ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เสวนาการขับเคลื่อนอาสาสมัครในมหาวิทยาลัย

เริ่มโดย nunuch.kapolo, 14:42 น. 11 ก.ย 57

nunuch.kapolo

อาสาสมัคร(volunteer)เป็นการทำงานด้วยความสมัครใจ เอื้ออาทร เป็นมิตร เคารพในความเสมอภาคและปราศจากอคติในจิตใจอันจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาซึ่งเป็นแหล่งปลูกฝังพลังปัญญาเยาวชนสู่สังคม เป็นแหล่งสร้างให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในวงกว้าง

สถาบันคลังสมองของชาติ จึงได้ร่วมกับสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์อาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์อาสาสมัครเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์  สมาคมธรรมศาสตร์ เครือข่ายจิตอาสา มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และโครงการฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา เครือข่ายพุทธิกา  จัดโครงการ "มหกรรมจิตอาสาในสถาบันการศึกษา ปี 2 : ทิศทางและกระบวนการสร้างพลเมืองอาสาสมัครสู่สังคม" ขึ้น ระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2557 ณ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในงานดังกล่าวมีความน่าสนใจหลายประการเกี่ยวกับการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างอาสาสมัครคนรุ่นใหม่
           
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์  คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา ผู้ร่วมเสวนาหัวข้อการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างอาสาสมัครสู่สังคมในวันแรก มองว่าสังคมไทยมองการเป็นอาสาสมัครแบบแยกส่วนและมีลักษณะที่เป็นอุดมคติที่สูงส่ง กล่าวคือ การเป็นอาสาสมัครนั้นมักมองว่าจะเกิดขึ้นภายใต้สถานภาพ และบทบาทหน้าที่ของบุคคลที่มีศักยภาพ มีความพร้อมทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม บ่อยครั้งที่เมื่อใครก็ตามพูด กระทำเกี่ยวกับการเป็นอาสาสมัคร จิตสาธารณะ จึงมักถูกค่อนขอดว่า "เอาตัวเองให้รอดก่อน ก่อนจะช่วยคนอื่น" "เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด" "มีหน้าที่เรียนหนังสือก็เรียนไป-ต้องรู้จักหน้าที่" 

ในแง่อุดมคติ งานอาสาสมัครถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่สูงส่งที่คนธรรมดา สามัญ ทั่วไปไม่สามารถกระทำและ/หรือดำเนินการได้ หากต้องอาศัยพลังพิเศษ ความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่นๆในสังคม ด้วยเหตุนี้สังคมไทยจึงมักเรียกร้องหาวีรบุรุษ/วีรสตรี หรือผู้กอบกู้มาเสมอๆ ในยามที่มีปัญหาเกิดขึ้น นั่นหมายความว่าในการรับรู้ของสังคมโดยพื้นฐานมองว่างาน/ การเป็นอาสาสมัคร จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีเงื่อนไขที่ไม่ปกติ เช่น ภัยธรรมชาติ สถานการณ์ ฯลฯ กล่าว

สำหรับในสถาบันอุดมศึกษา นิสิตนักศึกษามักตกเป็นจำเลยและถูกเหมาเข่งจากสังคมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการมองว่า ไม่ใส่ใจสังคม คิดแต่เรื่องตัวเอง ด้านหนึ่งเป็นเพราะเรามักติดภาพในอดีตถึงความยิ่งใหญ่ของขบวนการนิสิตนักศึกษาในอดีตไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 6 ตุลา หรือเดือนพฤษภา และพลอยดูแคลนกับพลังนักศึกษาในปัจจุบัน
             
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ กล่าวต่อไปว่าจากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับกิจกรรมพื้นฐานผ่านกลุ่ม ชมรม กลุ่มอิสระ ฯลฯ พบว่ามีความน่าสนใจในบทบาทของคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่รูปแบบ เนื้อหาและกิจกรรมดำเนินการที่หลากหลาย กระจัดกระจาย ไปตามความต้องการ รสนิยม และสุนทรียะของบุคคล กลุ่ม และโน้มเอียงสู่การบำเพ็ญประโยชน์จากจุดเล็กๆ และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง สร้างสรรค์สิ่งดีงามได้ จากจุดที่ยืนหรือสัมผัส เช่น ชมรมทนายไร้ตั๋ว ของนิสิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ หลังจากลงพื้นที่สัมผัสกับปัญหาแรงงานข้ามชาติ และได้พบเจอกับการถูกเอารัดเอาเปรียบ การขูดรีดซึ่งหน้า จึงร่วมกันจัดตั้งชมรมช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติในรูปแบบต่างๆ หรือกลุ่มนิสิตรวมกลุ่มกันทำโครงการครูดิลิเวอร์รี (Delivery) ในการฟื้นโรงเรียนขนาดเล็กร่วมกับชุมชนไม่ให้ถูกยุบ
           
