ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

รู้มั้ย‘พจมาน’เป็นใคร?

เริ่มโดย itplaza, 10:37 น. 10 มี.ค 57

itplaza


ภายหลังการเป่านกหวีดใส่คุณหญิงพจมานที่ห้างดิ เอ็มโพเรียม ปรากฏว่า คุณทยา ทีปสุวรรณ ถูกปฏิบัติการคุกคาม ข่มขู่ กระทั่งบุกถล่มด้วยอาวุธสงครามอย่างต่อเนื่อง!

          บ้านย่านสุขุมวิทถูกโยนระเบิดไปป์บอมบ์เข้าใส่ (แต่ไม่ระเบิด)

          บ้านแม่ของคุณทยาที่ปากช่อง ถูกยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม ทั้งปืนเอ็ม 16 และอาก้า คนร้ายลอยนวล

          บ้านย่านสุขุมวิทถูกโยนระเบิดใส่อีกรอบ คราวนี้เป็นระเบิดสังหาร (แต่ไม่ระเบิด)

          โรงเรียนศรีวิกรม์ที่เป็นกิจการของครอบครัวถูกข่มขู่ มีการเอาสีแดงไปป้ายเอาพวงหรีดไปวาง

          ยังไม่ต้องพูดถึงกรณีดีเอสไอเร่งรัดคดี เร่งออกหมายเล่นงานฐานกบฏ หลังจากเป่านกหวีดใส่คุณหญิงพจมาน ไม่กี่ชั่วโมง!

          ครอบครัวของทยาถูกกดดัน ข่มขู่ ถูกบีบให้ขอโทษคุณหญิงโดยเร็ว ฯลฯ

          รู้หรือยังว่า "พจมาน" เป็นใคร? ใหญ่ขนาดไหน?

          แม้คนไทยทั้งประเทศจะต้องทุกข์ยากแสนสาหัส ถูกฆ่าตายอย่างอำมหิตจากระบอบทักษิณ พจมานก็ต้องได้อยู่อย่างสุขสบาย เสวยสุขต่อไปแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด!

          ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร?

          จะย้อนความจำให้บ้างก็ได้ว่าพจมานเป็นใคร

          1) ใหญ่แค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าอัยการสูงสุดถึงกับมีคำสั่งไม่ฎีกาในคดีเลี่ยงภาษีของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์

          มีผลทำให้คดีต้องยุติลงไป โดยที่ศาลฎีกาฯไม่มีโอกาสได้พิพากษาคดีให้เป็นที่ยุติ

          ท่ามกลางข้อครหา ข้อสงสัย โดยที่อัยการสูงสุดไม่แสดงเหตุผลที่แจ้งชัด อ้างแค่ว่า "อัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดี" - "การสั่งไม่ฎีกาเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ และเป็นดุลยพินิจ" - "อัยการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย" ฯลฯ

          ทั้งๆ ที่ อัยการสูงสุดก่อนหน้านั้นเคยยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้น ซึ่งแสดงว่าอัยการเห็นว่าคดีนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอที่จะเอาผิดกับคุณหญิงพจมานและพวกได้ แถมยังชนะคดีในศาลชั้นต้น ก็แสดงว่า ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้มีพยานหลักฐานแน่นหนาเพียงพอที่จะเอาผิดคุณหญิงพจมานและพวกได้ (ลงโทษจำคุก)

          แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคุณหญิงพจมาน แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น(ประธานศาลอุทธรณ์ คุณชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ถึงกับทำความเห็นแย้งต่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์) แต่อัยการสูงสุดกลับไม่ติดใจ ไม่สงสัย หรือไม่ฎีกาคดีไปให้ถึงที่สุดเพื่อให้ศาลฎีกาได้พิจารณาชี้ขาดให้เป็นที่ยุติ จะได้สิ้นข้อครหาสงสัยใดๆ เพราะอย่างน้อย หากไม่เห็นแก่คำสั่งฟ้องของอัยการในอดีต ก็น่าจะเคารพในน้ำหนักของประเด็นความผิดที่ปรากฏชัดเจนอยู่ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นบ้าง

          คดีนี้ คือคดีที่คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ และพวก ตกเป็นจำเลยข้อหาร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นชินฯ (มูลค่าหุ้นกว่า 700 ล้านบาทมูลค่าภาษี 270 ล้าน) ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้ว พิพากษาให้ลงโทษจำคุก โดยระบุถึงขั้นว่า

          "...จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1(นายบรรณพจน์) จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมาย เช่น พลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง..."

