ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับโรคมือเท้าปาก

เริ่มโดย ทีมงานประชาสัมพันธ์, 13:46 น. 12 มิ.ย 56

ทีมงานประชาสัมพันธ์

ที่มา โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่

ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับโรคมือเท้าปาก

โรค มือเท้าปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (enterovirus) ประกอบด้วยหลายสายพันธุ์ย่อย ที่พบบ่อยได้แก่สายพันธุ์คอกแซกกีไวรัส (coxackie virus) A16, A5, A9, A10, B1, and B3 สายพันธุ์เอนเทอโรไวรัส 71 (human enterovirus 71, HEV71) และ สายพันธุ์ไวรัสเริม (herpes simplex viruses, HSV) เมื่อติดเชื้อไวรัสกลุ่มนี้แล้วจะทำให้เกิดอาการ ไข้ และมีผื่นแดง โดยผื่นมีลักษณะเฉพาะคือเป็นผื่นตุ่มน้ำพองใส ขนาดประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ฐานผื่นเป็นสีแดง ผื่นมักขึ้นบริเวณริมฝีปาก ฝ่ามือ และ ฝ่าเท้า โดยทั่วไปโรคนี้หายได้เองโดยกลไกภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเองและกำจัด เชื้อออกไปได้เอง

[attach=1]

การแพร่กระจายโรค
โรคมือเท้าปากติดต่อจากคนสู่คน ด้วยการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อไวรัสที่ออกมาทาง น้ำลาย น้ำมูก หรืออุจจาระของผู้ป่วย นอกจากนี้การไอ จาม รดกันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้เช่นกัน หลังจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะมีการเพิ่มจำนวนเชื้อภายในลำคอและ ต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง และมีการเพิ่มปริมาณเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารส่วนล่างลงมา หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระแสเลือดไปตามอวัยวะต่างๆ ได้แก่ กระพุ้งแก้ม ผิวหนังบริเวณมือ และเท้า โดยเชื้อโรคใช้เวลาฟักตัว ประมาณ 72 ชั่วโมง ก่อนที่จะทำให้เกิดอาการ หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะถูกกำจัดออกมาจากลำไส้พร้อมกับอุจจาระ โดยอาจตรวจพบเชื้อไวรัสในอุจจาระได้นาน 6 – 8 สัปดาห์

ระบาดวิทยา
โรคมือเท้าปาก เกิดขึ้นได้ทั่วโลกโดยพบบ่อยในช่วงฤดูร้อนและช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ประเทศเขตร้อนนั้นช่วงฤดูที่ระบาดไม่แน่นอน สำหรับประเทศไทยมักพบการระบาดในช่วงฤดูฝน โดยพบการติดเชื้อได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี สถานที่ที่พบการติดเชื้อได้บ่อยมักเป็นสถานที่ที่มีเด็กเล็กอยู่รวมกันจำนวน มาก เช่น โรงเรียนอนุบาล เป็นต้น

อัตราการป่วย และ อัตราการเสียชีวิต
โรคมือเท้าปากที่เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ เอนเทอโรไวรัส 71 (human enterovirus 71, HEV71) ส่วนใหญ่ทำให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยและไม่รุนแรง เช่น ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ โอกาสเสียชีวิตน้อยมาก อย่างไรก็ตามผู้ติดเชื้อบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงระบบประสาททำ ให้เกิด อาการกินลำบาก (dysphagia) แขนขาอ่อนแรง (limb weakness) เยื่อหุ้มประสาทอักเสบ (meningitis) เนื้อสมองอักเสบ (encephalitis) หรือ ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติทำให้หัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

อาการป่วยในช่วงแรกที่พบบ่อย
ได้แก่ ไข้ต่ำ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร ปวดท้อง เจ็บภายในช่องปาก ต่อมาจะเริ่มมีแผลในปาก และผิวหนังตามลำดับ ส่วนมากจะพบบริเวณมือ และเท้า บางครั้งอาจพบบริเวณก้นเด็กได้ลักษณะเฉพาะของแผลในช่องปาก คือบริเวณฐานของแผลเป็นสีเหลืองและล้อมรอบด้วยวงสีแดง ส่วนมากเกิดที่บริเวณริมฝีปาก หรือเยื่อบุช่องปาก แต่บางครั้งแผลอาจเกิดขึ้นบริเวณลิ้น เพดานปาก ลิ้นไก่ ทอนซิล หรือเหงือกได้ โรคนี้มักไม่พบผื่นบริเวณรอบริมฝีปาก แผลในช่องปากจะมีอาการเจ็บมากในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีจะมีอาการป่วยได้บ่อยที่สุด

