

แต่วิกฤตคือ เราไม่รู้ว่าคืออะไรอย่างแท้จริง การใช้จึงใช้พูดแต่ไม่ได้ทำเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ที่คนไม่รู้เพราะไม่ศึกษาก็เลยนึกว่าในหลวงมีพระราชดำรัสก็เอามาใช้เถอะ แล้วพูดให้ดีก็แล้วกัน

ยิ่งรัฐบาลปัจจุบัน เมื่อเข้ามาก็นำคำนี้มาพูดก่อนเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะทำจริงๆ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำ

เราต้องวิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไรในโครงสร้างความคิด เศรษฐกิจพอเพียงคือปรัชญาในการดำรงชีวิตเท่านั้นใช่ไหม

หรือว่ามันคือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใหม่ที่ใช้เปลี่ยนแปลงสังคมอย่างฉับพลันได้ในยุคนี้ เหมือนเรื่องสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาต่อมา

หรือจะเป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใหม่ที่ไม่ได้ใช้อำนาจรัฐเปลี่ยนแปลงสังคมแบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ แต่เป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยที่พัฒนามาทีหลัง ซึ่งไม่ใช้อำนาจรัฐมาครอบงำ

แล้วแต่จะคิดว่าคุณจะเอาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาหรือทฤษฎีก่อนจะนำมาใช้เป็นนโยบายของรัฐบาล หากคุณบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทฤษฎีใหม่ คุณจะได้เอาข้อพิสูจน์มาเป็นนโยบาย

จะเป็นทฤษฎีแบบไหนก็ต้องมีทฤษฎีออกมาให้ละเอียด เป็นรูปเล่มมีเอกสารอธิบายชัดเจนว่าสมมติฐานคืออะไร พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จึงจะนำมาใช้เป็นนโยบายของสังคมหรือของรัฐ

หากเป็นทฤษฎีต้องมีตำรา แต่ไม่มีตำรา มีแต่พระราชดำรัส

ที่มา
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q1/2007march02p9.htm