ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

"พระพุทธองค์..อยู่ใกล้แค่นี้"

เริ่มโดย Mr.No, 19:46 น. 23 ส.ค 57

Mr.No

[attach=1]

"พระพุทธองค์..อยู่ใกล้แค่นี้"  1

หลัง ๆ มานี่ กระดานสนทนาในกิมหยง ค่อนข้างเงียบเหงา ยกเว้นในหน้าซื้อขาย ซึ่งก็ต้องถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติใด แต่ในแวดวงการเสวนาที่ซาลงไป จะด้วยเหตุ คสช.ที่ทำให้การคิดอ่านหรือแสดงออกอาจ ต้องตรึกตรองก่อนว่า จะเชียนอะไรลงไปโดยไม่กระทบต่อความมั่นคง ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าในหน้าการเมืองกลายเป็นเงียบสงัด..จนแทบจะได้ยินหริ่งเรไรก็ไม่ปาน

ในหน้ากระดานลานบุญ...ผมเห็นแต่เรื่อง "บุญ" บอกข่าวกันเสียมาก ...  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมของทางวัดโน้นบ้างวัดนี้บ้าง...หรือแม้แต่ ข้ามห้วยข้ามฟากมาแอบจัดงานบุญเก็บเงินกันในบ้านเราก็มีมากมาย ส่วนจะไถ่ตัวอะไรหรือขมาลูกกรอกไหนก็ว่ากันไปตามศรัทธา อันนี้ไม่ว่ากัน

แต่ที่อยากเขียนเปิดประเด็นวันนี้...เป็นเรื่องที่ผมคิดว่ามีนัยยะสำคัญที่ คนไทย..และสมาชิกกิมหยงควรจะได้แสวงหาความจริง..และข้อเท็จจริงกันว่า เรานับถือ พระพุทธเจ้าในแบบใด?

จากกรณีที่มีข่าว พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล  เจ้าอาวาสวัดนาปาพง ที่มีกรณีการสวดปาติโมกข์เหลือเพียง 150 ข้อ แทนที่จะเป็น 227 ข้อ เหมือนกับวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศนั้น  ได้กลายเป็นข่าวครึกโครมในที่สุดหลังจาก มหาเถรสมาคมมีมติ ให้ วัดดังกล่าวกลับไปสวดปาติโมกข์ 227 ข้อเหมือนเดิม โดยหลัก ๆ คือ ถือว่า เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ท่านมิได้มีเจตนาและอาจสำคัญผิด  รวมทั้งมีคำสั่งให้ พระอธิการคึกฤทธิ์ ไม่ต้องเข้าไปชี้แจงต่อทางมหาเถรฯ

หลังจากนั้นแทบไม่ทันข้ามวัน...พระคึกฤทธิ์ ท่านก็โดนเละ..ทั้งจากสารพันในโซเชี่ยล และสื่อ กล่าวหาท่านทั้งขนาดเบาไปจนถึงหนัก และหนักที่สุดถึงขนาดก่นท่านว่าเป็นพวกเดียรถีย์บ้าง..อลัชชี หรือพวกกระเทย ฯลฯ   

ต้องออกตัวว่า...ผมมิได้เป็น กูรู หรือทำตัวเป็น กูรู้ในด้านพุทธศาสนา  เพราะอย่างน้อยวิชาการด้านพระปริยัติธรรมนั้น แทบจะไม่ค่อยกระดิก เพียงแต่อยากนำประเด็นนี้มาขยาย..อธิบายความ และอีกหลายมุมมองให้ลองวิเคราะห์กันอย่างเป็นธรรม...ตามหลักที่พุทธองค์ทรงแนะเรื่อง "สัมมาทิฐิ"

ผมจะเขียนเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ...ตามแต่ เวลาและโอกาสจะอำนวย   ซึ่งหากท่านใดหรือคุณหลวงจะอยู่แห่งไหน จะเวียนแวะมาช่วยกันขบ..คิดให้  แตกฉาน ว่า  แท้ที่จริง ..หรืออะไรคือวิถีที่เรา ชาวพุทธ จะได้มีโอกาสเข้าใกล้ "พุทธองค์" อย่างใกล้ชิดกันเสียที ...ก็ต้องติดตามกันครับ..........."





..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

Mr.No

"พระพุทธองค์..อยู่ใกล้แค่นี้" 2.


