ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

จุดเริ่มต้น 'เจรจา' รัฐบาล vs กปปส. อยู่ตรงไหน?

เริ่มโดย itplaza, 12:57 น. 03 มี.ค 57

itplaza


เมื่อถึงจุดที่สถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่โหมดของ "การเจรจา" ระหว่างฝั่งต่อต้านรัฐบาล นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.และฝั่งรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ยังคงคานข้อต่อรองกันจนยังไม่เห็นหนทางแห่งการเจรจาว่าจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อใดหรือจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร


รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร


รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า ความจริงแล้วการเจรจามีหลายประเด็นที่ กปปส. และรัฐบาลพอจะคุยกันได้ เช่น ทั้งสองฝ่ายเห็นไม่ต่างกันมากในเรื่องการปฏิรูป แต่ยังคงติดเงื่อนไขบางเรื่องอยู่ที่ยังต้องแก้ปัญหา คือ ไม่แน่ใจซึ่งกันและกัน และยังมองไม่เห็นจุดที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ ในการเจรจาทั้งหมด

ทั้งนี้การเจรจาต้องเริ่มจากจุดยืนของแต่ละฝ่าย ซึ่งค่อยข้างไม่ยืดหยุ่น เช่น กปปส.มีจุดยืนคือเรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทางฝ่ายนางสาวยิ่งลักษณ์ก็มีจุดยืนว่า ไม่ยอมลาออก จะเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังมีจุดที่ห่างกันอยู่ ทั้งนี้เมื่อห่างกันอยู่ก็ทำให้อาจจะต้องมีคนกลางเข้ามาเป็นทางเลือกหนึ่งในการเจรจาหรือต้องหาทางเลือกที่สามคือ เราจะยังไม่เอาเรื่องลาออกหรือไม่ลาออก ไม่เอาเรื่องเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเป็นเงื่อนไข แต่เอาเรื่องเกี่ยวกับปฏิรูปเกี่ยวกับเลือกตั้งที่จะทำงานร่วมกันมาก่อน

"ตอนนี้เหลือเรื่องเดียวที่พอจะคุยกันได้คือเรื่องของปฏิรูป ที่จะนำไปสู่การเจรา ซึ่งทางกปปส. ก็เดินหน้าเรื่องปฏิรูปไป ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้ขยับในเรื่องของการปฏิรูปน่าจะต้องขยับเรื่องนี้ แทนที่จะเอาจุดยืนก็ควรเอาเรื่องของผลประโยชน์ที่ทำร่วมกันได้ก่อน และอีกทางคือไม่เอาทั้งนายสุเทพ และนางสาวยิ่งลักษณ์ มาเจรจา แต่อาจจะต้องเอาบุคคลที่สามไปพูดคุยเจรจาแทน ซึ่งการเจรจามีหลายทางที่จะทำได้ คือ เจรจาสิ่งที่ตกลงกันได้ง่ายๆ ก่อน และไม่เอาคนที่มีปัญหามา เพื่อนำไปสู่การเสนอทางเลือกใหม่ๆ ขึ้นมาว่า หรือเรื่องการจ่ายจำนำข้าวให้ชาวนาทั้งสองฝ่ายจะหาทางออกร่วมกันได้หรือไม่หรือการดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ถ้าหากเกิดความรุนแรงรัฐบาลก็ไม่ถือว่าจะได้เปรียบ เนื่องจากต้องรับผิดชอบเพราะได้รับความกดดันจากนานาชาติ เรียกร้องรัฐบาลต้องสอบสวนเรื่องพวกนี้ซึ่งทำร่วมกับกปปส. ได้"


รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร


สำหรับเรื่องสงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวว่า ตราบใดที่เรายังมีกลไกควบคุมความรุนแรงอยู่เช่น กอ.รมน. ตำรวจทหาร การเกิดสงครามกลางเมืองคงจะไม่ง่าย แต่ถ้าความขัดแย้งทางการเมืองลุกลามบานปลายไปสักพักใหญ่อาจจะเกิดปัญหาได้ แต่ทว่าอย่างปัญหาภาคใต้สงครามกลางเมืองก็ยังไม่เกิด เพราะการเมืองภาคใต้รุนแรงกว่า ซึ่งเป็นกระบวนการแบ่งแยกดินแดน ติดอาวุธ 30-40 ปี ยังไม่เกิดสงครามกลางเมืองถึงขนาดแยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ แต่สถานการณ์ขณะนี้ถือว่ามันได้เริ่มพัฒนาการที่ไม่ดี คือมีเงื่อนไขพื้นฐานทางการเมืองที่สร้างความแตกแยกแล้ว มีกลุ่มคนที่ประกาศแย่งแยกดินแดนแล้ว ในพื้นที่ภาคอีสานภาคเหนือต้องดูต่อไปอย่างใกล้ชิด การจัดระบบแบ่งแยกดินแดนทำได้จริงหรือไม่ แต่เขาก็ได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่ได้ทำ แต่สัญญาณอันตรายทำให้คนเผชิญหน้ามากขึ้น

