ผู้หญิงแกร่ง “บีม-วรานิษฐ์” จากลูกกตัญญู สู่ Single Mom

[ทีมงานบ้านเรา]

การเสียชีวิตของดาวตลกเอกระดับตำนานอย่าง "ดี๋ ดอกมะดัน" หรือชื่อจริงว่า "ศุภกรณ์ ศรีสวัสดิ์" ในวัย 58 ปี เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2552 หลังจากล้มป่วยลงตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2549 ด้วยอาการหอบหืดกำเริบ จนทำให้หัวใจหยุดเต้นนานถึง 15 นาที ขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่งผลให้สมองขาดออกซิเจน กลายเป็นเจ้าชายนิทรา และอยู่ในความดูแลของครอบครัวมากว่า 3 ปี นั้น นอกจากจะทำให้เราได้รู้ข้อมูลว่าดี๋มีหนี้สินติดตัวอยู่นับ 10 ล้านบาทแล้ว เรายังมีโอกาสได้ทำความรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนผู้เป็นพ่อได้อย่างน่าชื่นชม
          

[attach=1]

          "บีม-วรานิษฐ์ จิราโรจน์เจริญ" (ชื่อเดิมพรรณวรินทร์ ศรีสวัสดิ์) ลูกสาวคนโตของดาวตลก ดี๋ ดอกมะดัน
          
          ขณะที่พ่อเสียชีวิต บีมมีอายุเพียง 29 ปี สำเร็จปริญญาโท วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาการบริหารงานวัฒนธรรม ทันทีที่ตระหนักว่าครอบครัวมีหนี้สินนับ 10 ล้าน จากการค้ำประกันให้เพื่อนทั้งบ้าน ทั้งรถเบนซ์ และบ้านกำลังจะถูกอายัติ ในฐานะลูกสาวคนโต ที่จะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครอบครัว เธอจำต้องละวางความฝันที่อยากเป็นนักธุรกิจ แล้วหันมารับงานทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งเป็นพิธีกร PR ถ่ายแบบ ถ่ายแฟชั่นนิตยสาร หรือแม้กระทั่งไปขายของมือสองตามตลาดนัด เพื่อหาเงินมาปลดหนี้ให้เร็วที่สุด
          
          แต่มรสุมชีวิตของครอบครัวนี้ยังไม่หมดอยู่เพียงเท่านั้น ยังมีชะตากรรมของน้องสาวคนเล็ก "เบลล์ ชยานิษฐ์" ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นเพียง 1 ในล้าน พิษสงของมะเร็งชนิดนี้ จะทำลายเนื้อดีไปเรื่อยๆ จนถึงกระดูก และจะต้องทำการรักษาโดยการผ่าตัดก้อนเนื้อออกให้หมด   
          
          นั่นหมายถึงว่านอกจากจะต้องหาเงินเพื่อปลดหนี้แทนพ่อแล้ว ขณะเดียวกันบีมยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาน้องสาวไปด้วย เรียกว่าเป็นภาระที่หนักอึ้งเหลือเกินสำหรับผู้หญิงที่วัยยังไม่ถึง 30 ปีในเวลานั้น
          
          แต่เพียงแค่ 4 ปีนับจากที่พ่อเสียชีวิต หนี้นับ 10 ล้าน ก็ได้รับการชำระจนหมดสิ้น พร้อมๆ กับการรักษาอาการป่วยของน้องสาวจนหายขาด ด้วยหยาดเหงื่อ แรงกายของผู้หญิงแกร่งคนนี้ ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้อย่างสมภาคภูมิ
          

[attach=2]

          ชีวิตราบเรียบอยู่พักใหญ่ ก่อนที่มรสุมลูกใหม่จะโถมเข้ามาอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่าบีมกำลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน
          
          ถ้ามองในแง่ประเพณีไทย อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีงามนัก แต่ต้องไม่ลืมว่าขณะนี้บีมมีอายุได้ 34 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นก็ถือว่าเธอมีวุฒิภาวะมากพอในการที่จะใช้ชีวิตคู่ ไม่ได้เกิดจาก "ความพลาดพลั้ง" หรือ "ขาดการยับยั้งชั่งใจ" เพียงแต่อาจจะไม่ได้ผ่านการรับรองจากสังคม ด้วยพิธีการ และ/หรือทะเบียนสมรส
          
          จะว่าไปแล้วคนบันเทิงที่เข้าสู่ประตูวิวาห์ในช่วง 1-2 ปีนี้ ส่วนใหญ่ก็ออกจะยอมรับกันอย่างหน้าชื่นว่าฝ่ายหญิง "ท้องก่อนแต่ง" กันทั้งนั้น แต่บีมอาจจะเคราะห์ร้ายกว่าคู่อื่นตรงที่เพิ่งรู้ว่าตั้งครรภ์หลังจากที่เลิกรากับฝ่ายชาย ซึ่งเป็นหนุ่มนอกวงการ ที่คบหากันมานานกว่า 7 ปี แต่ฝ่ายชาย ก็ยืดอกพร้อมรับผิดชอบเต็มที่ เพียงแต่บีมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายปฏิเสธ เพราะผ่านการคิดใคร่ครวญมาอย่างดีแล้วว่าครอบครัวที่มีครบทั้งพ่อ แม่ และลูกพร้อมหน้ากัน ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าชีวิตจะมีความสุข เมื่อรู้ว่าอย่างไรเสีย

