ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ระทึก! ศาลปกครองตัดสิน 29 ก.ค.ชาวบ้านฟ้องรัฐทำชายฝั่งพัง

เริ่มโดย ทีมงานบ้านเรา, 16:56 น. 13 ก.ค 54

ทีมงานบ้านเรา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 กรกฎาคม 2554 14:38 น.

[attach=1]
บรรยากาศระหว่างรอองค์คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีนัดแรกและการแถลงปิดคดีที่ศาลปกครองสงขลาเมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - 29 ก.ค."ศาลปกครองสงขลา" นัดอ่านคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ ที่ชาวจะนะฟ้องกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในข้อหาสร้าง "เขื่อนกันทราย" และ "เขื่อนกันคลื่น" บริเวณชายฝั่งโดยมิชอบและละเมิดกฎหมาย โดยเรียกค่าชดเชยเกือบ 200 ล้านบาท เพื่อนำไปฟื้นฟูชายฝั่งที่พังทลาย เผยคดีนี้แม้จะต้องรอนานถึงกว่า 4 ปีครึ่ง แต่ก็จะเป็นต้นแบบให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบที่กระจายอยู่ทั่วตลอดชายฝั่งทะเล ของไทย
       
       รศ.ดร.สมบูรณ์ พรพิเนตพงศ์ นักวิชาการจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (มอ.หาดใหญ่) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชายฝั่ง เปิดเผยกับ  ถึงความคืบหน้าคดีที่ชาวบ้านใน ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา ส่งตัวแทน 3 คนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสงขลา โดยมีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นจำเลยที่ 1 อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นจำเลยที่ 2 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นจำเลยที่ 3 ในข้อกล่าวหาว่า หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย จากการสร้างเขื่อนกันทรายและเขื่อนกันคลื่นบริเวณชายฝั่งสะกอมตั้งแต่ปี 2551
       
       รศ.ดร.สมบูรณ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างเวลา 10.30-11.15 น. ศาลปกครองสงขลาได้นั่งพิจารณาคดีนี้เป็นครั้งแรก พร้อมกับนัดให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายส่งตัวแทนไปแถลงปิดคดีด้วย โดยตนได้รับมอบหมายจากตัวแทนชาวบ้านที่เป็นฝ่ายโจทก์ทั้ง 3 คนให้ไปเป็นผู้แถลงปิดคดีของฝ่ายโจทก์ ส่วนฝ่ายจำเลยอัยการที่ทำหน้าที่ว่าความให้แจ้งว่าไม่ขอแถลงปิดคดี อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้มีตุลาการผู้แถลงคดี 1 ท่าน ซึ่งไม่ใช่ตุลาการในองค์คณะพิจารณาคดีดังกล่าวของศาลปกครองสงขลา ได้อ่านคำแถลงการณ์เสนอความเห็นต่อองค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ด้วย แต่มีการยืนยันว่าคำแถลงการณ์ของตุลาการนี้ไม่ผูกพันต้ององค์คณะในการจัดทำ คำพิพากษาในคดีนี้
       
       ทั้งนี้ ในวันนัดแถลงปิดคดี มีชาวบ้านจากจะนะจำนวนมากเดินทางไปร่วมฟังการแถลงปิดคดี นอกนั้นก็มีนักศึกษาและชาวบ้านจากชุมชนเครือข่ายเฝ้าระวังชายหาดในหลาย จังหวัดของภาคใต้เข้าร่วมด้วย รวมแล้วกว่า 80 คน เนื่องจากคดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่จะเป็นต้นแบบให้แก่ชาวบ้านใน ชุมชนต่างๆ รวมถึงบุคคลหรือองค์กรที่ได้รับผลกระทบจากการพังทลายของชายฝั่งทะเล อันเป็นผลมาจากการกระทำของภาครัฐ ได้นำไปเป็นแบบอย่างในการต่อสู้ต่อไป
       
       "มีเรื่องที่ต้องถือว่าน่าระทึกใจเกี่ยวกับคดีนี้มากที่สุด คือ ศาลปกครองสงขลาได้นัดทั้งโจทก์และจำเลยให้ไปฟังการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 29 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวจะถูกเขียนขึ้นจากองค์คณะตุลาการศาลปกครองผู้พิจารณา คดีรวม 3 ท่าน ส่วนผลจะออกมาอย่างไร เชื่อว่าพี่น้องประชาชนชาวจะนะพร้อมน้อมรับได้แน่นอน และต่างก็เชื่อมั่นว่าจะนำไปสู่การพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของการต่อสู้เรื่อง ชายหาดพังด้วย" รศ.ดร.สมบูรณ์ กล่าว
       
       สำหรับคดีนี้ได้มีการฟ้องร้องเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2551 โดยมีผู้ฟ้องคดี 3 คน ประกอบด้วย นายสาลี มะประสิทธิ์ นายเจะหมัด สังข์แก้ว และนายดลรอหมาน โต๊ะกาหวี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดี ได้แก่ กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในข้อกล่าวหาว่า หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยมีสาระสำคัญการฟ้อง ดังนี้
       