...   กรณี เรื่องราวของ พระคึกฤทธิ์ กับการลดทอนการสวดพระปาติโมกข์ ลงเหลือเพียง 150 ข้อ จากเดิมที่สวดกัน 227 ข้อ ทำให้กลายเป็นประเด็นว่า ท่านนี่ช่างบังอาจไปตัด..ไปทอนหรือก๋ากั่นขนาดหาญกล้าตัดศีลหรือสิกขาบทอันพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้นี่  จะว่าไปไม่ใช่เรื่องที่พึ่งจะเกิดขึ้น แต่เกิดมาหลายปี อย่างน้อยก็น่าจะประมาณปี 2552-2553 ประมาณนั้นแล้ว เพียงแต่ช่วงนั้นยังไม่ได้กลายเป็นประเด็นจนกระทั่งการเดินสายกระจายความรู้เรื่องธรรมะในแบบของท่านเริ่มมีผู้สนใจและติดตามงานบรรยายของท่านมากขึั้น และเริ่มกระจายไปยังในหลาย ๆ ที่ของประเทศ นั่นทำให้ มหาเถรสมาคม,สำนักพระพุทธศาสนา ไม่สามารถปล่อยให้มีมากจนเกินจะคุม (ส่วนประเด็นสิ่งใด ถูกหรือผิด..คงต้องติดตามและขบคิดกันต่อไปจากนี้)


ผมจะพยายามเขียนอะไรให้เป็นแบบชาวบ้าน ซึ่งคิดว่าคงง่ายและเหมาะสำหรับการอ่านของคนหนุ่ม ๆ ที่ยังอาจไม่ทราบสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของ "ศีล"  และ "พระปาติโมกข์" อันเป็นบัญญัติสำคัญที่พุทธองค์ทรงให้ภิกษุต้องกระทำทุกกึ่งเดือน และด้วยความอ่อนด้อยในภูมิธรรม คำกล่าว..ข้อเขียนที่ล้ำเกิน..เพลินไป ก็ต้องขออภัยครับ

มีหลายคนยังไม่ทราบว่า พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตถิผโล ท่านนี้เป็นใครมาแต่ไหน...และคิดอย่างไรถึงขนาดเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อบรรยายธรรมตามกิจนิมนต์ทั้งเล็กใหญ่ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าห้องแถว...หรือขนาดโอ่โถงอย่างหอประชุมนานาชาติฉลองสิริราชฯ  บ้านเราก็เพิ่งจะจัดผ่านไปเมื่อต้นปีนี้นี่เอง

เล่าแบบรวบรัดคือก่อนบวชท่านเป็นทหารยศพันตรี และจากการที่ได้เคยบวชเรียนครั้งหนึ่งในสมัยที่ปิดเทอมปีที่สามในระหว่างที่ท่านยังเป็นนักเรียนนายร้อย โดยท่านบวชที่วัดหนองป่าพง ซึ่งเป็นวัดของหลวงพ่อชา สุภัทโธ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นอริยะสงฆ์ที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบรูปหนึ่งของประเทศ 

จากการที่มีโอกาสได้บวชในเวลานั้น...ท่านเกิดความศรัทธาเลื่อมใสและตั้งปณิธานว่าหลังจบหลักสุตรนายร้อยและทำงานแล้วจะขอใช้ชีวิตของฆราวาสเพียงแค่สิบปี เมื่อครบท่านจะกลับมาบวชอีกครั้ง

สิบปีต่อมาซึ่งตรงกับห้วงเวลาที่หลวงพ่อชา ท่านมรณภาพ นั้นทำให้ท่านเกิดอนุสสติเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในสังขาร จึงตัดสินใจลาออกจากราชการทหารและได้เข้าบวชอีกครั้ง

แนวคิดของท่านคือการปฎิบัติธรรมตามแนวทางที่พุทธองค์ทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด ...โดยเฉพาะการเดินตามแนวทางของท่านพุทธทาส อินทปัญญโญ ที่เป็นอริยสงฆ์ที่ถือเป็นผู้เปิดประตูให้เราได้เข้าใกล้พุทธองค์มากขึ้น ด้วยกลุ่มหนังสือที่เรียกว่า "พุทธศาสนาจากพระโอษฐ์" ซึ่งเขียนโดยท่านพุทธทาส


ผมติดตามและฟังการบรรยายธรรมของ พระรูปนี้มานานพอสมควร หลายครั้งที่ท่านบรรยายมักสอดคล้องกับหลักคิดและวิธีการบรรยายธรรมที่ยึดเอาเรื่องของธรรมะที่เปล่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพุทธเจ้าล้วน ๆ แบบไม่เน้นเชิงอรรถ หรือพวก footnote หรือในภาษาบาลีเรียกว่า "อรรถกถา"

