ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เลือกข้างแล้ว !!!

เริ่มโดย ล ลิง, 19:58 น. 26 มิ.ย 54

ล ลิง



[attach=1]

คำแปล

"ผมได้ตัดสินใจแล้วที่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์และท่านนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยและอาเซียน"

"หลังจากการรับชมการอภิปรายของท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ทางช่องบีบีซี เวิลด์ ในแง่มุมที่หลากหลายของเอเชีย ทำให้ผมประทับใจเป็นอย่างมากกับภาวะความเป็นผู้นำของท่าน"

"ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ และแผนงานในอนาคตที่จะนำพาประเทศไทยไปข้างหน้านั้น ได้รับการสนับสนุนจากผมอย่างสุดหัวใจ"

[attach=2]

ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล tweets เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2554



ขยายความ

ขอฉายภาพดร.สมเกียรติ อ่อนวิมลอีกที เผื่อน้องๆที่เกิดไม่ทันจะได้รู้จักว่าบุคคลท่านนี้มีความสำคัญต่อวงการสื่อไทยอย่างยิ่งยวด เปรียบเหมือนสระน้ำที่นิ่งและเน่ามานานแสนนาน ได้ดร.สมเกียรตินี่แหละมาช่วยทำให้น้ำในสระดูใสขึ้น ต้นไม้และสัตว์น้ำพวกกุ้งหอยปูปลามาอาศัยเต็มไปหมด ทำให้สระน้ำที่กำลังจะตายสนิท ดูมีชีวิตชีวาจนถึงบัดนี้
สมัยก่อนข่าวทีวีน่าเบื่อมาก จะมีแต่เรื่องของรัฐบาลและวงการราชการ คนอ่านข่าวส่วนใหญ่จะอายุมาก อ่านข่าวเนิบๆไม่น่าติดตาม เปิดช่องไหนเจอข่าวจะถูกเปลี่ยนไปดูช่องอื่นที่เป็นละคอนหรือการ์ตูน เป็นแบบนี้มาหลายปี จนกระทั่งดร.สมเกียรติเข้ามานำเสนอข่าวในรูปแบบใหม่ๆ ด้วยทีมงานหนุ่มๆสาวๆที่ถูกฝึกปรือมาอย่างดี เช่นเอาข่าวที่เกิดสดๆร้อนๆมาบอกให้รู้ โดยให้นักข่าวคอยรายงานสดๆหรือมีสกู๊ปพิเศษวิเคราะห์ข่าวถึงที่มาที่ไปของเนื้อข่าว ทำให้คนดูหันมาสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น จนแย่งคนดูละคอนมาได้มหาศาล ทุกวันเมื่อถึงเวลาข่าวผู้คนรอคอยว่าวันนี้จะมีข่าวอะไรบ้าง? ทีวีช่องอื่นก็พากันเลียนแบบ ปฏิวัติการเสนอข่าวตั้งแต่นั้นมาจนมีการพัฒนาแข่งขันกันเป็นที่คึกคัก ทีวีก็มีรายได้เพิ่ม คนดูก็ได้รับข่าวสารหลายด้านและเพิ่มพูนความรู้มากขึ้น 
วงการสื่อไทยทุกแขนงก็พลอยได้อานิสงฆ์ปฏิวัติรูปแบบการนำเสนอให้ดูแปลกใหม่น่าสนใจกว่าเก่า ถ้าจะบอกว่าดร.สมเกียรติคือผู้ปฏิวัติวงการสื่อของประเทศไทย ใช่เลยครับ

ปชปหัวก้าวหน้า

ช่วยอ่านบทความนี้นะ เพื่อเบิกเนตรและช่วยต่อยอดความคิดท่าน
นายสมเกียรติ อ่อนวิมล กับนายปีย์ มาลากุล มีความสัมพันธในฐานะลูกจ้างกับนายจ้าง โปรดอ่านดูความโหดเหียมของนายปีย์ ที่ทำลายระบบประชาธิปไตย

   พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณอดีตนายกฯโฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ 19 ก.ย.2549 ว่า

        เป็นเรื่องจริง!

        พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี บอกว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่เคยเชิญตนเข้าร่วมประชุม แต่พล.อ.พัลลภ ได้ให้สัมภาษณ์กระแทกต่ออีกครั้งว่า นาย ปีย์ มาลากุล เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเป็นผู้เชิญตน และประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่ยังมีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณว่า จะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร  โดยมี 2 แนวทาง คือ
        - ทางด้านรัฐธรรมนูญ หรือทางด้านกฎหมาย           
        - ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จ ก็จะทำรัฐประหาร



        พล.อ.สุรยุทธ์ฯ เจ้าของเขายายเที่ยงพาเลซ ออกมาแถลงยอมรับว่า มีการพบปะกันจริง แต่เป็นการคุยกันเรื่องบ้านเมือง แต่ไม่ยอมรับว่ามีการคุยกันถึงเรื่องการทำรัฐประหาร 
        การพูดแบบนี้ คนที่เป็นตำรวจก็จะรู้ว่า เป็นคำให้การแบบ "ภาคเสธ" คือแบ่งรับแบ่งสู้ คือรับบางส่วนและก็ปฏิเสธบางส่วน
        พล.อ.พัลลภ ได้ให้รายละเอียดว่า นาย ปีย์ มาลากุล เป็น หัวโจกในการนัดกินข้าว โดยมีบุคคลที่ไปร่วมประกอบด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายปราโมทย์ นาครทรรพ และมีตุลาการ 3 นาย คือชาญชัย ลิขิตจิตถะ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา เป็นประมุขฝ่ายตุลาการ และนายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้พิพากษาในขณะนั้น ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น คือ นายอักขราทร จุฬารัตน์ คนเก่าแก่ของสำนักงานกฤษฎีกา ซึ่งต่อมาเมื่อมีการเปิดศาลปกครอง บุญพาวาสนาส่ง ได้ตำแหน่งประธานตุลาการ ศาลปกครองสูงสุด

        ความขี้เท่อของนายปีย์ฯ ซึ่งเป็นเจ้าของสื่อ ทั้งหนังสือรายสัปดาห์และกระบอกเสียง จส.100 (ที่คนลือว่าเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ของนายหัวเกลี้ยงคนนี้) ปรากฏออกมาให้ผู้คนเขาจับได้ เพราะดันให้สัมภาษณ์ ว่า       
        ตนเชิญนายปราโมทย์มา เพราะเป็นนักกฎหมาย และโด่งดังจากบทความเรื่องปฏิญญาตอแหลฟินแลนด์ ซึ่งสิ่งที่นายหัวล้านแกพูดนั้นไม่จริง เพราะนายปราโมทย์ฯไม่ได้เป็นนักกฎมาย
        นายปีย์ฯยังอ้างว่า ตนเชิญพล.อ.พัลลภฯก็เพราะโด่งดังจากเรื่องคาร์บอมบ์ ต่อมาบรรดาคอการเมือง เขาได้จับคำพูดของนายปีย์ฯ ไปเทียบวันเวลากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ปรากฏ ว่า
        ในวันที่คนพวกนี้ยกโขยง ไปชุมนุมกันที่บ้านนายปีย์นั้น ทั้งสองเหตุการณ์อย่างปฏิญญาตอแหลฟินแลนด์ ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่เกิดถัดไปอีก 12 วัน หลังจากวันประชุม (และเป็นเหตุให้นายกฯทักษิณฟ้องร้อง จนนายปราโมทย์ต้องแพ้ความ ศาลสั่งจำคุก 1 ปี) ส่วนเรื่อง คาร์บอมบ์นั้นก็อีกเป็นเดือน กว่าจะเกิดขึ้น
        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองเหตุ หลังการประชุมที่บ้านนายปีย์ ล้วนแต่เป็นผลร้ายกับทักษิณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปฏิญญาตอแหลแลนด์ คาร์บอมบ์ การยึดอำนาจ รวมถึงการตัดสินคดีความที่ติดตามมา ซึ่งคนเขารู้สึกว่ามันพิลึกพิลั่น และทำให้คุณทักษิณตกอยู่ในฐานะลำบาก
        ตรงนี้เอง ที่นักสืบรุ่นลูกศิษย์คนหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตกับผม ว่า
        "สงสัยว่า ไอ้หัวล้านมันคงเรียกคนพวกนี้ไป 'แจกงาน' แต่ตัวเอง ดันจำสับสน!?"
        อือม์....เขาพูดจาก็มีเหตุผล น่าคิดอยู่นะ หรือท่านผู้อ่านที่รักของผม มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ?
        สิ่งที่คาดไม่ถึงอีกอย่างหนึ่งคือ พล.อ.พัลลภฯได้เปิดเผยว่า นายปีย์ฯนั้น มีพฤติกรรมอุกอาจ โดยพูดกับตนว่า 
        "ทำให้ทักษิณ หายไปได้ไหม!?"
        พูดกันทื่อๆแบบหัวหน้าซุ้ม ถามมือปืนในคาถาเอาดื้อๆว่า "ฆ่าทักษิณได้ไหม!?" นั่นเอง!
        หากเป็นความจริง (ขอเน้นว่า "หากเป็นความจริง") ตามคำของ พล.อ.พัลลภฯ คำพูดมุ่งร้ายของนายปีย์นั้น ก็กลายเป็นสิ่งที่เปิดหน้ากากคนที่หน้าฉากดูดี แต่หลังฉากมันกลายเป็นแค่ไอ้พวกอันธพาลชั้นต่ำ ที่มุ่งปลิดชีวิตผู้คน ไม่ผิดอะไรกับคำว่า gangster อย่างที่นายปากปีจอ ใช้กล่าวหาผู้นำต่างชาตินั่นเอง!
        โอ้โฮ! นี่ถ้าเปลี่ยนเป้าหมาย จากมุ่งเอาชีวิตทักษิณ ไปเป็นคนที่อยู่ในวงการบู๊ลิ้ม อย่าง "ป๋าลอ" ป่านนี้นายหัวเลี่ยนคงต้องย้ายที่นอนหรือไม่ก็ได้กลับบ้านเก่า ทิ้งให้เมียเป็นม่ายแล้ว!

        ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
        ผมว่าพฤติกรรม ของคนอย่างนายปีย์ฯนั้น เป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมาย เพราะไอ้พวกหน้าม้า ที่รับงานจัดฉาก เป็นตัวประสานประโยชน์ เฉกเช่นการทำธุรกิจนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ครั้งนี้เป้าหมายไม่ได้หา "กำไร" หากแต่มุ่งโค่นล้มรัฐบาล เพื่อเปิดทางให้คนอย่างพล.อ.สุรยุทธ์ เข้าสู่อำนาจ!
        ขอให้ท่านผู้อ่าน ลองสังเกตให้ดีๆ เมืองไทยนี่ก็แปลก คนทำไม่ดีกับบ้านเมือง ไม่ช้านานเบื้องหลังความระยำต่างๆ ก็มักถูกเปิดเผยสู่สาธารณชน และเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ผมเห็นว่ามันยิ่งเสริมให้หลักฐานหนักแน่น ดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะคำยืนยันของผู้ร่วมขบวนการฝ่ายพันธมาร ที่ออกมาลำเลิกเอาบุญคุณพล.อ.สุรยุทธ์ เพราะเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯได้แล้ว ยังไม่ได้ยกสถานีโทรทัศน์ให้เขาไปช่องหนึ่ง ตามที่ได้ตกปากลงคำเอาไว้
        ตรงนี้เอง ทำให้หลักฐานแผนการโค่นล้มรัฐบาล ดูมั่นคงมากยิ่งขึ้นในสายตาผู้คน (รวมทั้งผมด้วย!)
        การพูดจาแก้เกี้ยวเลี้ยวลด เคี้ยวคดไปมานั้น สื่อที่เขาคอยตรวจสอบอยู่ ก็สามารถจับได้ไล่ทัน ทางฝ่ายคุณทักษิณฯน่าจะลองดำเนินการตามกฎหมาย โดยแจ้งความเอาผิดนายปีย์ฯ เรื่องพยายามจ้างวานฆ่าผู้อื่น และร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานล้มล้างรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายดู น่าจะครึกครื้นดีไม่น้อย
        ขอตั้งข้อสังเกต เพิ่มเติมอีก กล่าวคือ
        ข้อสันนิษฐาน อันเกิดจากคำแถลงของพล.อ.พัลลภฯ และพยานแวดล้อมต่างๆ ยังทำให้ผมมองเห็นว่า การกระทำของคนอย่างนายปีย์ฯ ในฐานะต้นคิดหรือผู้ประสานประโยชน์ เขาก็เป็นแค่นักธุรกิจ ส่วนนายปราโมทย์ฯนั้น ก็เป็นเพียงคนสายตาชำรุด ทำได้แค่มะงุมมะงาหราขึ้นเวที ตีฝีปากพ่นไปเห่าไปเท่านั้น ไม่ได้มีพิษสงแต่ประการใด
        แม้แต่พล.อ.สุรยุทธ์ฯนั้น ผมก็ยังพอเข้าใจได้อีก ทั้งนี้จากการจับคำพูดเรื่องการสัญยิงสัญญาว่า จะยกสถานีโทรทัศน์ให้  พันธมาร 1 ช่อง ที่ให้สัญญาลมๆแล้งไปอย่างนั้น ก็แค่แกกระสัน เพราะอยากเป็นนายกรัฐมนตรี...ก็เท่านั้นจริงๆ!
        อยากจะกราบเรียน กับท่านผู้อ่านว่า สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลย ก็คือ คนซึ่งดำรงตำแหน่งอย่างนายอัคราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้พิพากษา ดันไปร่วมประชุมกับเขาด้วย และที่ผมตกใจมาก จนเกือบจะช็อค ก็คือ 
        บุคคลที่เป็นประมุข ของบรรดาผู้พิพากษาทั้งหลายในประเทศนี้ คือ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ดันผ่าไปร่วมประชุมซึ่งที่บ้านนายปีย์ฯด้วย น่าเศร้าเสียใจมาก
        สังคมรับไม่ได้หรอกครับ รู้ไปถึงไหน...อายเขาถึงนั่น!

