ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

คนละมุมเดียวกัน เปลี่ยนสีจีวร

เริ่มโดย ทีมงานประชาสัมพันธ์, 09:46 น. 27 ก.พ 57

ทีมงานประชาสัมพันธ์

updated: 24 ก.พ. 2557 เวลา 13:00:56 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันมาก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้ว สำหรับการเปลี่ยนสีจีวร

หลังจากเมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา (14 กุมภาพันธ์) "สมเด็จพระวันรัต" รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะรักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ตัดสินใจลงนามบนคำสั่งประกาศคณะธรรมยุต


เรื่อง "การครองผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม" อันมีสาระสำคัญว่าด้วยการกำหนดให้พระภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุตทุกรูปเปลี่ยนผ้าไตรจีวรจากเดิมที่นิยมครอง "สีกรัก"กับ "สีแก่นบวร" ให้เป็น "สีพระราชนิยม" อันเป็นสีพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมือนกันอย่างพร้อมเพรียงตั้งแต่วันวิสาขบูชาปีนี้เป็นต้นไป (13 พฤษภาคม) เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ

จากเดิมแค่ระบุเอาไว้ให้พระสงฆ์ต้องครองผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม ต่อเมื่อได้รับกิจนิมนต์เข้าพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง รวมทั้งพิธีพระราชทานสมณศักดิ์ในแต่ละปีเท่านั้น ส่งผลให้พระสงฆ์สายอื่น ๆ ค่อนข้างหวั่นใจกับประกาศครั้งนี้มากพอสมควร เนื่องจากการเปลี่ยนสีผ้าไตรจีวรอาจจะกระทบต่อขนบธรรมเนียมปฏิบัติเดิมของพระสงฆ์บางสายบางนิกาย

โดยเฉพาะ "พระสายวัดป่า" อย่าง "พระสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน" ที่ยึดถือการครองผ้าไตรจีวรสีแก่นขนุนเข้ม (น้ำตาลเข้ม) ตามแบบฉบับสืบทอดของครูบาอาจารย์เมื่อครั้งโบราณอย่างเคร่งครัด

ขณะที่พระสงฆ์มหานิกายสายเถรวาท ซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศจะนิยมครองจีวรสีเหลืองทองเป็นหลัก

"พระเทพวิสุทธิกวี" รองเจ้าคณะภาค 16, 17, 18 ธรรมยุติ วัดราชาธิวาสวิหาร ได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นการกำหนดสีจีวรพระสงฆ์ว่า "ไม่ใช่เรื่องใหม่" เพราะเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกันเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ก่อนที่จะได้รับการลงคะแนนเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์ในช่วงที่ผ่านมา

"การเปลี่ยนสีจีวรครั้งนี้ได้มีการศึกษามาแล้วว่าไม่ผิดธรรมวินัยแต่อย่างใด เนื่องจากสีที่จะถูกนำมาใช้ หรือสีที่ถูกเรียกว่าสีพระราชนิยม ก็อยู่ในโทนสีของเปลือกไม้ ที่ไม่ดำไม่เขียว ไม่แจ๊ด ซึ่งสีจีวรพระในสมัยอดีตกาล ก็ใช้โทนสีใกล้เคียงกัน แม้แต่สีชมพูเปลือกไม้ หรือที่เรียกว่าสีอรุณ ก็ยังสามารถใช้ได้"

ขณะเดียวกันได้มีการบันทึกเอาไว้ใน "พระบาลี" ของพระไตรปิฎก เล่มที่ 4 ด้วยเนื้อความว่า "พระพุทธเจ้า" ได้อนุโลมให้พระสงฆ์สามารถปฏิบัติตามคำขอของพระราชาได้ หากเรื่องนั้นมิใช่สิ่งที่ขัดแย้งต่อพระวินัย ดังนั้น การเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีพระราชนิยม จึงไม่มีความผิดใด ๆ

พระเทพวิสุทธิกวีอธิบายเพิ่มเติมว่า พระสงฆ์ไม่ควรยึดติดอยู่กับรูป, รส, กลิ่น, เสียง ฉะนั้นแล้ว จีวรจะใช้สีใดก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อผู้พบเห็น หากจีวรเป็นสีเดียวกันทั้งหมด ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า