ย้อนไปในยุคที่ครั้งหนึ่ง ท่านพุทธทาส กลายเป็นพระประหลาด ที่หลายคนหรือพระหลายรูปในมหาเถรสมาคมมองถึงขนาดว่าท่านเพี้ยน และจากหลายบทความธรรมะที่เขียนไปจน ฝ่ายการเมืองการทหารถึงกับตีความว่าท่านพุทธทาส เอียงไปทางคอมมิวนิสต์บ้างหรือเป็นพวกรับจ้างศาสนาอื่นเข้ามาทำลายศาสนาพุทธบ้าง... แต่เมื่อเวลาล่วงเลยจนกระทั่งสังขารท่านมอดไหม้เป็นเถ้าต่อหน้าผู้คนจวบจนวันนี้  หลายตำราที่ท่านเขียน..หลากบทความที่ท่านอดตาหลับขับตานอนเขียนเพื่อคนไทยและต่างชาติได้เข้าใจใน "ศาสนาพุทธ" ได้กลายเป็นตำราที่ใช้ในหลายมหาวิทยาลัยไม่เว้น มหาวิทยาลัยสงฆ์  และหลายคนวันนี้ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ว่าตนเอง เข้าใจความหมายของศาสนาได้ลึกแบบไม่งมงายก็มักบอกตรงกันว่า  ชอบแนวทางพุทธทาส!


มีต่อ....



..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

Mr.No


"พระพุทธองค์..อยู่ใกล้แค่นี้" 3.

หลายคนยอมรับว่า ท่านพุทธทาส ได้เป็นหนึ่งในพระสงฆ์ที่เปิดประตูให้เรา สามารถเข้าใจและเข้าถึง "พุทธองค์" ได้โดยไม่ต้องผ่านล่าม ซึ่งนั่นเป็นที่มาของการทำงานที่พุทธทาส ท่านได้นำเอาพระธรรมที่เป็น พุทธวจนะจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์มาสู่คนไทยในยุค 40-50 ปีที่ผ่านมา

หัวข้อธรรมที่เรียกว่า "อิทัปปจยตา" หรือในนาม "ปฎิจจสมุปบาท" จึงกลายเป็นหัวข้อธรรมที่คนไทยรู้จักมากขึ้นและเริ่มเข้าถึงปัจจัยสำคัญทีจะอธิบายถึงทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนมีปัจจัยพึ่งพาซึ่งกันและกันเป็นเหตุเป็นปัจจัยทั้งสิ้น

"ตัวกูของกู" จัดเป็นธรรมชั้นสุงที่ พุทธทาสนิยามคำนี้เพื่อให้ง่ายต่อชาวบ้านเข้าใจในหลักของ "อนัตตา" ที่ว่าด้วยเรื่องของการไม่มีตัวตน แม้นแต่ "ธรรมทั้งปวง" ก็ยังล้วนเป็น "อนัตตา" คือเอาเข้าจริงก็ล้วนไม่มีตัวตนเพียงแต่ผันเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยว่าด้วยหลักอิทัปปจยตาทุกประการ

จากพระเงื่อม..สู่มหาเงื่อม และนำมาสู่ คำว่า "พุทธทาส " นั่นคือการที่ท่านได้เข้าใจและบรรลุหลักธรรมที่ถูกปิดไว้และเมื่อท่านเริ่มเปิดออกด้วยการนำหลักธรรมที่เป็นธรรมจากพระโอษฐ์ล้วน ๆ ออกมาเรียบเรียง จนคนไทยที่ศึกษาพระธรรมในทางลึกก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า พระไตรปิฎก ที่เราต่างคิดว่าเป็นคัมภีร์ที่เกิดจากพุทธวจนะอันเป็นธรรมคำสอนหรือธรรมวินัยล้วน ๆ  แท้จริงต้องแยกออกเป็น  สิ่งที่เป็น "พุทธวจนะ" ล้วน ๆ กับสิ่งที่ปะปนมาด้วยกันคือ "อรรถกถา"

กรณี พระคึกฤทธิ์ จึงอาจกล่าวได้เป็นงานสานต่อ ที่อาจมีแบบเฉพาะในความจริงจังมากขึ้น ด้วยการตั้งใจที่แยกเอา "พุทธวจนะ" ซึ่งเป็นแก่นธรรมจากพระโอษฐ์ล้วน ๆ ออกมาจากการที่ไปอยู่ปะปนกับส่วนเพิ่มเติมปรุงแต่งใด ๆ ที่อาจมีขึ้นและมีอยุ่ในภายหลังอันเรียกว่า "อรรถกถา" ออกเสีย

แนวคิดของ พระคึกฤทธิ์ คือการยึดถือเอาพุทธวจนะ เป็นแนวทางปฎิบัติและที่สำคัญคือการรักษา "พุทธวจนะ" ไว้เพื่อมิให้เกิดการปรับเปลี่ยนแต่งพล้อยในถ้อยธรรมแห่งพระองค์จนผิดเพี้ยนไปในอนาคต