       ชีวิตคู่ก็ "ไปไม่รอด" จึงไม่ฝืนดันทุรัง แต่พร้อมที่จะทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกชายที่กำลังจะลืมตามาดูโลกในอีก 5 เดือนข้างหน้าในฐานะ Single Mom
          
          "จริงๆ วิธีการที่ไม่แต่งงานทั้งๆ ที่ผู้ชายรับผิดชอบ แต่เราเลือกวิธีนี้ ถามว่าใจเด็ดไหม อันนี้เป็นความตั้งใจและเป็นการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วค่ะ เพราะว่าไม่ได้ตัดสินใจเพื่อตัวเอง แต่ตัดสินใจเพื่อลูก
          คือเริ่มจากบีมกับคุณพ่อของน้อง เราก็รู้จักกันมานานแล้ว ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะเป็นคนรักกัน แต่ว่าในเมื่อมันเป็นไม่ได้ก็เลยตัดสินใจที่จะเลิกกัน แต่พอดีว่าเกิดเรื่องราวตรงนี้ขึ้นมา เราก็หันกลับมาพยายามอย่างดีที่สุดแล้วที่จะทำให้เรากลายเป็นครอบครัวกันได้ เพราะว่าเรามีลูกด้วยกัน แต่พอถึงเวลาหนึ่งบีมก็มาคิดอีกที เป็นความคิดตัดสินใจของบีมและได้ปรึกษากับเขา ว่าในเมื่อเราไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ ถ้าเกิดจะแต่งงานเพราะว่าเรามีลูกด้วยกัน บีมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับลูกบีม เพราะว่าการที่คนเราแต่งงานกัน มันไม่ใช่แค่งานแต่งงานเท่านั้น แต่ว่ามันคือชีวิตที่เราต้องใช้ร่วมกัน ถ้าเกิดเราไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกัน มีทัศนคติที่ตรงกันในการใช้ชีวิต บีมเชื่อว่าลูกของบีมก็คงจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีน่ะค่ะ ในการไตร่ตรองตรงนี้บีมก็ขอข้อมูลทุกอย่างว่าการที่คนเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม แต่ลูกของเขาก็อาจจะมีปัญหาได้ แต่ถ้าเกิดเราทำหน้าที่เป็นพ่อ-แม่ให้ความรัก ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม แต่บีมเชื่อว่าลูกจะต้องเติบโตมาอย่างแข็งแรงที่สุด เพราะว่าความรักที่เรามอบให้"
          

[attach=3]

          บีมไม่ต้องการการแต่งงานถ้ามันจะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ก็อยากที่จะตัดสินใจตั้งแต่วันนี้มากกว่าแต่งไปแล้วต้องมาเลิกทีหลัง คือบีมมองไปถึงอนาคตว่ามันคงไม่โอเค. สำหรับเราเพราะว่าบีมปรึกษาทั้งเบลล์ ทั้งแม่แล้ว และทุกคนก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ แล้วเราก็ตื่นเต้นกันมากที่จะมีสมาชิกใหม่เข้ามา เพราะบีมก็เพิ่งสูญเสียคุณพ่อไป เราก็เป็นผู้หญิงสามคนอยู่ในบ้าน แต่ตอนนี้เรากำลังจะมีผู้ชายในบ้านแล้ว และจะเป็นคนที่จะมาดูแลทั้งแม่ ทั้งคุณยาย ทั้งคุณน้า และจะได้มีความสุขกัน"
          
          ยืนยันว่าคุยกันด้วยดี และฝ่ายชายไม่ได้มีครอบครัวอย่างที่เป็นข่าว
          "ที่มีกระแสว่าไม่แต่งงานเพราะเขามีครอบครัวแล้วก็ไม่ใช่นะคะ เขาเป็นคนโสด ไม่ได้แต่งงานค่ะ และก็ยอมรับว่าตอนแรกก็กังวลกับกระแสสังคม เพราะด้วยความที่เป็นลูกพ่อดี๋ พ่อก็เป็นคนที่มีคนรู้จัก เราก็คิดว่าจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของพ่อหรือเปล่า แต่ว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด ลูกเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ
          
          ลูกไม่ใช่ความผิดพลาด เพียงแค่ผิดจังหวะ
          "บีมว่าเป็นฟ้าประทานสิ่งที่มีค่าที่สุดให้บีม ตอนนี้ชีวิตก็ต้องวางแผนค่ะ แต่ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องพ่อมาเราก็ค่อนข้างวางแผนรากฐานชีวิตอยู่แล้วค่ะ พอมีเรื่องนี้ขึ้นมาเราก็ต้องยิ่งดูแลตัวเอง ยิ่งเตรียมพร้อมให้อีกหนึ่งชีวิตที่จะเกิดขึ้นมาค่ะ
          
          และเมื่อลำดับเหตุการณ์กับสิ่งที่เธอทำเพื่อครอบครัวแล้ว เชื่อมั่นว่าเธอมีความแข็งแกร่ง อดทน และมีภาวะผู้นำมากพอที่จะทำหน้าที่ Single Mom ของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
       
       ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 260 25-31 ตุลาคม 2557