สำหรับผื่นผิวหนังส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณหลังมือ และหลังเท้า แต่บางรายอาจพบผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าได้เช่นกัน ผื่นอาจจะคันหรือไม่ก็ได้ โดยจะเริ่มจากผื่นแดงนูน และเปลี่ยนเป็นผื่นตุ่มน้ำที่มีสีแดงอยู่บริเวณฐานอย่างรวดเร็ว ในเด็กทารกผื่นลักษณะนี้อาจเกิดบริเวณลำตัว ต้นขา และก้น ได้เช่นกัน ผื่นแดงนี้ส่วนมากจะหายได้เองภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์

การวินิจฉัยแยกโรค
•   โรคเริม
•   การติดเชื้อในกระแสเลือด
•   โรคสุกใส
•   ภาวะขาดน้ำ
•   เส้นเลือดอักเสบชนิด ฮีนอค เชอร์ไร เพอพูรา (Henoch-Schöenlein Purpura)
•   โรคคาวาซากิ
•   หัด
•   คออักเสบ
•   ผื่นแพ้ชนิด สตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม (Stevens-Johnson syndrome)

การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฎิบัติการ
ในอดีตไม่มีวิธีตรวจหาเชื้อไวรัสและไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากอาการป่วยไม่ รุนแรงและสามารถหายเองได้ ดังนั้นการวินิจฉัยโรคนี้ส่วนใหญ่จึงใช้เพียงจากการซักถามประวัติ ร่วมกับการตรวจร่างกายที่พบผื่นลักษณะเฉพาะที่มือ เท้า ปาก ปัจจุบันมีความตื่นตัวเกี่ยวกับโรคนี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีรายงานการเสียชีวิตของเด็กที่ติดเชื้อจากหลายประเทศ และสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรครุนแรงขึ้น คือการติดเชื้อสายพันธุ์เอนเทอโรไวรัส 71ดังนั้นองค์กรที่เกี่ยวข้องจึงได้ประชุมเพื่อพัฒนาเครื่องมือตรวจหาเชื้อ ที่ได้มาตรฐาน รวมถึงการควบคุมคุณภาพ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสมัยต่อลักษณะสายพันธุ์ที่กำลังระบาด ปัจจุบัน โดยมีความก้าวหน้าถึงขั้นตรวจลำดับการเรียงตัวของโปรตีนในไวรัสที่ส่วน VP1 and VP4 domains อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดในการตรวจเนื่องจากยังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร

การดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น
•   การรักษาหลักจะเป็นการดูแลรักษาตามอาการ เช่น การเช็ดตัวลดไข้ การให้ยาลดไข้ การให้ยาตามอาการ เช่น ยาชาป้ายแผลในปาก
•   ประเมินภาวะร่างกายขาดน้ำ ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยเด็ก การประเมินว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่สามารถประเมินได้จาก อัตราการเต้นชีพจร ความยืดหยุ่นของผิวหนัง ความแห้งของตา ปริมาณน้ำตาขณะที่เด็กร้องไห้ ความแห้งของเยื่อบุช่องปาก รวมถึงประเมินจากปริมาณและความถี่ของปัสสาวะ

อาการแทรกซ้อน
•   การติดเชื้อที่ผิวหนัง พบได้บ่อยที่สุด
•   เกิดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากดื่มน้อยลง จากการเจ็บแผลในช่องปาก
•   ส่วนน้อยอาจเกิดอาการแทรกซ้อนของระบบประสาท และระบบไหลเวียนโลหิต

การพยากรณ์โรค
การพยากรณ์โรคดีมาก ส่วนมากหายเป็นปกติได้เองภายใน 5 - 7 วัน

มาตรการสาธารณสุขในการป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
หลังจากที่มีการระบาดในหลายประเทศ และมีผู้เสียชีวิตมากขึ้น จึงได้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านสุขอนามัยและพฤติกรรมสุขภาพ ที่ดี รวมถึงการปิดโรงเรียนอนุบาลและศูนย์เด็กเล็กเมื่อมีการระบาดของโรคการกระจาย ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไปสู่ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนกลุ่มเสี่ยง นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นมาตรการป้องกันโรค เช่น การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและค้นหาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการแยกผู้ป่วยให้ห่างจากแหล่งชุมชน หรือให้อยู่แยกตามความสมัครใจ รวมทั้งการให้สุขศึกษาและข่าวสารข้อมูลแก่ประชาชนในวงกว้าง

กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพเพื่อให้ห่างไกลจากการติดเชื้อไวรัสโรคมือเท้าปาก ดังนี้
วิธีการป้องกันโรคนี้ที่สำคัญคือ การแยกผู้ป่วยให้ห่างจากแหล่งชุมชน และการรักษาสุขอนามัยของสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโรคนี้มักระบาดในเด็กเล็กที่อยู่รวมกันในโรงเรียนหรือสถานรับ เลี้ยงเด็ก จึงเน้นเรื่องการล้างมือ การทำความสะอาดของเล่น การทำความสะอาดอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม เด็กป่วยควรให้อยู่บ้านไม่ควรปล่อยให้มาเล่นกับเด็กคนอื่น บางครั้งอาจจำเป็นต้องปิดโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็กชั่วคราวถ้าพบว่ามีการ ระบาดมากขึ้น

หากบุตรหลานมีอาการป่วย ควรทำอย่างไร
ควรแยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่น ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และรักษาตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 - 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น แต่หากเด็กมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียน หอบ ต้องรีบพากลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที
ไม่ควรพาเด็กไปสถานที่ แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรให้เด็กอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ควรใช้ผ้าปิดจมูกปากขณะไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน ผู้ดูแลเด็กต้องหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของเด็กที่ป่วย

หากมีเด็กป่วยจำนวนมากในโรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรทำอย่างไร
มาตรการช่วงที่เกิดโรคระบาดต้องเน้นการสกัดกั้นการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งอาจจำเป็นต้องประกาศเขตติดโรคและปิดสถานที่ที่มีการระบาด เช่น สถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน โรงเรียนเด็กเล็ก อาจรวมถึงสระว่ายน้ำ และสถานที่แออัดอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กป่วย และควรเน้นการล้างมือบ่อยๆ รวมทั้งการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลและบ้านเรือนที่มีผู้ป่วย ผู้บริหารโรงเรียนหรือผู้จัดการสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรดำเนินการดังนี้
•   แจ้งการระบาดไปที่หน่วยงานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปสอบสวนการระบาด ให้ความรู้ และคำแนะนำ
•   เผยแพร่คำแนะนำ เรื่องโรคมือเท้าปาก แก่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน รวมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยที่ช่วยป้องกันโรคติดต่อ โดยเฉพาะการล้างมือและการรักษาสุขอนามัยของสภาพแวดล้อมและควรแยกของใช้ไม่ ให้ปะปนกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนอาหาร ฯลฯ
•   เฝ้าระวังโดยตรวจเด็กทุกคน หากพบผู้ที่มีอาการโรคมือเท้าปาก ต้องรีบแยกและให้หยุดเรียนประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังเด็กคนอื่น
•   ควรรีบพาเด็กป่วยไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว และดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด
•   พิจารณาปิดห้องเรียนที่มีเด็กป่วย กรณีที่มีเด็กป่วยหลายห้องหรือหลายชั้นเรียนควรปิดโรงเรียนชั่วคราวอย่างน้อย 5 - 7 วัน
•   หากพบการระบาดของโรคมือเท้าปาก หรือ มีผู้ป่วยติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 อยู่ภายในโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก แนะนำให้ปิดชั้นเรียนที่มีเด็กป่วยมากกว่า 2 คน หากมีการป่วยกระจายในหลายชั้นเรียนแนะนำให้ปิดโรงเรียนเป็นเวลา 5 วัน พร้อมทำความสะอาดอุปกรณ์รับประทานอาหาร ของเล่นเด็ก ห้องน้ำ สระว่ายน้ำและให้มั่นใจว่าน้ำมีระดับคลอรีนที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน
•   ทำความสะอาดสถานที่เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณห้องน้ำ สระว่ายน้ำ โรงครัว โรงอาหาร บริเวณที่เล่นของเด็ก สนามเด็กเล่น โดยใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาวผสมในอัตราส่วน 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ตามบ้านเรือน แล้วเช็ดด้วยน้ำสะอาด
•   ทำความสะอาดของเล่นและเครื่องใช้ของเด็กด้วยการซักล้างแล้วผึ่งแดดให้แห้ง
•   ไม่ควรใช้เครื่องปรับอากาศ แต่แนะนำให้ระบายอากาศโดยการเปิดประตู หน้าต่าง ผ้าม่าน ให้แสงแดดส่องได้ทั่วถึง