[attach=1]
หนังสือชุด ธรรมโฆษณ์ศึกษา (จากพระโอษฐ์) ผลงานของท่านพุทธทาส

[attach=2]
หนังสือ พุทธวจน ที่เรียบเรียงโดย พระอธิการคึกฤทธิ์


ดังนั้น จากแนวคิดการนำธรรมะจากพระโอษฐ์ล้วนๆ และหลักธรรมอันสำคัญในการอรรถาธิบายโดยการศึกษาจากพระไตรปิฎกในทุกแง่มุม ซึ่งท่านพุทธทาส นำมาเรียบเรียงและเพื่อประกาศและเรียกเสียใหม่ว่า "ธรรมโฆษณ์" ก็ถือเป็นต้นทางที่พระคึกฤทธิ์และศิษยานุศิษ์ของ ท่านก็นำมาเรียบเรียงใหม่แต่คัดเอาแต่จำเพาะ "พุทธวจนะ" ล้วน ๆ มาใช้ และประกาศเป็น "พุทธวจนปิฏก"

และการมาถึงกรณีความไม่ตรงกันระหว่าง พระอธิการคึกฤทธิ์  กับ สำนักพุทธศาสนาที่มีผู้ร้องว่า ท่านไปตัดศีลปาติโมกข์ออกจากเดิม 227 ข้อเหลือเพียง 150 ข้อ ซึ่งปรากฎอยุ่ในพระไตรปิฎกนั้น ถูกผิดเป็นเช่นไร ..และ เราคิดว่า พระไตรปิฎกฉบับใด จะถือเป็นฉบับที่ใกล้เคียงยุคที่สุดเท่าที่เรามี....และเราจะยึดถือเอาสาระที่ปรากฏในพระไตรปิฎกฉบับใดเพื่อให้ยังคงเป็น แนวทางตามพุทธประสงค์มากที่สุด ......เป็นเรื่องที่น่าคิดและติดตาม


มีต่อ........

..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

Mr.No

"พระพุทธองค์..อยู่ใกล้แค่นี้" 4.

กรณี..มีผู้ร้องว่า พระคึกฤทธ์และพระรูปอื่นที่จำวัดอยู่ที่วัดนาป่าพง ลงสวดพระปาติโมกข์เพียง 150 ข้อ แทนที่จะเป็น 227 ข้ออย่างที่วัดอื่นปฎิบัติ จึงเป็นกรณีที่มหาเถรสมาคมประชุมกันแล้วมีมติให้ วัดนาป่าพงรวมทั้งทุกวัดในประเทศกลับไปสวดปาติโมกข์ 227 ข้ออย่างเดิม เพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  และสำหรับกรณีพระคึกฤทธิ์นั้น มหาเถรสมาคมมีมติว่า ท่านไม่ความผิดเพราะไม่มีเจตนาและเชื่อว่าท่านอาจคลาดเคลื่อนในเรื่องนี้  ที่สำคัญคือแจ้งว่า ไม่ต้องให้พระคึกฤทธิ์เดินทางเข้าชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อมหาเถรฯ ด้วย

พระคีกฤทธิ์ ท่านจึงได้ชี้แจงต่อประชาชนทั้งสื่อมวลชนต่าง ๆ เพื่อให้สังคมได้เข้าใจในข้อเท็จจริง เรพาะท่านเองถูกสังคมประณามต่อว่าท่านต่าง ๆ นานา และสาระสำคัญที่ท่านชี้แจงจึงเป็นประเด็นที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับทราบในทางลึกว่า แท้จริง ผิดถูกอย่างไร และสิ่งที่เป็น พุทธวจนะสำคัญที่พุทธองค์ทรงตรัส่ชัดว่า ให้เราอย่าฟังอย่าเชื่อ สุตตันตะ(พระสูตร)ใดที่มีกวีหรือมีผุ้นำมาแต่งร้อยถ้อยคำเสียใหม่ แม้นว่าสิ่งทีแต่งนั้นจะไพเราะเพราะพริ้งหรือพรรณาความอย่างพิศดารวิจิตรก็ตาม แต่ให้ถือเอาพุทธวจนะแท้ ๆ ของพระองค์นั่นแหละเป็นบัญญัติ

ความคลาดเคลื่อนที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งทุกฝ่ายก็ยอมรับว่ามีการเพิ่มเติมในส่วนที่เป็น "อรรถกถา" โดยพระอรรถกถาจารย์รุ่นก่อน ๆมาจริง และที่สำคัญก็พบว่า ในพระไตรปิฎกที่มีการเรียบเรียงขึ้นใหม่ ทั้งฉบับของ มหามงกฎ หรือ มหาจุฬา ล้วนไม่เหมือนกับต้นแบบแปลแรกคือ ฉบับหลวง และฉบับเดิมอันถือเป็นต้นทางพระไตรปิฎกที่ถือว่าเก่าที่สุดในประเทศคือ ฉบับสยามรัฐ