"ในทางรัฐศาสตร์สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่องมาหลายปี 10 ปี หลังจากนั้นจะมีกระบวนการจับอาวุธมาสู้กันเช่น ถ้ารุนแรงจริง 20-30 ปี พัฒนาทางรัฐศาสตร์มีขั้นตอนการชี้วัด หากเป็นตำราสายความขัดแย้งอาจจะคิดว่าเกิดสงครามกลางเมือง แต่ตำรารัฐศาสตร์จริงๆ มันไม่ถึงขั้นนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีถึงแม้จะไม่รุนแรง และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาจทำให้คนตื่นตระหนก" รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว


รศ.วุฒิสาร ตันไชย


ด้าน รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวกับ "ไทยรัฐออนไลน์"ว่าปกติการเจรจาพวกนี้ต้องทำการเจรจาลับ และการเจรจาแบบไม่เปิดเผยเพื่อดูว่าเรื่องแบบนี้พอเปิดเผยต่อสาธารณะก็ทำได้ยาก และใครจะไปลดอะไรก็ทำได้ยากเช่นกัน การเจรจาต้องทำลับ และเข้าใจข้อเสนอของทุกฝ่ายก่อน ทั้งความเห็นในเรื่องของการเจรจาในต่างประเทศเองต้องทำภายใต้ข้อจำกัดของการรับรู้ของคนก่อน เพราะเราคิดว่าการเจรจาลับแปลว่าฮั้วกันหรือไม่ แต่ไม่ใช่ การเจรจาลับ แปลว่าการต่อรองในการลดเงื่อนไข การแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกันบางอย่าง เพราะฉะนั้นหากไม่ทำภายใต้จำกัดคนในการรับรู้ก่อนแล้วเปิดเผยไม่เห็นถึงความสำเร็จ โดยส่วนใหญ่ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จเกิดจากการเจรจาลับมาแล้วทั้งนั้น คือมีเนื้อหาแล้วก็มาตกลงกัน



สำหรับการเจรจาที่อาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอาจจะไม่ถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองเพราะว่าวันนี้ การต่อรองกำลังกัน อย่างนายสุเทพ จำกัดขอบเขตลง และการไปเคลื่อนไหวก็เป็นเรื่องของการเคลื่อนไหวด้านธุรกิจกลุ่มชินวัตรมากกว่าการเคลื่อนไหวทั่วไปที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงและเห็นว่าทางฝั่ง นปช. แม้ว่าจะพยายามปลุกคนขึ้นมาแต่ก็ยังมีขอบเขตขอบกำหนดที่ไม่มีทางเจอกัน เพราะฉะนั้นโอกาสที่ปะทะกันคงจะไม่เกิดขึ้น ท่าทีของแต่ละฝ่ายพยายามลดปัญหา และรอเวลา เช่น ผลการตัดสินขององค์กรอิสระต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โอกาสที่จะเผชิญหน้าเป็นไปได้ยาก และมองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น


รศ.ดร.โคทม อารียา


ส่วน รศ.ดร.โคทม อารียา อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิมนุษยชน และสันติศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในเรื่องของการเจรจาทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับฟังซึ่งกันและกันทางฝั่งของนายสุเทพหากแปรญัตติสักนิด อาจจะไม่ต้องมาออกโทรทัศน์มาโต้วาทีกันจริงจังนัก จัดเวทีออกโทรทัศน์หลายๆ ช่อง และให้นายสุเทพ อธิบายความเป็นมา ข้อเรียกร้อง จุดยืน และนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ทำแบบเดียวกัน เตรียมสปีชของตนเองมาก็ไม่น่าจะมีปัญหา และทักทายปราศรัยกัน เหมือนเป็นการเปิดงาน เป็นการโหมโรง เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายต้องทำอย่างจริงใจ สำหรับการมีคนกลางเข้ามาช่วยในการเจรจานั้นบางทีตัวคนกลางอาจจะเรียกร้องมากจนไม่สำเร็จ หากเอาคนกลางมาก็ตั้งเป็นทีมเทคนิค ฝ่ายสองถึงสามคน ให้บริการ เตรียมประเด็นต่างๆ ทำหน้าที่เป็นคนกลางทั้งสองฝ่าย เพื่อติดต่อกับฝ่ายตนเองได้สะดวกขึ้น