"แต่เดิมที่ยามอาตมาต้องเดินทางไปทำกิจนิมนต์ที่อื่น อาตมาจะต้องเตรียมจีวรไปเปลี่ยนด้วย ทั้งสีเข้ม สีอ่อน เพื่อจะห่มจีวรให้กลมกลืนกับพระรูปอื่นภายในงาน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นที่ไม่เรียบร้อยต่อผู้พบเห็น ดังนั้น หากมีการยึดใช้สีจีวรเดียวกัน อาตมาก็เห็นควรด้วยเป็นอย่างยิ่ง"

อย่างไรก็ตาม พระเทพวิสุทธิกวีชี้แจงว่า คำสั่งประกาศคณะธรรมยุตที่เป็นข่าวในขณะนี้ ไม่ได้เป็นข้อบังคับให้พระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตทุกรูปต้องทำตาม แต่หากเป็นการประกาศขอความร่วมมือ เพื่อสร้างวินัยให้เกิดขึ้นในหมู่คณะสงฆ์เพียงเท่านั้น

แม้จะได้รับคำยืนยันจากพระเทพวิสุทธิกวีว่าไม่ได้เป็นกฎข้อบังคับ แต่คำประกาศดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อการซื้อขายผ้าไตรจีวรอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้น "ทีมงานดีไลฟ์" จึงได้ลงไปสำรวจความคิดเห็นและ "สีจีวรยอดนิยม" จากผู้ค้าสังฆภัณฑ์ย่านเสาชิงช้า พบว่าส่วนใหญ่มองปรากฏการณ์ภายในวงการสงฆ์ของไทยไปในทิศทางเดียวกัน

นิธิรัชช์ เจ้าของร้านสังฆภัณฑ์ "ล้อฮงง้วน" อธิบายว่า จีวรพระสงฆ์ที่มีขายตามท้องตลาด ส่วนใหญ่จะมีอยู่ไม่เกิน 3-4 สีเท่านั้น แต่สีที่นิยมมากสุดในปัจจุบันมีเพียง 3 สี คือ "สีพระราชนิยม", "สีเหลืองทอง" และ "สีกรัก (แก่นขนุนเข้ม)" ที่พระสงฆ์และคนทั่วไปเข้ามาซื้อหากันบ่อยครั้ง ผิดกับสีอื่น ๆ แปลก ๆ อย่างเช่น "สีกรักดำ" หรือ "สีกรักแดง" ที่นานทีปีหนถึงจะมีความต้องการซื้อจากลูกค้า

ด้วยเหตุนี้ เจ้าของร้านล้อฮงง้วนจึงเห็นว่า การกำหนดให้มีการเปลี่ยนสีจีวรพระสงฆ์ให้เป็นแบบเดียวกัน ไม่เป็นปัญหาต่อการค้าขายของร้านสังฆภัณฑ์มากนัก แต่น่าจะส่งผลต่อผู้ซื้อ ซึ่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นสำคัญ

"ได้ยินมาเหมือนกันว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนสีจีวรของพระสงฆ์ให้เป็นสีเดียวกันหมด ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะน่าจะเป็นเรื่องง่ายต่อคนทั่วไปที่มาซื้อหาจีวรไปถวายพระสงฆ์ ไม่ต้องสับสน หรือเลือกซื้อผิดสีผิดแบบให้มากความ แต่มีข้อเสียอยู่ในส่วนของพระป่าที่ต้องห่มจีวรสีเข้ม หากมีการกำหนดให้เปลี่ยนจริง คงเกิดปัญหาเลอะเทอะเวลาออกธุดงค์" เจ้าของร้านล้อฮงง้วนกล่าว

ผู้ค้าสังฆภัณฑ์รายหนึ่งในย่านเสาชิงช้าแสดงความคิดต่อการเปลี่ยนสีจีวรว่า ยังไม่ค่อยเห็นความจำเป็นสักเท่าไหร่นัก ที่จะต้องเปลี่ยนสีจีวรให้เหมือนกันหมด เอาเข้าจริงแล้ว กรมการศาสนาในประเทศไทยก็ไม่สามารถคุมเรื่องนี้ได้อย่างจริง ๆ จัง ๆเพราะการเลือกสีจีวรของพระสงฆ์ ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับวัดที่สังกัดเป็นหลักอยู่ดี