ต้นทางการเดินทางของพระไตรปิฎกที่ประเทศไทยใช้กัน นับเนื่องจากที่ปรากฏบนเสาอโศก และมีการนำไปเผยแพร่ในดินแดนต่าง ๆ รวมทั้ง สุวรรณภูมิซึ่งรวมทั้ง ไทย ลาว รามัญ(มอญ) ก็ล้วนมีพระไตรปิฎกด้วยกันทั้งสิ้น

ในยุคกรุงศรีอยุธยาที่มีการศึกสงครามระหว่าง อโยธยากับพม่า ทำให้หลักฐานโดยเฉพาะ พระไตรปิฎกที่มีอยู่ในเวลานั้นสูญหาย,เสียหาย เพราะศึกสงคราม และในภายหลังช่วงรัชกาลที่ 1 จึงได้มีการขอยืมพระไตรปิฎกจากเพื่อนบ้านทั้งลาว,รามัญ มายังไทยและให้พระภิกษุร่วมกันลอกพระไตรปิฎกเหล่านั้นจารลงบนใบลาน(ภาษาขอม) และถือว่านั่นเป็นหลักฐานที่ว่าเราเริ่มมีพระไตรปิฎกของเราใหม่อีกครั้งอย่างมีหลักฐาน( พระไตรปิฎกฉบับนั้นยังถูกเก็บไว้ในวัดพระแก้ว)

และจากการที่พระไตรปิฎกแต่เดิมซึ่งถูกเขียนเป็นภาษาบาลี และเมื่อเราคัดลอกต้นฉบับจากบาลีที่ถูกแปลมาเป็นภาษาขอมแล้ว จึงนับว่าเป็นการยากที่จะทำให้ภิกษุในไทยจะได้ศึกษาพระไตรปิฎกในภาษาอื่นได้อย่างเข้าใจ  จนกระทั่งในรัชกาลที่ 5 ท่านจึงทรงนิมนต์พระสงฆ์นับร้อยร่วมกันแปลจากอักษรขอมกลับไปเป็นบาลี โดยการใช้อักษรสยาม แต่ยังอ่านเป็นภาษาบาลี ซึ่งนั่นคือหลักฐานของการมีพระไตรปิฎกในรูปแบบอักษรสยามครั้งแรก


ต่อมาในยุครัชกาลที่ 8 จึงได้มีการแปลพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ (บาลี) เป็นภาษาไทยและถือเป็นฉบับแรกของประเทศที่เป็นพระไตรปิฎกฉบับอ่านไทยแปลไทย และเรียกกันว่า "ฉบับหลวง"

และจากนั้นหลายสำนักก็มีการนำพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ(บาลี) ไปแปลเรียบเรียงเสียใหม่อีก นั่นคือ ฉบับมหามงกฎ และฉบับมหาจุฬา  และเป็นที่มาของประเทศไทยที่มีพระไตรปิฎกแปลจากหลายสำนัก  ซึ่งปรากฏสำคัญว่า ในแต่ละฉบับมีความคลาดเคลื่อนและไม่เหมือนกับฉบับหลวง

พระคึกฤทธิ์ ท่านยึดเอาฉบับหลวงซึ่งท่านถือว่าเป็นฉบับที่ใกล้เคียงประวัติศาสตร์และใกล้พุทธองค์มากที่สุดเป็นหลัก ซึ่งพบว่าในหัวข้อพระธรรมวินัยที่ว่าด้วยการลงพระปาติโมกข์นั้น ในฉบับหลวง แปลว่า พระปาติโมกข์ที่ภิกษุต้องนำมาสาธยายธรรมทุกกึ่งเดือนนั้น มีจำนวน 150 ข้อ ถ้วน!

คำว่า "ถ้วน" จึงเป็นคำที่สร้างปัญหาเพราะเมื่อสืบเสาะไปค้นในพระไตรปิฎกทั้งฉบับหลวง,ฉบับมหามงกฎหรือมหาจุฬา ต่างแปลตามฉบับหลวงตรงกันคือ 150 ข้อถ้วน

ซึ่งสอดรับกับหนังสือเรื่อง พุทธธรรมที่เขียนขึ้นโดย พระธรรมปิฏก ปยุต ปยุตโต ซึ่งถือเป็นปราชญ์สำคัญในแวดวงพุทธศาสนาไทย ท่านก็เคยเขียนไว้ว่า ปาติโมกข์นั้นมี 150 ข้อถ้วน