          2) ใหญ่ถึงขนาดว่าเคยซื้อที่ดินรัชดาโดยผิดกฎหมาย ในราคาถูกๆ

          พจมานเคยซื้อที่ดินรัชดาจากรัฐบาลของสามี ในราคาไม่ถึง 800 ล้านบาท

          ภายหลัง เมื่อศาลพิพากษาว่าผิด ให้คืนที่ดิน คืนเงิน หลังจากนั้น กองทุนฟื้นฟูฯ ได้ประมูลขายที่ดินรัชดาฯ แปลงดังกล่าวออกไปในราคากว่า 1,800 ล้านบาท

          แพงกว่าที่พจมานเคยซื้อกว่า 1,000 ล้านบาท!

          พจมานเจ๋งกว่าทักษิณ เพราะเป็นคนได้ประโยชน์จากการซื้อที่ดิน แต่ไม่ต้องติดคุกเหมือนทักษิณ เพราะไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมาย ป.ป.ช. (เสมือนให้ทักษิณติดคุกแทน) ดังคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ระบุว่า

          "...จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 (พจมาน) เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งต้องห้ามมิให้กระทำ

          จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 100(1) ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 122 วรรคหนึ่ง

ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น (พจมาน) มาตรา 100 เป็นบทบัญญัติให้การกระทำเป็นความผิดเนื่องจากผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งยังบัญญัติให้การกระทำของคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐถึงเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเอง แต่มาตรา 122 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืนมาตรา 100 ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ลงโทษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฝ่าฝืนมาตรา 100 ไม่ได้ระบุให้ลงโทษรวมไปถึงคู่สมรสหรือบุคคลอื่นด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด และไม่ต้องร่วมรับโทษตามมาตรา 122 กับจำเลยที่ 1..."

          3) ใหญ่ถึงขนาดเคยชักใยบงการระบอบทักษิณ

          นายเสนาะ เทียนทอง บันทึกไว้ในหนังสือ "รู้ทันทักษิณ 4" เรื่อง "จะเอาทักษิณหรือประเทศไทย" สะท้อนบทบาทของ "คุณหญิง" ระบุว่า

          "รัฐมนตรีหลายคนจะมี "คนของเขา" เข้ามาบอกว่า เดี๋ยวทำงบฯ นะ จะเอากี่พัน(ล้าน) จะเอาห้าพันหรือหกพัน แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่า คุณไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ การยกเว้นระเบียบพิเศษ ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ เหมือนกับที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็เพื่อจะได้อ้างในการใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ

          นโยบาย 10 เปอร์เซ็นต์นี้ ในการทำโครงการ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงก็จะต้องทำโครงการโดยไปตกแต่งงบประมาณ ไปพอกหรือเพิ่มงบขึ้นมาก่อน เพื่อว่ามูลค่าโครงการที่เสนอขออนุมัตินั้น จะได้ครอบคลุมถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะต้องหักเข้าพรรคเอาไว้แล้ว จากนั้นไปตกลงกับคนของเขา ผ่าน "คุณหญิง" ตกลงกันเรียบร้อยเมื่อไหร่ เมื่อเรียบร้อยเมื่อไหร่ก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ คนที่เคยเป็นลูกจ้างในบริษัทมาก่อน พอเข้า ครม. นายกรัฐมนตรีจะเป็นคนนำเสนอโครงการเองและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีทุกคนไม่ต้องคิด ไม่ต้องสงสัย

           ทุกวันนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่า 10 เปอร์เซ็นต์นั้น มีอยู่เท่าไรแล้ว คงต้องไปถามคุณหญิง !"

          ยิ่งกว่านั้น นายเสนาะยังบอกด้วยว่า เคยเตือน เคยพูดคุยกับคุณหญิงอ้อ

          "ผมบอกว่า "น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม" เขาพากันตอบว่า"ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมือง มันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ"

          ผมเคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า "ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ"

          เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า "ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย"



          รู้แล้วหรือยัง ว่า "พจมาน" ใหญ่แค่ไหนในระบอบทักษิณ!

ขอบคุณเนื้อหา http://www.naewna.com
ที่มา http://www.itplaza.co.th/update_details.php?type_id=7&news_id=33950&page=1