"ดูตามตัวอย่างที่ทำหลายๆ ที่ การออกเวทีไม่จำเป็นต้องมาปะทะคารมกัน ใครอยากจะพูดก็เชิญพูด หรือหาคนมาซักไซ้ไล่เลียงกันก็ได้ ตอนนั้นปี 53 เป็นการเจรจาแบบบ้านๆประเด็นมีอยู่นิดเดียวว่าจะยุบสภาหรือไม่ยุบสภา พอทั้งสองฝ่ายบอกว่ายุบสภาก็ได้ เหลือประเด็นที่ถกเถียงกันคือยุบสภาเมื่อไหร่ ซึ่งก็ตกลงกันไม่ได้ว่าจะยุบเมื่อไหร่ แต่คราวนี้ประเด็นซับซ้อนกว่าปี 53 ว่าเป็นอย่างไร ปฏิรูปจะทำอะไรก่อนหลัง จึงเสนอกระบวนการดีขึ้นและหวังผลหน่อย" รศ.ดร.โคทม กล่าว

ทั้งนี้ด้านข้อเสนอของทั้งสองฝ่ายก็ต้องไปคิดให้ดีว่าอะไรคือ เส้นขาดตัว หรืออะไรคือหลักการใหญ่ เช่น นางสาวยิ่งลักษณ์ บอกว่า อยู่ในวิถีของรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ถ้าฝ่ายนายสุเทพปฏิบัติตามและรับได้คือเดินต่อไปได้ ส่วนนายสุเทพบอกว่า ไม่อยากให้ระบอบ พ.ต.ท.ทักษิณ มาครอบงำเช่นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารต้องปฏิรูป ไม่ใช่เป็นของพรรคเพื่อไทย ต้องแบ่งปันกัน ต้องมีความสมดุลพอสมควร ไม่ใช่ชนะการเลือกตั้งไปก็เอาไปหมด อันนี้ก็ยอมกันไม่ได้ ถึงจะมีการเลือกตั้ง ชนะการเลือกตั้ง ฝั่งของนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ต้องแบ่งอำนาจตรงนี้ชั่วคราวในช่วงปฏิรูปยอมหรือไม่ ถ้ายอมอีกฝ่ายก็ต้องเคารพของอีกฝ่ายด้วย



"ตอนนี้เรากำลังเดินหน้าหาทางปฏิรูป ยกตัวอย่างเช่น การเตรียมการดูเรื่องการส่งออกต่างๆ ซีเนียร์ ต่างๆ มาคุยล่วงหน้า ในการเจรจาคราวนี้ก็อาจจะมีทีมที่ปรึกษาที่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย การเมืองการปกครอง มาคุยกันแบบไม่ผูกพันกับนโยบาย จะทำให้ความคิดเป็นรูป เตรียมข้อตกลงให้รอบคอบ หรือมีบางประเด็นที่ยังตกลงกันไม่ได้ หัวหน้าใหญ่ค่อยมาคุยกัน อ่อนตามกันไป และด้านนายสุเทพ แสดงเจตนาที่จะลดระดับลง ชุมนุมที่เดียวที่สวนลุมฯ รัฐบาลก็น่าจะทำแบบเดียวกัน คือยกเลิก ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งแต่ละฝ่ายหากส่งสัญญาณที่ดีต่อกันก็จะส่งสัญญาณที่ดีนั้นตอบเป็นเรื่องที่ีดี จะทำให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ตอนนี้ต่างคนก็แข็ง อธิบายแต่จุดยืนของตนเอง แทนที่จะอ่อนตัวเองและคิดไคร่ครวญว่าอะไรก็ไปบอกอีกฝ่ายหนึ่ง สร้างความไว้วางใจจริงใจต่อกันและกันทั้งหมดระหว่างที่คุยกันไปต้องสร้างมาตรการไว้วางใจควบคู่กันไปด้วย"

นอกจากนี้ รศ.ดร.โคทม กล่าวทิ้งท้ายว่า ผมชอบประโยคหนึ่ง ของนายมาร์ตี อาห์ติซารีอดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ บอกในเรื่องของการเจรจาว่า "ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นที่ตกลงกันจนกว่าทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว"

ขอบคุณเนื้อหา thairath.co.th
ที่มา http://www.itplaza.co.th/update_details.php?type_id=1&news_id=33726&page=1