"การห่มจีวรของพระมักขึ้นอยู่กับวัดที่สังกัดอยู่ หากวัดไหนบังคับให้ต้องห่มเหมือนกัน พระก็ต้องทำตาม แต่ถ้าไม่มีข้อบังคับของวัด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความจริงแล้ว เรื่องสีจีวรที่พูดถึงกันอยู่ตอนนี้ ส่วนตัวมองว่าไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าใส่สีเพี้ยนจากข้อกำหนด หากใจไม่เพี้ยน ก็คงไม่มีปัญหา ทุกอย่างอยู่ที่การเอาใจเป็นที่ตั้ง ดังนั้น จะสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ดูพระสังฆราช หรือพระผู้ใหญ่ในบ้านเมืองใส่สีอะไร ก็ใส่ตามนั้นไป"

ร้านค้าส่งจีวร "ล้อย่งฮะ" บอกว่า นอกจากสีพระราชนิยมกับสีเหลืองทองแล้ว ก่อนหน้านี้วงการสงฆ์เมืองไทยนิยม "จีวรสีแก่นบวร" มากพอสมควร เนื่องจากเป็นสีเดียวกับที่ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" เคยสวมใส่ อีกทั้งหากถอยหลังไปอีกหน่อย ก็จะพบว่ามีสีจีวรอีกมากมายเสื่อมความนิยมและตกรุ่นลงไปหลายเฉด

จากคำชี้แจงข้างต้นของร้านล้อย่งฮะอาจกล่าวได้ว่า นอกจากข้อกำหนดของวัดประจำสังกัดแล้ว "สมัยนิยม" ก็นับว่ามีผลต่อการตัดสินใจเลือกสีจีวรของพระสงฆ์ไม่น้อยทีเดียว

แต่ในกรณีของฆราวาสผู้ซื้อจีวรไปถวายพระสงฆ์ นับว่ามีเรื่องต้องระวังอยู่เช่นกัน เพราะต้องสังเกตและศึกษาให้รอบคอบก่อนว่า วัดที่กำลังจะนำจีวรไปถวายห่มสีอะไร

ไม่เช่นนั้น จีวรผืนดังกล่าวอาจจะไม่เกิดประโยชน์ใช้สอยมากพอต่อพระรูปนั้นก็เป็นได้

คุณหลวง

    เป็นเรื่องขำอีกเรื่องของปีนี้กระมังครับ

    มันทำให้ผมนึกถึงความงามของสงฆ์ ว่าจริงๆแล้ว สงฆ์งามที่ใด หมู่สงฆ์สมัยพระพุทธองค์งามที่ใด พระองค์ตรัสไว้งามที่ใด วัตถุใด

    และถามว่าท่านคิดอะไรของท่าน

    หากห่มจีวรสีเดียวกันแล้วงามต่อหน้าคน ลับหลังไม่คำนึงสำคัญพระวินัยก็น่าขำ ห่มจีวรสีเดียวกันแล้วโทรจีบสาว เน็ตล่อแหลม งามหรือไม่?

อ้างถึงพระเทพวิสุทธิกวีอธิบายเพิ่มเติมว่า พระสงฆ์ไม่ควรยึดติดอยู่กับรูป, รส, กลิ่น, เสียง ฉะนั้นแล้ว จีวรจะใช้สีใดก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อผู้พบเห็น หากจีวรเป็นสีเดียวกันทั้งหมด ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า

"แต่เดิมที่ยามอาตมาต้องเดินทางไปทำกิจนิมนต์ที่อื่น อาตมาจะต้องเตรียมจีวรไปเปลี่ยนด้วย ทั้งสีเข้ม สีอ่อน เพื่อจะห่มจีวรให้กลมกลืนกับพระรูปอื่นภายในงาน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นที่ไม่เรียบร้อยต่อผู้พบเห็น ดังนั้น หากมีการยึดใช้สีจีวรเดียวกัน อาตมาก็เห็นควรด้วยเป็นอย่างยิ่ง"

    ผมว่าความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อผู้พบเห็นนั้นน่าจะอยู่ที่ความสำรวมมากกว่าครับ เคยเห็นพระห่มสีพระราชนิยมแล้วเวิกผ้า ดูดบุหรี่ รอรถเมล์ไหม งาม???

