นายกฯ แจงสั่งกองทุนอุ้มดีเซล คล่องตัวกว่าปรับภาษีสรรพสามิต

[ทีมงานบ้านเรา]

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ธันวาคม 2553 16:11 น.

"มาร์ค" เผย ใช้เงินกองทุนน้ำมันตรึงราคาดีเซล 5 พันล้านบาท ชี้ มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นกว่าการปรับอัตราภาษีสรรพสามิต เชื่อ อุ้มช่วงหน้าหนาวเพื่อพยุงภาวะราคาน้ำมันดิบสูง ชักไม่แน่ใจขึ้นเงินเดือนจะส่งผลให้การลงทุนหดตัว เพราะผ่านคณะกรรมการไตรภาคีแล้ว ลั่นประเทศไทยจะหวังการลงทุนที่พึ่งค่าแรงต่ำไม่ได้ เพราะไม่ใช่อนาคตของประเทศ

       วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีการพิจารณาการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้เงินกองทุนน้ำมัน จำนวน 5 พันล้านบาท จากเงินกองทุนน้ำมันทั้งหมดที่มีอยู่ 2.7 หมื่นล้านบาท เพื่อมาอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกเกิน 30 บาท แทนการปรับอัตราภาษีสรรพสามิต ว่าในเรื่องของภาษีนั้นจะมีความคล่องตัวและความยืดหยุ่นน้อยกว่า คือ พูดง่ายๆ ว่า การจะไปปรับขึ้นหรือลงในเรื่องของภาษีบ่อยๆ นั้น ก็คงไม่เหมาะ เพราะฉะนั้นก็จะมาดูเรื่องของกองทุน ซึ่งตนอยากจะบอกว่าในเรื่องของกองทุน วันที่รัฐบาลเข้ามาทำงานนั้นกองทุนน้ำมันติดลบ แต่ขณะนี้กองทุนกองทุนน้ำมันเกินกว่าสองหมื่นกว่าล้าน และเราได้ประเมินว่าถ้าราคาอยู่ในระดับนี้หรือขยับไปกว่านี้ราคาจะเป็นเท่า ไหร่ ในที่สุดก็มองว่าให้ผ่านหน้าหนาวไป เวลานี้ก็ให้กองทุนน้ำมันช่วยดูแลในช่วงหน้าหนาว ซึ่งปกติก็เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันดิบสูง เมื่อเสร็จสิ้นตรงนี้ก็มาว่ากันอีกทีหนึ่ง แต่ว่าในระหว่างนี้จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ตนมั่นใจว่า ฐานะของกองทุนน้ำมันยังเป็นบวกอยู่เยอะ
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า นโยบายการตรึงราคาน้ำมัน หากเกินเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้วจะยังคงตรึงราคาอยู่ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใช่ครับ เราก็จะมาดูเครื่องมือที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ดูแนวโน้มของราคาอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าราคามีการเกร็งกำไรค่อนข้างมากในตลาดโลก เมื่อถามว่า หลังจากดูตรงนี้แล้ว คิดว่า หมดเหตุผลที่ราคาสินค้า หรือค่าขนส่งจะขึ้นราคาใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใช่ครับ เหตุผลที่ทำทั้งหมดตรงนี้ เพื่อที่จะไม่ให้มีข้อเรียกร้องจากภาคขนส่งและสินค้าต่างที่จะมาอ้างว่าราคา น้ำมันเกิน 30 บาท เพราะที่ผ่านมาเราได้บอกแล้วว่าเราบริหารจัดการกันดี
       
       นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการประเมินจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า การขึ้นค่าแรงจะฉุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีหน้า 0.2% ว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบ ยังไม่เห็นการประเมิน แต่เรื่องเงินเดือนข้าราชการเป็นสิ่งที่ทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่เราทำงบประมาณ ที่จะมีเปลี่ยนแปลงไปก็คือค่าแรง ซึ่งในทางกลับกันต้องคิดว่าในการที่ค่าแรงเพิ่มขึ้น จะมีผู้ใช้แรงงานที่รายได้สูงขึ้นและจะมีอำนาจซื้อมากขึ้น
       
       นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่แน่ใจเรื่องการหดตัวในการลงทุน เพราะตนคิดว่าผ่านคณะกรรมการไตรภาคีมา และจริงๆ แล้วตนได้พูดคุยกับภาคธุรกิจไม่น้อย ซึ่งตนยืนยันว่า วันนี้ประเทศไทยจะคาดหวังกับเศรษฐกิจ หรือการลงทุนที่พึ่งค่าแรงต่ำไม่ได้ เพราะไม่ใช่อนาคตของประเทศ