       ผู้ฟ้องทั้ง 3 เป็นชาวบ้านในชุมชนบ้านบ่อโชนและบ้านโคกสัก ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งใช้ประโยชน์จากชายหาดสะกอม ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี ที่อนุญาตให้สร้างเขื่อนกันทรายและเขื่อนกันคลื่นบริเวณปากคลองสะกอม ซึ่งผลจากการสร้างสิ่งก่อสร้างดังกล่าว ทำให้การประกอบอาชีพเสียหาย ที่ดินและทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้ร้องซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งริมชายหาดถูกน้ำทะเลกัดเซาะอย่างรุนแรงและ ได้พังทลายลง และยังคงลุกลามต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดจนถึงปัจจุบัน
       
       ลำดับความเป็นมาคือ ในปี 2540-41 กรมเจ้าท่า (กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี ในปัจจุบัน) ได้ก่อสร้างเขื่อนกันทรายปากคลองสะกอม และสร้างเขื่อนกันคลื่นอีก 4 ตัวโดยวางเรียงเข้าหาฝั่ง ซึ่งการก่อสร้างโครงสร้างรุกล้ำชายฝั่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชาย หาดและฝั่งของ ต.สะกอม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชายฝั่งอ่าวไทยที่มีกระแสน้ำชายฝั่งไหลเวียนสุทธิขึ้น ไปทางทิศเหนือ การสร้างโครงสร้างรุกล้ำชายฝั่งลงไปเท่ากับเป็นการเพิ่มสิ่งกีดขวางกระแสน้ำ และการเคลื่อนที่ของตะกอนชายฝั่ง ทำให้กระแสน้ำเกิดเปลี่ยนทิศทางและชายหาดขาดตะกอนไปหล่อเลี้ยง เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการกัดเซาะหาดทรายและชายฝั่ง เพราะชายฝั่งเสียสมดุลตามธรรมชาติ
       
       ดังนั้น ทันทีที่สร้างเขื่อนกันทรายและเขื่อนกันคลื่นเสร็จ หาดทรายและชายฝั่งของบ้านบ่อโชน ต.สะกอม ถูกกัดเซาะหายไปกว่า 10 เมตร และปัจจุบันนี้พังทลายลึกกว่า 80 เมตร เป็นระยะทางยาวมากกว่า 3 กิโลเมตร และยังคงพังทลายต่อไปไม่สิ้นสุด
       
       ผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนกันทรายและเขื่อนกันคลื่นชายฝั่งสะกอม ยังส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและผลกระทบต่อความรู้สึกด้านจิตใจของผู้ฟ้อง คดี ซึ่งเป็นชาวบ้านในชุมชนบ่อโชนและบ้านโคกสัก ต.สะกอม ที่ใช้ประโยชน์จากชายหาดสะกอม ดังต่อไปนี้
       
       1. กระทบต่อการประกอบอาชีพคือ ผู้ฟ้องเป็นผู้มีอาชีพทำประมงพื้นบ้านโดยใช้เรือประมงขนาดเล็ก และใช้บริเวณชายหาดดังกล่าวเป็นแหล่งที่พักจอดเรือ นอกจากนี้ในบริเวณชายหาดดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ที่ผู้ฟ้องเก็บหอยเสียบและ สัตว์น้ำอื่นๆ เพื่อนำไปเลี้ยงชีพ และรุนกุ้งเคยเพื่อนำไปขายร่วมกับสัตว์น้ำต่างๆ อีกด้วย เมื่อชายหาดพังทลายไปทำให้ผู้ร้องไม่สามารถใช้บริเวณดังกล่าวประกอบอาชีพ ประมง และอาชีพเก็บหอยเสียบและกุ้งเคยไปขายเพื่อเลี้ยงชีพได้ดังเดิม ทำให้ผู้ฟ้องขาดรายได้จากการประกอบอาชีพประมง เก็บหอยเสียบและกุ้งเคยเพื่อขายเลี้ยงชีพ รวม 3 คนประมาณเดือนละ 30,000 บาท
       
       2. กระทบต่อการใช้ประโยชน์ในบริเวณชายหาดสะกอมคือ ก่อนมีการสร้างเขื่อนฯ ผู้ฟ้องสามารถใช้พื้นที่บริเวณชายหาดสะกอมเป็นเส้นทางสัญจรไปมาเพื่อติดต่อ ระหว่างหมู่บ้านได้โดยอิสระ เมื่อชายหาดสะกอมถูกทำลายลงจึงต้องเดินทางสัญจรบนเส้นทางอื่นแทน ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ระยะทางในการหาจับสัตว์น้ำก็ไกลขึ้น และไม่สามารถใช้ชายหาดเดิมเป็นที่จอดเรือได้ ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นรวม 3 คน ประมาณเดือนละ 3,500 บาท
       