แต่ภายหลังท่านได้เขียนแก้ไขใหม่และให้ความเห็นว่า 150 ข้อถ้วนที่ท่านเขียนนั้นก็ผิดพลาดกันได้และเมื่อผิดพลาดแล้วก็แก้ไขเสียให้ถูกโดยท่านให้ความเห็นว่า คำในบาลีที่ปรากฏในพระไตรปิฎกแปลที่ว่า "สาธิกัง" นั้น ไม่น่าจะแปลว่า "ถ้วน" แต่ควรแปลว่า  มีส่วนที่เกิน มาจาก ส + อธิก - ส คือ สห แปลว่า พร้อมด้วย อธิก แปลว่า เกิน



ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันว่า ตกลงในพระไตรปิฎกแปลต่าง ๆ ล้วนแปลว่า "ถ้วน" แต่มีการชี้แจงว่า เป็นว่า "เกิน" ซึ่งแปลว่า ศีลปาติโมกข์ 150 ข้อและที่เกินกว่านั้น  อย่างใดจึงจะถูกต้อง

หลายคนจึงตำหนิพระคึกฤทธิ์ในเชิงไปตัดศีลสิกขาบทที่พระมี 227 ข้อออกโดยจาบจ้วง ทั้งที่จริงแล้ว พระคึกฤทธิ์ท่านบอกว่าท่านยังคงรักษาศีลของพระพุทธองค์ไว้ทุกข้ออย่างเคร่งครัด

จึงมีคำถามจากคนทั่วไปว่า แล้วศีลของพระแท้จริงมีกี่ข้อ 150 หรือ 227    แต่คำตอบที่แท้คือ ศีลของพระนั้นมีมากกว่า 2000 ข้อ ซึ่งนับแต่ตื่นนอน รอบกายเบื้องบนเบื้องล่างซ้ายขวา ล้วนมีศีลไว้คอยกำกับรำงับให้ภิกษุต้องอยู่ในร่องในรอยตามพุทธวจนะแทบทั้งสิ้น ทั้งมาในรูปธรรมวินัยหรือโดยมารยาทต่างๆ  ซึ่งมีทั้งโทษอาบัติหนักเบาต่างกันไปมากมาย

เพียงแต่ศีลเหล่านั้นกระจัดกระจายอยุ่นอกพระปาติโมกข์...และที่สำคัญครั้งหนึ่ง ท่านพุทธทาส ซึ่งได้เคยศึกษาเรื่องพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎก ก็เคยมีความเห็นในการเขียนหนังสือของท่าน โดยระบุว่า สิกขาบทในพระธรรมวินัยบางข้อนั้น "เป็นหมัน" ซึ่งไม่ได้ใช้แล้ว (เช่นกรณีสิกขาบทเกี่ยวกับภิกษุณี) ก็ควรตัดทอนสิกขาบทเหล่านั้นออกบ้าง (เรื่องนี้ ครั้งพุทธกาล พุทธองค์ทรงเคยตรัสอนุญาตให้ สาวกตัดสิกขาบทที่ไม่จำเป็นออกได้ตามความเหมาะสม แต่สาวกในห้วงนั้นไม่่มีผู้ใดกล้าตัด)  ซึ่งในครั้งนั้นท่านพุทธทาสก็ถูกฝ่ายสงฆ์และผุู้รู้ที่ศึกษาและจบเปรียญธรรมสูง ๆ ต่างก็ออกมาตำหนิท่านกันไม่น้อย



มีต่อ................
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

ฅ ฅน

.


...เห็นชื่อ Dr. No ต้องรีบเข้ามา และไม่ผิดหวังจริงๆ


ขอบคุณครับ !

เณรเทือง

แล้วเป็นไงล่ะ.....ปัจจุบันก็มีนางภิกษุณีกลับชาติมาเกิดแล้ว

Mr.No

อ้างจาก: ฅ ฅน เมื่อ 19:20 น.  24 ส.ค 57
.


...เห็นชื่อ Dr. No ต้องรีบเข้ามา และไม่ผิดหวังจริงๆ


ขอบคุณครับ !