"ผมเรียนรู้ว่าแรงบันดาลใจ ที่เริ่มต้นจากประเด็นมนุษยธรรม เรียนรู้การให้ด้วยความสงสาร ความรัก ทำให้เกิดการถักทอ แบ่งปันจากมือสู่มือ ลงมือสร้างกิจกรรมที่แตกต่าง ซึ่งไม่เพียงจะนำไปสู่การช่วยเหลือคนอื่น หากยังนำไปสู่การค้นพบตัวตน คนอื่น ที่สำคัญคือ กล้าที่จะลงมือด้วยความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลง เขาและ/เธอ คือหน่ออ่อนเล็กๆที่เป็นความหวังและยังมีทางให้เดิน แต่เป็นทางที่เดินด้วยรัก ไม่ใช่อุดมการณ์แบบดิ่งเดี่ยวเช่นในอดีต"

กระนั้นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ เห็นว่าการขับเคลื่อนกิจกรรมนิสิตนักศึกษาในปัจจุบัน ยังมีปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะในเชิงระบบและโครงสร้าง ที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มุ่งสู่ "ธุรกิจการศึกษา" ผมรู้สึกและรับรู้ว่า การบำเพ็ญประโยชน์หรือการเป็นอาสาสมัครในบางมหาวิทยาลัยเป็นเพียงวาทกรรม หรือกลยุทธ์ทางการตลาดเท่านั้น หากมหาวิทยาลัยในภาพรวมยังมุ่งสู่เป้าหมายทางธุรกิจมากกว่าการคำนึงถึงปรัชญาการศึกษาที่แท้จริงแล้ว โอกาสในของขับเคลื่อนงานอาสาสมัครก็เป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้น ประดุจดั่งการแล่นเรือในทะเลทรายที่แห้งแล้ง ยากที่จะไปถึงซึ่งฝั่งฝัน

ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็ต้องจริงจังกับแนวคิดมหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนสังคม มหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีพอสำหรับ การเสริม เติมเต็ม การสร้างนิสิตจิตอาสา ในมหาวิทยาลัย งานกิจกรรมนิสิตจำนวนมากติด "กับดัก" ด้านธุรการและเอกสารเชิงเทคนิค ทำให้นิสิตต้องสาละวนอยู่กับการจัดการ ทำให้พื้นที่/ เวลาสร้างสรรค์ค่อยๆหดแคบ หายไปในที่สุด และยิ่งในหลายๆมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมนอกชั้นเรียนเสริมหลักสูตรด้วยแล้ว กลับกลายเป็น "เจตนาดี แต่หวังร้ายไป" บ่อยครั้งที่เจอคำถามว่า "ได้ชั่วโมงหรือไม่"
         
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ เสนอว่าการขับเคลื่อนคนรุ่นใหม่ต้องเปลี่ยนฐานความคิดใหม่ทำให้การเป็นนิสิตจิตอาสาสมัครและการบำเพ็ญประโยชน์ คือสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นและกระทำได้ในชีวิตประจำวันที่ โดยที่คนธรรมดาสามัญ ตัวเล็ก ตัวน้อย ก็สามารถสร้างคุณค่าดีงามเล็กขึ้นมาได้ ที่สำคัญคือ การสร้างนิสิตที่เชื่อมั่นการเปลี่ยนแปลง และมีสำนึกของความเป็นพลเมือง สร้างพื้นที่สร้างสรรค์ที่นิสิตมี "อิสระทางความคิด" สามารถคิดค้น/ ค้นหาแรงบันดาลใจและแรงปรารถนา โดยกระบวนการและรูปแบบที่หลากหลาย ชั้นเรียน หลักสูตร กลุ่ม ชมรม กลุ่มอิสระ ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอาจจัดสรรกองทุนที่นิสิตอิสระ สามารถสร้างสรรค์กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ จิตอาสา โดยไม่จำกัดรูปแบบที่แข็งตัว และสามารถเข้าถึงได้ง่าย

"เราต้องสร้างนักกิจกรรมที่กล้าวาดเส้นของฟ้าของตนเองและกลุ่ม เพราะผู้ที่มุ่งมั่นกับการวาดเส้นขอบฟ้าจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง สร้างสนามการเรียนรู้ และสร้างสรรค์กิจกรรม ที่เชื่อมโยง/ โยงใยผู้คนหลากหลายเข้าด้วยกัน โดยกระบวนแบบมีส่วนร่วมที่นิสิตสามารถดัดแปลงตนเองพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงสังคม/ ชุมชนที่สัมผัส สร้างพื้นที่แวดล้อมที่เอื้อตอการส่งเสริมแนวคิดจิตอาสาสมัครในมหาวิทยาลัย เช่น การส่งเสริมการอ่าน วรรณกรรม ดูหนัง ฟังเพลงและมีกิจกรรม-งานอาสาให้นิสิตเลือกตามรสนิยมและความต้องการมากขึ้น สร้างแบบอย่างที่แตะต้อง สัมผัสได้ในชีวิตจริง"