    การที่ท่านพระเทพวิสุทธิกวีบอกว่าท่านต้องเตรียมจีวรไว้หลายชุดเพื่อความกลมกลืนนั้น ถามว่าการมีจีวรมากเกินความจำเป็น มากเกินพระพุทธบัญญัตินั้น สะสมนั้น เป็นความงามหรือไม่ เราควรส่งเสริมพระสงฆ์ไปในทิศทางใด เราจำเป็นไหมที่ต้องเอาใจชาวบ้าน เกรงใจสายตาผู้คนจนต้องทำอย่างนั้น ความทะนงแห่งเพศสมณะอยู่ที่ใด

    การห่มจีวรสีต่างกันไม่ก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อยต่อสายตาผู้พบเห็นนะครับ แต่การไม่สำรวมระวังต่ออาการกาย อาการวาจา (และรวมไปถึงใจ แต่มองด้วยตาไม่เห็นเลยยกไว้)ต่างหาก พฤติกรรมต่างหากที่จะก่อศรัทธาหรือรังเกียจ มิใช่สีจีวร

    ผมว่าเอาเวลาไปจริงจังกับเรื่องพฤติกรรมพระสงฆ์ดีกว่าที่จะมาเล่นเรื่องฝอยๆอย่างนี้ เพื่อนผมเคยเล่าว่าเขาเป็นพระนักเรียน อยู่ที่วัด ท่านเจ้าอาวาสอนุญาตฉันตอนไหนก็ได้ เพื่อเอาแรงเรียน ท่านว่าอย่างนั้น การกระทำอย่างนั้นมันจะก่อกำเนิดพระที่ดี ควรแก่เคารพให้พระพุทธศาสนาหรือไม่?

    หรือการที่อนุญาตให้ฉันเมล็ดทานตะวันได้ในวิกาลอ้างว่าเป็นเกสรดอกไม้ จนพระนำมาประพฤติไม่เลือกที่ทาง จนครหานั้นงามหรือไม่?

    อันนี้ ที่ว่ามาทั้งหมด มิได้มีเจตนาลบหลู่ หรือติเตียนแต่อย่างใดนะครับ เพียงแต่อยากให้เรามองหาสาระมากกว่าจะมายึดติดกับเรื่องสีวรอย่างนี้ เพราะหากว่าท่านไม่ยึดติดจริง ท่านห่มสีอะไรก็สามารถเข้าได้ในทุกที่ แต่เพราะยึดติดต่างหากจึงต้องสะสมจีวรหลากสีไว้เพื่อเอาใจสายตาคนอื่นๆ(ที่เขาอาจจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าพระห่มจีวรสีใด)

    ลองจินตนาการภาพหมู่สงฆ์สมัยพระพุทธองค์สิครับ ต่างเอาผ้าเหลือ ผ้าห่อศพ ผ้าทิ้งแล้วมาเย็บมาห่ม มันจะหลากสีเพียงใด เวลาไปกันหมู่ใหญ่คงลายน่าดูชม ยิ่งบางองค์ปะแล้วปะอีก ผืนเดียวกันคงลายพอสมควรแต่ทำไมยังมีคนศรัทธามากมายปานนั้น เพราะสีจีวร หรือเพราะวิชชา จรณะ

    แล้วเรื่องพระหากินกับความเชื่อของคน การลงเสน่ห์ เลขยันต์ สะเดาะเคราะห์ ทำเหรียญขาย ฯลฯ เอาจริงเอาจังกับเรื่องพวกนี้ดีกว่าไหมครับ

