ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ล้างบาง'มาเฟียรัสเซีย' นับหนึ่งฟื้นภาพลักษณ์ท่องเที่ยว

เริ่มโดย ทีมงานประชาสัมพันธ์, 10:24 น. 20 ก.ค 56

ทีมงานประชาสัมพันธ์

ที่มา คมชัดลึก
ล้างบาง'มาเฟียรัสเซีย' นับหนึ่งฟื้นภาพลักษณ์ท่องเที่ยว : ทีมข่าวภูมิภาค รายงาน

             พฤติกรรมของชาวต่างชาติที่เข้ามาตั้ง "แก๊ง" ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย เพื่อรีดไถคนชาติเดียวกันที่เดินทางมาท่องเที่ยว นับว่าส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของไทยอย่างยิ่ง ล่าสุดผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำโดย สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการ และ สุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวง ได้ยื่นหนังสือต่อ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้เข้าไปดูแลกรณีชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมรวมตัวเป็นเครือข่ายหาผลประโยชน์กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และเมืองพัทยา จ.ชลบุรี

             รูปแบบการหาผลประโยชน์เริ่มจาก "ข่มขู่" และ "คุกคาม" นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งแต่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ด้วยการบังคับให้นักท่องเที่ยวใช้บริการรถแท็กซี่ของเครือข่ายเท่านั้น (แท็กซี่ป้ายดำ) หากปฏิเสธจะขู่ที่จะทำร้ายร่างกาย

             การเติบโตของขบวนการ ที่มี "ชาวรัสเซีย" อยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึงการก่อตั้งบริษัททัวร์ เพื่อนำนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังภูเก็ต ในรูปแบบของเที่ยวบินแบบเช่าหมาลำ การสร้างเครือข่ายแท็กซี่ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ทั้งหมดล้วนแต่เป็นโครงสร้างที่นำรายได้มาหล่อเลี้ยงเครือยข่ายดังกล่าว ส่วนรูปแบบของธุรกิจเพื่อเลี่ยงการเป็นเป้าหมายตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐ จะใช้วิธีให้ "คนไทย" เป็นฉากบังหน้า

             การทำธุรกิจของ "มาเฟียรัสเซีย" ในภูเก็ต ที่เป็นภาพตัวอย่างการหาประโยชน์ คือ การจัดตั้ง "บริษัท" ให้บริการถแท็กซี่ คิดค่าบริการเริมต้นที่ 600 บาท บวกเพิ่มตามระยะทาง กระทั่งเกิดการประท้วงจากผู้ประกอบรถบริการสาธารณะในนามของ "ชมรมแท็กซี่บางเทา" ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เรียกร้องให้หน่วยงานรัฐบังคับใช้กฎหมายกับชาวรัสเซียที่เข้ามาแย่งอาชีพของคนไทย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคนในพื้นที่จากการถูกแย่งรายได้

             ช่องโหว่ที่ทำให้เกิดมาเฟียต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน หรือเกาหลี มาจากประเด็นที่ว่าด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวสัญชาติเหล่านี้ ที่เดินทางเข้าสู่ภูเก็ต ต่างมีข้อจำกัดไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ เช่นเดียวกันมัคคุเทศก์คนไทยบางส่วนยังไม่ชำนาญในการใช้ภาษาของชาติดังกล่าว ดั้งนั้นคนกลุ่มนี้ ซึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในภูเก็ตนานจนรู้ทางหนีทีไล่ บางคนก็มีครอบครัวเป็นชาวภูเก็ตจนสามารถทำธุรกิจได้ โดยผ่านการขออนุญาตจดทะเบียนประกอบธุรกิจอย่างถูกต้อง และมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้น หรือที่เรียกว่า นิติบุคคลไทยที่มีบุคคลต่างด้าวเป็นถือหุ้น (ไม่เกิน 50%) ส่วนการประกอบธุรกิจจริงๆ จะใช้คนสัญชาตินั้นๆ เป็นผู้ดำเนินการ