ขอบคุณครับ ท่าน ฅ ฅน   ..พึ่งจะทราบว่าตอนนี้ผมได้รับตำแหน่ง Dr.  แทน Mr. ไปแล้ว ส-เหอเหอ
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

Mr.No

"พระพุทธองค์..อยู่ใกล้แค่นี้" จบ

.... หลังเกิดกรณีดังกล่าว พระคึกฤทธิ์ ท่านก็รับทราบที่จะกลับไปสวดพระปาติโมกข์ 227 ข้อเหมือนเดิม ซึ่งเหตุผลก็คือ ท่านให้ความเคารพต่อเหล่าพระเถรานุเถระและการดำรงอยู่ของหมู่สงฆ์มิให้เกิดการแตกแยกกัน (ซึ่งในเรื่องเหตุและผลก็อาจเป็นอีกกรณี)

     เรื่องราวทั้งหมดก็คงจบลงเพียงแค่นี้.......... เพียงแต่ กรณีที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ถือเป็นเรื่องที่น่าศึกษาโดยเฉพาะชาวพุทธที่ใคร่ใฝ่รู้และอยากเดินเข้าสู่ความมหัศจรรย์แห่งพระธรรมคำสอนของพุทธองค์ ว่าสิ่งที่พระองค์ค้นพบ..และชั่วเวลากว่า 2000 กว่าปี เหตุใดจึงเป็นเรื่องที่ยังทันสมัย(อกาลิโก) อยู่ตลอดเวลา และเหตุใดที่พระองค์ถึงได้ทรงบัญญัติให้ยึดเอาพระธรรมของพระองค์แทนศาสดา และห้ามมิให้สาวกใดบิดเบือนเปลี่ยนแปลงหรือเสริมแต่งในพุทธวจนะของพระองค์

   การเปิดประเด็นเรื่องนี้ ....อย่างน้อยก็ทำให้คนพุทธจำนวนไม่น้อย กลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่อง ศาสนาพุทธในเชิงลึกซึ้งมากขึ้น และถือเป็นเรื่องที่คนหนุ่มสาวและผู้ใคร่ธรรมจะได้ จะเริ่มกลับมาศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่อง "พระไตรปิฎก" กันอย่างกว้างขวางและละเอียดมากขึ้น

นับเป็นเรื่องท้าทายว่า  สิ่งที่เราพร่ำสวดทั้ง พระเถรเณรชี รวมทั้งชาวบ้านที่บอกว่า  "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ"  จะถือเป็นการประกาศยึดเอา พุทธองค์เป็นที่พึ่ง(สรณะ)อันแท้จริงอีกต่อไปหรือไม่... หรือเป็นเพียงแค่ "เปลือก" ของศาสนา  เป็นแค่ "กาฝากแห่งศรัทธา" ที่หลงลืมเนื้อแท้แต่กลับยึดถือเอาเนื้อในที่บิดเบือน ..แปดเปื้อนไปด้วยคำบัญญัติของแต่ละสำนัก ...บทพรรณนาของเหล่าสาวกภาษิต ที่ยังไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุของการเกิดกรณีเหล่านี้แหละที่จะกลายเป็นสิ่งที่ ตถาคต ได้ทรงทำนายไว้ว่า วันหนึ่งพระธรรมของพระองค์จะถูกบิดเบือน พระสัทธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบจะต้องถึงกาลสิ้นสูญไปในที่สุด

  "ดูกรภิกษุทั้งหลาย..........ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต
ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อแสดงอภิธรรม
กถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่ธรรมที่ผิดก็จักไม่รู้สึกเพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมี
เพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยใน
อนาคตข้อที่ ๓ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลาย
พึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ....." 
(ฉบับหลวง/อนาคตสูตร ๓ เล่ม ๒๒ หน้า ๙๑ ข้อ ๙๗)

จึงเป็นเรื่องที่ ผู้ใฝ่ธรรมอันแท้..และค้นหาแนวทางวิมุตติ ตามตถาคตเจ้า จะค้นหาและใช้ปัญญาตรึกตรองเอาเองว่า ใครกันที่กำลังบั่นทอน,บิดเบือน และทำให้ พุทธองค์ทรงห่างจากเราไปทุกที

แต่สำหรับผม... การได้ซึมซับพระวจน ...เรียนรู้ธรรมแต่ละถ้อยอันงดงามแห่งพระองค์  ผมคิดว่าผมกำลังใกล้พระองค์เข้าไปทุกที...และในที่สุดหากศาสนาพุทธได้กลับเข้าสู่รองรอย และช่วยกันรื้อเลาะกำแพงสนิมร้ายที่ปิดบังพระธรรมอันบริสุทธิ์ของพระองค์ออกจนหมดสิ้น..วันนั้น เราทุกคนจะได้ค้นพบว่า  ที่แท้ "พุทธองค์..ทรงอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง"


ปิดท้ายสิ่งที่ผมตั้งใจเขียนนี้  อยากให้ทุกท่านสละเวลาสัก 15 นาที ด้วยคลิปนี้ ... หลังดูจบแล้ว เชื่อว่าหลายท่านจะได้เข้าใจว่า  ผมและอีกหลายคนโชคดีเพียงใดที่กำลังจะได้ค้นพบสิ่งที่ดีที่สุดแล้วในชีวิต!




