วิเคราะห์ความเป็นไปได้"สภาประชาชน"

[ทีมงานบ้านเรา]

โดย ไทยพีบีเอส http://news.thaipbs.or.th


[attach=2]

การประสาน 2 ฝ่าย ระหว่างภาครัฐกับผู้ชุมนุม เพื่อพูดคุยหาทางออกให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ระบุว่า เป็นบทบาทโดยตรงของพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่จะกำหนดขึ้น แต่เบื้องต้นยืนยัน จะวางตัวอย่างเหมาะสม และไม่มีใครคิดจะรัฐประหาร ก่อนการพูดคุยจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 5 ธันวาคมนั้น กปปส. ชี้แจงรายละเอียดของข้อเสนอจัดตั้งสภาประชาชนแล้ว แต่ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและบุคคลในรัฐบาล ต่างออกมาปฏิเสธความเป็นไปได้ ดังนั้นทางออกของปัญหาจะขึ้นอยู่กับอะไรและเกี่ยวข้องกับปัจจัยใดบ้าง

ข้อเสนอของกปปส. โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เริ่มมีความชัดเจนขึ้น และลงลึกไปถึงรายละเอียด โดยอ้างอิงมาตรา 3 และมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นที่มาของสภาประชาชน พร้อมกับชี้ไปที่สถานการณ์บ้านเมืองที่จะถึงทางตีบตัน หลังระบอบทักษิณหมดอำนาจ


ข้อสมมุติฐานของกปปส.ว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาล และกำจัดระบอบทักษิณได้รับชัยชนะ จนนำมาซึ่งสถานการณ์บ้านเมืองที่เข้าข่ายเกิดสุญญากาศทางการเมือง สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ที่เขียนไว้ว่า เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครอง และกปปส.ก็บอกให้หยิบยกแนวทางตามมาตรา 3 มาพึงปฏิบัติแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งสาระสำคัญก็เขียนไว้ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัติรย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และนี่คือที่มาของสภาประชาชน

หากจะจับข้อมูลจากคำปราศรัยจะเห็นว่ากปปส.มีเจตจำนงค์จะให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สัญญาประชาคมว่าจะยุบสภาวันและเวลาใด เพื่อเลือกตั้งใหม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 และ 108 แต่ระหว่างนั้นนายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการตาม มาตรา 183 ที่บัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ตามที่ถวายคำแนะนำ โดยหมายถึงการแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางใจได้ เข้ามาทำหน้าที่ผู้นำประเทศและคณะรัฐมนตรีแทน และถึงเวลาที่จะใช้กลไกที่เหลืออยู่ นั่นคือ สภาสูง โดยนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา จะเป็นผู้ที่นำรายชื่อผู้เหมาะสมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมแต่งตั้ง ก่อนเริ่มต้นกระบวนการทำประชามติขอความเห็นกรณีการแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยการจัดตั้งสภาประชาชน เพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย

แต่บุคคลในรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาปฏิเสธความเป็นไปได้ โดยอ้างอิงว่า หากนายกรัฐมนตรีประกาศลาออก ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 ก็กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และหากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา แม้จะส่งผลให้ครม.พ้นจากตำแหน่ง แต่ตามมาตรา 181 นั้น ให้อำนาจ ครม. อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเหมือนครม.จริงทุกประการ

มือกฎหมายของพรรคเพื่อไทยออกมาบอกว่า มาตรา 3 และมาตรา 7 ไม่สามารถรองรับแนวทางของสภาประชาชนได้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระราชอำนาจผ่านรัฐสภา รัฐบาลและศาล ดังนั้นองค์กรอื่นใดจะใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงไม่ได้ ขณะที่ ประชาชนจะใช้อำนาจอธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง ทำประชามติ และเข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญ เสนอกฎหมาย รวมถึงการถอดถอน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น แล้วก็เลยเถิดไปบ้างก็ออกมาบอกว่า กปปส.กำลังฉีกรัฐธรรมนูญ นายสุเทพแพ้แล้วตะแบง หรือถึงขั้นบอกว่า จินตนาการเกินควร พร้อมกันนั้นก็เสนอว่า สภาประชาชนจะทำได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 64 ที่ระบุถึงการจัดตั้งสหกรณ์ สหภาพ และชมรมต่าง ๆ แล้วก็บอกว่าหากกระทำการนอกเหนือกฎหมาย อาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองอีกด้วย

คงต้องบอกว่ารัฐบาลและกปปส.พูดกันคนละเรื่อง และยังอยู่ในห้วงของการต่อรอง เพื่อหาจุดร่วม หากแต่ว่าฝ่ายใดจะถอยหรือยอมรับเงื่อนไขของกันและกันได้มากน้อยแค่ไหน มี 2 ปัจจัยที่จะเข้ามาตัดสิน นั่นคือการใช้เวทีของการพูดคุย และสุดท้าย สถานการณ์เท่านั้นที่จะเป็นคำตอบของโจทย์ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายตั้งขึ้นเอง

[takam jaidee]

ยังไงก็ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย ของการประท้วงนะ ประเทศไทย ถือเป็นของขวัญรับ AEC ก็แล้วกัน