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ผู้พันแซนเดอร์ส

ตามประกาศนั้นให้นุ่งห่มจีวรสีพระราชนิยมในงานพิธีราชการ งานหลวงเท่านั้น นอกจากนั้น จะนุ่งห่มสีอะไรก็ได้
ประการต่อมา ผมเองนั้นเคยเป็นศิษย์หลวงพ่อปัญญานันทะ ท่านสอนเสมอว่าให้ยึดแก่น อย่ายึดเปลือก พระมีหน้าที่อะไร อยู่เพื่ออะไร หากมองให้ลึกซึ้ง สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลต่อการปฏิบัติธรรม หรือ สั่งสอนธรรมให้ฆราวาสเลยครับ
ในมุมพระเถระผู้ใหญ่ เมื่อมีงานราชพิธีที่สำคัญ การนุ่งห่มจีวรสีเหมือนกัน ก็เหมือนการที่ข้าราชการใส่ชุดขาววันพิธีสำคัญๆ เท่านั้นเองครับ เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ได้มีนัยอะไรเลย

มีฝรั่งถามหลวงปู่ชา (วัดหนองป่าพง) ว่า ศาสนาพุทธสอนอะไร
หลวงปู่ชาใช้ให้ฝรั่งคนนั้นยกหินก้อนใกล้ตัว แล้วถามว่าหนักมั้ย
ฝรั่งคนนั้นยกหินอยู่ จึงตอบหลวงปู่ชาว่าหนักครับ
หลวงปู่ชาจึงบอกให้วางลง
แล้วบอกว่า  พระพุทธเจ้าสอนแค่ว่าอะไรที่หนักอยู่ก็ให้วางลง พระพุทธองค์สอนเท่านี้เอง

ฉันใดก็ฉันนั้นครับ ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก หรือ เรื่องใหญ่ ศาสนาพุทธ สอนให้มีเหตุผล ใช้สติปัญญา สิ่งที่ยึดถือต้องเป็นแก่น ไม่ใช่เปลือกครับ

Mr.No

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 12:51 น.  04 มี.ค 57
    เป็นเรื่องขำอีกเรื่องของปีนี้กระมังครับ

    มันทำให้ผมนึกถึงความงามของสงฆ์ ว่าจริงๆแล้ว สงฆ์งามที่ใด หมู่สงฆ์สมัยพระพุทธองค์งามที่ใด พระองค์ตรัสไว้งามที่ใด วัตถุใด

    และถามว่าท่านคิดอะไรของท่าน

    หากห่มจีวรสีเดียวกันแล้วงามต่อหน้าคน ลับหลังไม่คำนึงสำคัญพระวินัยก็น่าขำ ห่มจีวรสีเดียวกันแล้วโทรจีบสาว เน็ตล่อแหลม งามหรือไม่?

    ผมว่าความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่อผู้พบเห็นนั้นน่าจะอยู่ที่ความสำรวมมากกว่าครับ เคยเห็นพระห่มสีพระราชนิยมแล้วเวิกผ้า ดูดบุหรี่ รอรถเมล์ไหม งาม???

    การที่ท่านพระเทพวิสุทธิกวีบอกว่าท่านต้องเตรียมจีวรไว้หลายชุดเพื่อความกลมกลืนนั้น ถามว่าการมีจีวรมากเกินความจำเป็น มากเกินพระพุทธบัญญัตินั้น สะสมนั้น เป็นความงามหรือไม่ เราควรส่งเสริมพระสงฆ์ไปในทิศทางใด เราจำเป็นไหมที่ต้องเอาใจชาวบ้าน เกรงใจสายตาผู้คนจนต้องทำอย่างนั้น ความทะนงแห่งเพศสมณะอยู่ที่ใด

    การห่มจีวรสีต่างกันไม่ก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อยต่อสายตาผู้พบเห็นนะครับ แต่การไม่สำรวมระวังต่ออาการกาย อาการวาจา (และรวมไปถึงใจ แต่มองด้วยตาไม่เห็นเลยยกไว้)ต่างหาก พฤติกรรมต่างหากที่จะก่อศรัทธาหรือรังเกียจ มิใช่สีจีวร

    ผมว่าเอาเวลาไปจริงจังกับเรื่องพฤติกรรมพระสงฆ์ดีกว่าที่จะมาเล่นเรื่องฝอยๆอย่างนี้ เพื่อนผมเคยเล่าว่าเขาเป็นพระนักเรียน อยู่ที่วัด ท่านเจ้าอาวาสอนุญาตฉันตอนไหนก็ได้ เพื่อเอาแรงเรียน ท่านว่าอย่างนั้น การกระทำอย่างนั้นมันจะก่อกำเนิดพระที่ดี ควรแก่เคารพให้พระพุทธศาสนาหรือไม่?