             ก่อนหน้านี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ตรวจสอบสถานะบริษัทในไทยที่มีต่างชาติถือหุ้นตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 พบว่าบริษัทที่มีต่างด้าวถือหุ้นอยู่ไม่เกิน 49.99% และอยู่ในฐานะที่สุ่มเสี่ยงว่าเป็นการให้คนไทยถือหุ้นแทน (นอมินี) ข้อมูลที่พบว่าเข้าข่ายมีมากกว่า 100 ราย ทั้งที่เมืองพัทยา และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่ศูนย์กลางทางธุรกิจอยู่ที่ อ.หัวหิน ข้อมูลที่พบจากการเข้าตรวจสอบคือ ต่างด้าวที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทนั้นๆ มีอำนาจการบริหารเหนือคนไทยที่ถือหุ้นมากกว่า

             ส่วนกิจการที่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติในการเข้ามามีบทบาท คือ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าที่ดิน อันเป็นธุรกิจซึ่งอยู่ในบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว บัญชี 1 ห้ามไม่ให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในไทย ส่วนบัญชี 2 ต้องขออนุญาตจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน และบัญชี 3 ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ถึงจะดำเนินการได้ ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังพบว่า นอกจากชลบุรีและประจวบคีรีขันธ์แล้ว จังหวัดอื่นที่มีการเติบโตทางด้านธุรกิจพัฒนาที่ดิน ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย และสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) ล้วนมีการลงทุนโดยต่างชาติที่ใช้ชื่อคนไทยเป็นผู้ประกอบการแทน

             กรณีของภูเก็ต จำนวนสถานประกอบการ 82 ราย พบว่าบางรายใช้ที่ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งเดียวกัน มีลูกจ้างเป็นผู้ถือหุ้นมากผิดปกติ ตั้งเป็นสำนักงานกฎหมายและบัญชี โดยกระจายไปทั้ง 3 อำเภอ คือ อ.เมือง กะทู้ และถลาง ส่วนผู้จดทะเบียนนิติบุคคลต่างด้าวที่ถือหุ้นมากเป็นลำดับต้นๆ ได้แก่ อังกฤษ ออสเตรเลีย อิตาลี ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ส่วนสาขาของธุรกิจที่ดำเนินการเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์

             ทั้งนี้ บางบริษัทกำลังถูกเจ้าหน้าที่จับตาเป็นพิเศษ และอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบเส้นทางการเงิน การเสียภาษีต่างๆ รวมไปถึงความเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน

             ขณะเดียวกับเมืองพัทยา ก่อนหน้านี้มีความเคลื่อนไหวของ "ชมรมพัทยาสปา" ที่ร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอให้เข้าตรวจสอบการประกอบธุรกิจสปาในเมืองพัทยา พบว่ามีกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ทั้งรัสเซีย เกาหลี และจีน เข้ามาซื้อกิจการสปา เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวของชาติตัวเอง รวมไปถึงการที่ผู้ลงทุนต่างชาติจัดตั้งบริษัทมีคนไทยถือหุ้นแทน คาดการณ์กันว่า ด้วยจำนวนสถานประกอบการสปาที่ได้มาตรฐานกว่า 100 แห่ง จะมีสัดส่วนร้อยละ 50 ตกอยู่ในมือชาวต่างชาติ

             พฤติกรรมของมาเฟียรัสเซียในเมืองพัทยานั้น เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ตำรวจได้จับกุม นายไอรัต ฮาบิริยานอฟ อายุ 25 ปี ชาวรัสเซีย ผู้ต้องหาคดีปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด, ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังจากขยายผลในการจับกุมขบวนการหาผลประโยชน์ในเมืองพัทยาที่เกิดขึ้น โดยการร่วมมือกันระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติ เฉพาะเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายชาวรัสเซียรวม 10 คน เข้ามาร้องเรียนต่อศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ ดีเอสไอ ภาค 2 จ.ชลบุรี ว่า ถูกกลุ่มบุคคลชาวรัสเซียทำร้ายร่างกายและยึดพาสตปอร์ต