..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

ฅ ฅน

.


..คลิพไม่มีครับ สนใจมาก

หรือว่าเครื่องไอแผดผมเสีย ...

Mr.No

อ้างจาก: ฅ ฅน เมื่อ 22:10 น.  25 ส.ค 57
.


..คลิพไม่มีครับ สนใจมาก

หรือว่าเครื่องไอแผดผมเสีย ...

ลองคัดลอก ตาม link นี้ดุครับ  -http://www.youtube.com/watch?v=_nADuGOAEdU-

..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คุณหลวง


สวัสดีครับทุกๆท่าน สบายดีกันนะครับ

    นับว่าเป็นภิกษุอีกรูปที่น่าสนใจมากๆ เพียงแต่ผมไม่เคยอ่านหรือฟังท่านเลยสักครั้งหนึ่ง และนับเป็นความกล้าหาญของภิกษุรูปหนึ่งที่ต้องผจญอะไรๆอีกมากมาย ทั้งๆก่อนทำ ท่านก็คงทราบดีว่าท่านโดนแน่ๆ

    ความจริงในหมู่นักการศึกษาของสงฆ์เองก็ยอมรับกันว่าพระไตรปิฎกนั้นระบุวินัย ๑๕๐ ข้อ ซึ่งท่านคึกฤทธิ์คงจะศึกษาจนรู้ว่า ๗๗ ที่เกินไปนั้นคือข้อใดหมวดใด

    ผมคงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ครับ คือไม่รู้จะว่าอย่างไรมากกว่า เพราะว่าวงการสงฆ์บ้านเรามีอะไรๆมากกว่าที่เรารู้ ครั้งที่ท่านพุทธทาสสอนความว่าง สอนสุญญตา ก็มีพระสังฆาธิการจากกรุงเทพลงมาขอร้องมิให้สอนธรรมโลกุตตระ บอกว่าสูงเกินความรู้ของคนทั่วไป ให้สอนเพียงศีลธรรมอันเป็นพื้นฐานโลกุตตระก็พอ แต่ท่านพุทธทาสท่านไม่รับข้อเสนอนี้ เพราะท่านเห็นว่าโลกุตตรธรรมต่างหากที่เป็นพื้นฐานของศีลธรรม มิใช่ศีลธรรมเป็นพื้นฐานโลกุตตรธรรม

    ความจริงศาสนาพุทธก็เป็นสังขารอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมา เปลี่ยนไป และดับไป ธรรมดา วันหนึ่งข้างหน้าจะไม่มีคนรู้จักศาสนาพุทธอีก แม้จะมีคนรู้ธรรมก็ตาม พอหมุนเวียนเปลี่ยนไปเนิ่นนาน อาจมีศาสนาพุทธอีกซ้ำเดิมก็ได้   เนาะ...

    เพียงแต่วันนี้ วงการพระพุทธศาสนาบ้านเราทั้งพระทั้งฆราวาส มีความมุ่งหมายจะผดุงรักษาศาสนาในความหมายใด สร้างให้ใหญ่ให้โต มีพระมีคนจบปริญญาทางพุทธให้มากๆ(เรื่องคุณภาพไว้ทีหลัง เพราะบางที่ก็อนุญาตกินได้ ๒๔ ชั่วโมง อ้างว่าเรียนหนัก ต้องกินเยอะๆ ทำไมไม่นึกถึงพระพุทธองค์บ้างน้อ) หรือสร้างเหรียญเยอะๆ ขลังๆปั่นราคากันเล่น หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือจะสืบทอดธรรมอันเป็นทางพ้นทุกข์

    ก็นะ ก็ทำไปในวิถีที่สมควรต่อไป อย่าคิดว่าคนต้องเข้าใจทั้งหมด ได้บ้างยังดี


สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅน

.


....หวัดดี  ทุกท่านครับ

ผมติดตามอ่านเสมอ  อ่านซ้ำก็ยังไม่เบื่อ

ขอบคุณครับ.... ส.ยกน้ิวให้

donrakna

ได้กลับมาดูในห้องกระดานลานบุญแล้ว  ...... ส.โอ้โห...... ส.ร้อง....มีแต่เรื่องนอกแนวเยอะมากเลยครับสิ่งที่ถูกต้องเหลือน้อยลงไปทุกทีๆแล้ว   และก็ขอสนับสนุนอีกหนึ่งแรงเชียร์ด้วยครับ ส.ยกน้ิวให้
ร้านพี่น้องการไฟฟ้า  ขายเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ  รับประกัน 1ปี เลขที่ 276 ม.3 ต.ควนลัง ถ.เพรชเกษม อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา 90110   T.0816798393  don_rakna@hotmail.com