    หรือการที่อนุญาตให้ฉันเมล็ดทานตะวันได้ในวิกาลอ้างว่าเป็นเกสรดอกไม้ จนพระนำมาประพฤติไม่เลือกที่ทาง จนครหานั้นงามหรือไม่?

    อันนี้ ที่ว่ามาทั้งหมด มิได้มีเจตนาลบหลู่ หรือติเตียนแต่อย่างใดนะครับ เพียงแต่อยากให้เรามองหาสาระมากกว่าจะมายึดติดกับเรื่องสีวรอย่างนี้ เพราะหากว่าท่านไม่ยึดติดจริง ท่านห่มสีอะไรก็สามารถเข้าได้ในทุกที่ แต่เพราะยึดติดต่างหากจึงต้องสะสมจีวรหลากสีไว้เพื่อเอาใจสายตาคนอื่นๆ(ที่เขาอาจจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าพระห่มจีวรสีใด)

    ลองจินตนาการภาพหมู่สงฆ์สมัยพระพุทธองค์สิครับ ต่างเอาผ้าเหลือ ผ้าห่อศพ ผ้าทิ้งแล้วมาเย็บมาห่ม มันจะหลากสีเพียงใด เวลาไปกันหมู่ใหญ่คงลายน่าดูชม ยิ่งบางองค์ปะแล้วปะอีก ผืนเดียวกันคงลายพอสมควรแต่ทำไมยังมีคนศรัทธามากมายปานนั้น เพราะสีจีวร หรือเพราะวิชชา จรณะ

    แล้วเรื่องพระหากินกับความเชื่อของคน การลงเสน่ห์ เลขยันต์ สะเดาะเคราะห์ ทำเหรียญขาย ฯลฯ เอาจริงเอาจังกับเรื่องพวกนี้ดีกว่าไหมครับ

สะบายดี...


สะบายดี ท่านคุณหลวง..ไม่ได้คุยกันนานเต็มทีนะขอรับ.


เรื่องสีจีวร ...ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพราะเคยปรากฎมาหลายปีแล้ว แต่เวลานั้นมันไม่เข้มข้น เพราะสายพระป่า อย่างมหาบัว ท่านไม่เอาด้วย เพราะมองว่า นี่เป็นแค่ เกมการศาสนา ที่ เหล่าฆราวาส (ฆราวาส แปลได้ว่า ผุ้มีกิเลสหนา) ที่พยายามเข้าควบคุมศาสนจักรผ่านกระบวนการตรากฎหมาย, และพยายามล้วงลูกเพื่อให้ศาสนารวมศูนย์เป็นแบบเดียว แบบที่ตัวเองต้องการ

ลองไปสืบสาน รายชื่อ ผอ.สำนักพุทธฯ และเหล่า พระเดชพระคุณเจ้า ดูก็พอรู้ว่า เหตุใดจึงอยากแสดงแสนยานุภาพลองของกันอีกครั้ง

ทีสำนักจานบิน...นั่นมันชัดว่า ปาราชิก ยังอุตส่าห์ได้รับตราตัั้ง เป็นถึงพระราชฯ  แถมสีสันจีวรก็ผุดผ่องราวกับป่านสวิส ก็ไม่ปาน

เรืื่องนี้ล่าสุดก็ต้องหยุดลงแล้วครับ... เพราะพระสายป่าท่านก็เฉย ๆ  จนสุดท้ายก็มีการเออออห่อหมกว่า ให้เป็นดุลยพินิจว่า เมื่อเวลามีราชการพระราชนิมนต์หรือ ราชพิธีก็ค่อยให้ใส่สีนี้ ซึ่งเดิมก็กระทำกันอยู่แล้ว

ผมเห็นด้วยกับคุณหลวงที่ว่าเอาเวลาไปทำ กิจที่ควรทำ ทำนุบำรุงพระศาสนาในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เลิกทำตัวเป็น ขุนนางพระกันเสียที .... ส.อืม
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

w_2005

ผมว่าควรปรับปรุงวินัยพระมากกว่ามาปรับปรุงสีจีวรครับ