             ส่วนการขยายผลของเจ้าหน้าที่พบว่า มีชาวรัสเซียร่วมกับกลุ่มคนไทยและคนสัญชาติอื่น ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย โดยการปล่อยเงินกู้รายละ 5,000-30,000 บาท ผู้กู้จะต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อวัน หรือร้อยละ 60 ต่อเดือน ผู้กู้จะต้องทำสัญญาเงินกู้ และยึดพาสปอร์ตลูกหนี้ไว้เป็นประกัน เมื่อครบกำหนด 10 วัน จะต้องจ่ายดอกเบี้ยก่อน ลูกค้ารายใดไม่มีเงินจ่ายจะมีขบวนการติดตามทวงหนี้ถึงขึ้นทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยว หรือท้ายสุด หากลูกค้าไม่มีเงินจ่ายจะแจ้งตำรวจจับกุมในกรณีไม่สามารถแสดงพาสปอร์ตได้

             สำหรับ นายไอรัต ฮาบิริยานอฟ แกนนำกลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้ร่วมประกอบธุรกิจเงินกู้อยู่ในพื้นที่เมืองพัทยามาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 นี่จึงเป็นภาพของขบวนการหาประโยชน์ต่อชาวรัสเซียด้วยกันที่อาศัยอยู่ในเมืองพัทยา

             "พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพทุกด้าน จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการรวมตัวกันจะเกิดการตั้งเป็นเครือข่าย มีหัวหน้ากลุ่มทำหน้าที่ควบคุมดูแล แก้ปัญหาต่างๆ ให้คนสัญชาติเดียวกัน พยายามสร้างความคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ของไทย กระทั่งกลายเป็นมาเฟีย เริ่มหาผลประโยชน์ และทำธุรกิจผิดกฎหมายขึ้น เริ่มจากการค้ายาเสพติด หรือรับอาสาฟอกเงินจากต่างประเทศ โดยใช้ช่องกฎหมายไทยบางด้านหลบเลี่ยง หรือแม้แต่การค้ามนุษย์ข้ามชาติ โดยสั่งผู้หญิงจากประเทศตัวเองเข้ามาค้าประเวณี รวมทั้งอาชญากรรมข้ามชาติหลบหนีหมายจับของตัวเองเข้ามาหลบซ่อนตัวในเมืองพัทยา" ประวิทย์ ไชยบัวแดง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ ภาคตะวันออก ดีเอสไอ

             ประวิทย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจมากที่สุดคือ ใช้วิธีการหาคนไทยมาร่วมหุ้น ตั้งเป็นบริษัทเพื่อให้ได้สิทธิ์ขอวีซ่ารายปี มีสิทธิ์ซื้อบ้าน รถยนต์ ในนามของบริษัทต่างๆ แต่ความจริงบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อถึงเวลาก็จ้างคนมาทำบัญชีเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้อง แต่เบื้องหลังลักลอบกระทำผิดกฎหมาย โดยการนำเงินสดที่ได้จากกระทำผิดกฎหมายจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด หรือการฉ้อโกง เข้ามาในประเทศเพื่อฟอกให้ถูกกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน ระบบเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศไทย

             "เรากำลังทำงานร่วมกันกับทุกฝ่ายปราบปรามธุรกิจเหล่านี้ การที่รัสเซียเข้ามาอยู่ที่พัทยามากขึ้น ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว และทำธุรกิจ เพราะเห็นว่าพัทยามีความเป็นธุรกิจที่สามารถเอื้อให้คนชาติเดียวกัน" ประวิทย์ยืนยัน

             อย่างไรก็ตาม ในการแก้ปัญหาเบื้องต้นเรื่องมาเฟียในเมืองไทย ตัวแทนจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ ดีเอสไอ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เตรียมวางแผนกวาดล้างเครือข่ายธุรกิจนอกกฎหมาย โดยนำร่องที่ภูเก็ต ในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ ก่อนขยายไปยังพื้นที่อื่น

ไอ้เรือง

ไม่มีทางทำสำเร็จเชื่อเรืองเถอะ แค่แนะนำตัว กันเท่านั้นเอง.

k.จูน