ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ปฏิกิริยาโต้ตอบจาก“อียู” โทษที่ “คสช.”ไม่พูดถึง ความเลวรัฐบาลยิ่งลักษณ์

เริ่มโดย itplaza, 11:39 น. 25 มิ.ย 57

itplaza


ในขณะที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. นำโดย พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้า คสช. กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ "อำนาจรัฐาธิปัตย์" ไปกับการจัดระเบียบสังคม




       
       ไม่ว่าจะเป็น การจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง รถตู้ รถแท๊กซี่ บ่อนการพนันการค้าไม้เถื่อน แรงงานต่างด้าว ไล่จับคนชูสามนิ้วโชว์จับอาวุธสงครามแต่ไม่เคยสาวถึงตัวผู้บงการ ไปจนถึงการออกหมายจับพวกหมิ่นสถาบัน
       
       ดูเหมือนว่า จะเรียกกระแสนิยมจากคนในประเทศได้ไม่น้อย
       
       โดยลืมนึกไปว่าสาเหตุที่ คสช.เข้ามาทำรัฐประหารคือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังจะบานปลายจนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองแต่น่าเสียดายที่ 1 เดือนของ คสช.กลับไม่ให้ความสนใจให้ความจริงแก่สังคม
       
       จุดผิดพลาดยิ่งใหญ่ที่สุดของ คสช.คือ การไม่พูดถึงความเลวร้ายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์และยังปิดปากสื่อทางเลือกที่พูดความจริงไม่ให้มีพื้นที่ในการเสนอข้อมูลบนเงื่อนไขของความปรองดองอีกด้วย
       
       ในขณะเดียวกัน คสช.ก็สนุกสนานกับการสร้างผลงานที่มีผลในเชิงภาพลักษณ์การใช้อำนาจที่เด็ดขาดของ คสช.จนลืมคิดไปว่า "อำนาจที่มาพร้อมกระบอกปืนและกฎหมายพิเศษนั้นตามมาด้วยการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชนเสมอ"
       
       จึงไม่น่าแปลกใจที่ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปหรือ อียู ออกแถลงการณ์จากประเทศลักเซมเบิร์กประณามรัฐประหารในไทยพร้อมกับออกมาตรการลงโทษด้วยการระงับการลงนามข้อตกลงความร่วมมือและหุ้นส่วนระหว่างอียูกับไทยรวมทั้งระงับการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีจากประเทศอียูด้วย
       
       มีหลายคนพยายามจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศที่ประสบความสำเร็จของนักโทษหนีคดีทักษิณแต่หากพิจารณาถึงบทบาทของอียูเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยมาโดยตลอดจะเห็นว่าการมองเช่นนั้นอาจเป็นการวิเคราะห์ที่ถูก แต่อาจจะละเลยความจริงบางด้าน จนอาจทำให้การกำหนดนโยบายของชาติผิดทางในที่สุด
       
       ที่ผ่านมานักโทษหนีคดีทักษิณได้ใช้เงินจำนวนไม่น้อยในการว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์เพื่อบิดเบือนข้อมูลยกตัวเองเป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตยที่ถูกโค่นล้มโดยเผด็จการทหารซึ่งได้ผลอย่างยิ่งต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
       
       แต่ไม่ใช่สำหรับอียู
       
       โดยสามารถมองย้อนดูได้จากเหตุการณ์หลังการรัฐประหารปี49 อียูไม่ได้ถึงขั้นคว่ำบาตรประเทศไทยแต่ยังเปิดโอกาสให้รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ที่ คมช.ใช้เวลา 11 วันหลังยึดอำนาจแต่งตั้งให้เข้ามาบริหารประเทศ ประสานงานกับอียูได้แต่ชะลอการลงนามความร่วมมือจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
       
       ในขณะนั้น อียู ระบุว่า ไม่ประสงค์จะเข้าไปก้าวก่ายในแนวทางที่ประชาชนชาวไทยต้องการที่จะปกครองตนเองแต่ต้องเป็นความต้องการของประชาชนชาวไทยโดยส่วนรวม ไม่ใช่กลุ่มคนไทยบางกลุ่ม เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองปี 52-53 แกนนำคนเสื้อแดงพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงอียูเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทยแต่อียูก็ยังคงรักษาระยะห่างไม่เข้ามาก้าวก่ายการแก้ปัญหาภายในประเทศไทยนอกจากการออกแถลงการณ์เตือนให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้น โดยยึดหลักกฎหมาย
       
       จะเห็นได้ว่า กว่าที่อียูจะออกแถลงการณ์ประนามการรัฐประหารในครั้งนี้นั้นใช้เวลาถึง 1 เดือนซึ่งเป็นห้วงเวลามากพอที่จะบอกได้ถึงทิศทางการยึดกุมอำนาจของ คสช.ที่จะเปลียนผ่านไปสู่ปประชาธิปไตยจะเห็นได้ว่าแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีโร๊ดแมพสามระยะแต่ก็ไม่มีความชัดเจนมากพอว่า
       