        มีพรรคพวกคนหนึ่ง ถามผมว่า
        "การประชุมที่บ้านนายปีย์นั้น เป็นไปตามทฤษฎีสมคบคิด(Conspiracy Theory) ใช่หรือไม่ครับอาจารย์?
        ผมตอบว่า "ไม่ใช่" แล้วอธิบายเหตุผล ดังนี้
        ทฤษฎีสมคบคิดนั้น ข้อเท็จจริงมีน้อย แต่ได้นำความเท็จ หรือความคิด แม้กระทั่งจินตนาการ มาร้อยเรียงต่อเติมเสริมแต่งกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่น้อยนิดนั้น ด้วยการจัดเวลาให้ดูพอเหมาะ เพื่อใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์อื่นซ่อนเร้น แต่เรื่องที่บ้านนายปีย์ฯ ไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเป็นการสุมหัวเพื่อการก่อการกบฏ! (ใครจะเรียกปฏิวัติหรือ รัฐประหารก็เชิญ) และเป็นเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเวลาต่อมาภายหลัง ได้รับการพิสูจน์ทราบแล้วว่า
        มีเหตุผลสอดคล้อง เจือสมกับเหตุการณ์ประชุมสุมหัวที่เกิดขึ้น อย่างลงตัวเหมาะเจาะ โดยไม่จำเป็นต้องเติมเสริมแต่งแต่ประการใด 
        ถึงกระนั้น ผมยังเห็นว่า ไม่สำคัญเท่ากับเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อๆมาที่เกิดขึ้นโดยฝ่ายตุลาการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังมาลงโทษกับฝ่ายคุณทักษิณ หรือผลคดีที่ปรากฏต่อสาธารณชนในเวลาต่อมา ที่คนในประเทศนี้ซุบซิบกันว่ามันบิดเบี้ยว ขาดความเป็นธรรมชัดเจน จึงเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ศาลยุติธรรม ซึ่งผู้คนในชาติเคยให้ความไว้วางใจ พึ่งพาอาศัยได้ แต่มาบัดนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยลงแล้ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังการประชุมอัปรีย์ที่บ้านนายปีย์ฯ ดูประดุจผู้พิพากษาถูกชักจูงโดยฝ่ายการเมือง เพราะ...
        ดันไปเลือกขั้ว เลือกข้าง กับเขาด้วย!
        ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มีผลทำให้ระบบศาลไทย ซึ่งเสมือนเสาหลักแห่งความยุติธรรมของประเทศ จึงดูผุกร่อน ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด จนดูเหมือนประเทศเรา กลายเป็นบ้านเมือง ที่ขาดความเป็นธรรมไป
        จากนี้ต่อไป จะให้ประชาชนคนในชาติ เคารพไว้วางใจศาลสถิตยุติธรรม ไม่ได้สนิทใจอีกแล้ว...ตรงนี้น่าเสียดายยิ่งนัก!

        อยากจะประกาศให้ดังๆ ตรงนี้ว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าประมุขศาลสถิตยุติธรรม ที่ชื่อ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ไปบ้านของ "นายหัวล้าน-หัวร้าย" ในวันนั้น ได้ส่งผลกระทบกระเทือนทางจิตใจ ให้กับผู้คนที่รักความเป็นธรรม ในบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งนัก
        แม้ขณะนี้เจ้าตัว คือ นายชาญชัยฯ ซึ่งเป็นอดีตประธานศาลฎีกาไปแล้ว จะยังไม่ออกมาแถลงตอบโต้ แต่ผู้คนจำนวนมาก (รวมทั้งผมด้วย) เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย ว่า

        การพบปะกันของคนกลุ่มนี้ ที่บ้านนายปีย์ มาลากุล ในวันอุบาทว์นั้น เป็นการไป...
        'สุมกบาล' เพื่อการก่อกบฏ หรือใครว่าไม่จริง!!!?

ข้างบิ๊กซี

สรุปว่า..ถ้าคนดีเขาเพื่อชาติ มันก็สมควร ทั้งครั้งนี้และครั้งต่อๆไป

ผู้เฒ่าเต่า

อย่าใช้ภาษาผิด ๆ สะกดผิด ๆ เดี๋ยวภาษาที่ ปู่ ย่า ตา ยาย ใช้กันมานมนานจะวิบัติไปกันหมด   
              พลังคลื่นเต่า..........ปู๊ด !!!!!!