       3. กระทบต่อระบบนิเวศ หาดทรายเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเล ปูลม หนอนทรายทะเล ทะเลใกล้ชายฝั่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมงดาทะเล ปลาทรายและปลากระบอก และเป็นแหล่งอาหารของนกที่อพยพในฤดูหนาว ดังนั้นการทำลายชายหาดจึงเป็นการทำลายที่อยู่อาศัยของบรรดาสัตว์และพืชทะเล และทำลายห่วงโซ่อาหาร ซึ่งนกอาศัยกินสัตว์ทะเลเป็นอาหาร นอกจากนี้ชายหาดยังทำหน้าที่หลักในการป้องกันคลื่นมิให้ซัดเข้าทำลายผืนดิน บนฝั่ง และในขณะเดียวกันชายหาดก็พัฒนากลายเป็นผืนแผ่นดินให้ได้อยู่อาศัยต่อไป เพราะเหตุว่าตะกอนดินที่ไหลจากแม่น้ำลงสู่ทะเลจะถูกคลื่นพัดพามาทับถมบนชาย หาดและพัฒนาเป็นแผ่นดินในที่สุด
       
       4. กระทบต่อความรู้สึกด้านจิตใจของผู้ฟ้องและชุมชนชาวสะกอมที่ผูกพันและตระหนัก ถึงคุณค่าของชายหาดสะกอม และต้องการรักษาไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานคนรุ่นหลัง และแก่สังคมไทยที่จะได้ใช้ประโยชน์จากชายหาดสะกอม ที่มีความสวยงาม สงบสุข เป็นแหล่งทำมาหากิน และเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชุมชนตลอดจนนักท่องเที่ยว เมื่อชายหาดสะกอมถูกทำลายลงย่อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและจิตใจและอาชีพ เสริมของผู้ฟ้องรวมทั้งชุมชนชาวบ้านสะกอม นับว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เพราะยากที่จะได้ชายหาดอันงดงามกลับคืนมา คิดเป็นความเสียหายประมาณปีละ 21,000,000 บาท รวม 9 ปีเป็นเงิน 189 ล้านบาท
       
       และ 5. นอกจากนี้ผู้ฟ้องเห็นว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องฟื้นฟูและรักษาชายฝั่งทะเลไทยให้กลับเข้าสู่ สภาพสมดุลดังเดิม โดยให้หน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมดำเนินการติดตามแก้ไข และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งทะเลของประเทศ ไทย โดยนำเงินจากข้อ 4 มาใช้จ่ายในการฟื้นฟู


[attach=3]
บรรยากาศการประชุมหารือหลังแถลงปิดคดีระหว่างทนายความ ชาวบ้านและผู้ส่วนใจทั่วไป ที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สงขลา





      
สนับสนุนการขับเคลื่อนโดย
- ฮอนด้าพิธานพาณิชย์-อริยะมอเตอร์ www.phithan.co.th/hondaphithan
- ปาล์มสปริงส์ & ซิตี้รีสอร์ท บ้านและคอนโดคุณภาพจากเครืองศุภาลัย www.hatyainakarin.com
- ธีระการช่าง หาดใหญ่ (เยื้องบิ๊กซีคลองแห) โทร 086-4910345 www.facebook.com/teerakarnchanghy
- เอนกการช่าง ผู้นำการพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร โทร 081-7382622 www.an-anek.com/contact.php
รีวิวธุรกิจ เกาะติดบ้านเมือง ร้อยเรื่องท้องถิ่น TLP 0897384215

เสียของ

"

..แล้วก่อนจะสร้าง มิได้ศึกษากันให้ดีดอกหรือ...

หรือว่า ปรารถนาดี แต่ไม่รอบคอบพอ...


...เวร กรรม..

woud

ขอให้ได้สร้างก็พอ  สร้างเสร็จก็หมดหน้าที่แล้ว

ต้นหลิว

เมื่อเดือนร้อนเรียกหาหน่วยงานให้มาช่วยเหลือ.....ถ้าไม่ได้ก็ร้องเรียนเรียกร้อง....
หน่วยงานเมื่อถูกร้องเรียนก็หาหนทางแก้ไข....ตามหลักวิชาการฯ......เมื่อแก้ไขแล้ว....เกิดการผิดผลาดทางเทคนิคหรืออะไรก็แล้วแต่...ก็ถูกร้องเรียน...ถูกใจเสมอตัว...ไม่ถูกใจ...ร้องเรียน..รวมตัว..ประท้วง..สุดท้ายฟ้องร้อง...ทุำกวันนี้คุณหมอจะรักษาคนป่่วยสักคน..ต้องให้ญาิติผู้ป่่วยเซ็นต์ยินยอมในการรักษา..รักษาหายรอดตัว...ผิดพลาดโดนฟ้อง..อีกหน่อย..ทำให้คนที่คิดจะทำงาน..คิดหนักค๊ะ..