       ทหารจะไม่สืบทอดอำนาจ
       
       เพราะท่วงท่าของคสช.ชัดเจนว่าไม่ได้แค่เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศเพื่อให้มีรัฐบาลคนกลางแต่กลับวางบทบาทเป็นรัฐบาลเองมาตั้งแต่ต้นแตกต่างจากการทำรัฐประหารในยุค คมช.ที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างรวดเร็วมีธรรมนูญการปกครองประเทศและกำหนดแผนในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่อันเป็นกติการสูงสุดภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ในขณะที่ คสช.กลับไม่มีความชัดเจนใด ๆ ในเรื่องนี้ นอกจากกรอบกว้าง ๆ พร้อมคำสำทับของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะอยู่ในอำนาจยาวนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์
       
       ขณะเดียวกันก็ปรากฏภาพการใช้อำนาจผ่านประกาศคสช.ฉบับแล้วฉบับเล่าอย่างเต็มที่ ทั้งการปิดสื่อ ให้ศาลทหารพิจารณาคดีการกวาดล้างแรงงานต่างด้าว ฯลฯสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งสิ้น
       
       โดย คสช.ไม่มีทีท่าที่จะยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก ทั้ง ๆที่ภาพรวมถือว่าประเทศอยู่ในความสงบระดับที่ควรจะใช้กฎหมายปกติหรือมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์จากการใช้กฎหมายพิเศษลงได้แล้ว
       
       แตกต่างจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลินประกาศอยู่ในอำนาจไม่เกินสองสัปดาห์จากนั้นเพียงแค่ 11 วันก็มีการจัดตั้งรัฐบาล จากนั้นในวันที่ 28 พ.ย.49 รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ก็ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกใน 41 จังหวัด รวม กทม.คงไว้เฉพาะในพื้นที่ที่ยังไม่นิ่งเท่านั้น
       
       นอกจากนี้ คมช.ในปี 2549 ก็ไม่ได้สาละวนอยู่กับการหาคะแนนเสียงกับประชาชนเหมือนที่คสช.กำลังทำอยู่ในขณะนี้ โดยคมช.ใช้เวลาสองเดือนออกสมุดปกขาวชี้แจงถึงสาเหตุของการทำรัฐประหารและความเลวร้ายของรัฐบาลทักษิณแต่คสช.ซึ่งนอกจากไม่พูดถึงความเลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้วยังปิดปากคนอื่นห้ามพูดด้วยกลับเตรียมที่จะแถลงผลงานครบรอบ 1 เดือนของการทำรัฐประหารแทน
       
       ถ้า คสช. ยังไม่ทบทวนตัวเองเพื่อวางบทบาทให้ถูกที่ถูกทางแต่ยังใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์แบบเหวี่ยงแหไม่มีความชัดเจนว่าจะยกเลิกกฎอัยการศึกเมื่อใดโดยยังเดินหน้าตามความปรารถนาเดิมคือ ถืออำนาจไว้ใช้เองด้วยการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้สภาที่ตัวเองตั้ง เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกฯ จากนั้นนายกตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อได้ว่า จะเป็น ครม.นายพลได้ไม่ยากนัก เพราะบรรดา ผบ.เหล่าทัพที่ตบเท้าเกษียณพร้อม ๆ กันย่อมมีตำแหน่งแห่งหนอยู่ในครม.อย่างแน่นอน โดยมีการซ้อมบริหารงานในแต่ละด้านกันมาแล้วตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็จะยิ่งทำให้ไทยถูกกดดันจากนานาชาติเพิ่มมากขึ้น
       
       อย่าลืมว่า แม้คนไทยจะยอมรับการรัฐประหารโดยคสช.เพราะเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่น และมีคนจำนวนไม่น้อยพอใจต่อการปฏิบัติของคสช.แต่ไม่ได้หมายความว่าความนิยมเหล่านี้จะอยู่ยงคงกะพัน และคสช.ถือว่าได้รับความนิยมในจุดที่สูงสุดแล้ว ต่อจากนี้จะมีแต่ลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆไม่เชื่อให้ดูบทเรียนจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งมีประชาชนสนับสนุนกว่า 90% ในช่วงแรก
       
       สุดท้ายก็ปิดฉากลงด้วยเสียงก่นด่าว่าไปไม่สุด
       
       แต่ คสช.อาจปิดฉากด้วยคำสาปแช่งที่รุนแรงกว่าหากมีการสืบทอดอำนาจและใช้อำนาจนั้นแก้ปัญหาความขัดแย้งประเทศไปในทางที่ไม่ถูกต้อง

ขอบคุณ manager.co.th
ที่มา http://www.itplaza.co.th/update_details.php?type_id=1&news_id=37023&page=1