ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

อากาศดี ๆ แต่ทำให้เสียด้วยควันไฟ

เริ่มโดย นกกา, 06:42 น. 28 ม.ค 58

นกกา

แถวเขตนอก ๆ ของเทศบาลนครหาดใหญ่ คอหงส์ และคลองแห
ไม่เข้าใจว่าจะเผาอะไรให้เกิดควันกันหนักหนา
เดือนนี้อากาศเย็นสบาย น่าออกกำลัง พักผ่อน ก็มาทำให้เสียด้วยควันไฟ
เหม็น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เสียบรรยากาศ

จะทำให้เป็นเมืองท่องเที่ยวไม่ใช่หรือ
แต่อากาศดี ๆ ยังทำไม่ได้เลย

มันแต่ไปทำอะไรที่มันไม่เข้าท่าอยู่
คุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ยังแย่
คนที่อื่นเขาจะมาเที่ยวทำไม ???

กิมหยง

มีคนร้องเรียนเรื่องราวแบบนี้ทุกปีครับ

เกิดการกวาดขยะเผาทั่วไปบ้าง เผาไร่เผานาบ้าง เผาถ่านบ้าง

หน้าฝนมีน้อยไม่ได้รบกวนอะไรเรา  แต่พอหน้าแล้งทำแบบนี้หลาย ๆ ราย

เลยทำให้รู้สึกว่ามีควันเผาสิ่งต่าง ๆ เยอะครับ
สร้าง & ฟื้นฟู

แบงค์ คุณากร

หน้าแล้งจะเผาอะไร ระวังฟืนไฟ กันด้วยนะครับ เกรงว่าอาจจะเกิดไฟไหม้ จากประกายไฟ
ยาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิต แต่ควันไฟเป็นมลพิษต่อสังคม  ส.หลก

ที่นี่หาดใหญ่

ควันจากอินโดฯ.จางหายไป ควันจากฝีมือคนไทย กำลังจะกลับคืนมา

Nogzzi

นั่นนะสิครับ บดบังทรัพย์พยากรธรรมชาติมาก

Ok.Betong

ฟื้นฟูป่า ฟื้นฟูใจ

วัดป่ามหาวันก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๕๑๔ ในช่วง ๑๔ ปีแรกไม่สู้มีพระมาพำนัก แต่หลังจากปี ๒๕๒๘ ก็มีพระสงฆ์มาอยู่ประจำ นอกจากการส่งเสริมปฏิบัติธรรมแล้ว งานหลักอีกงานหนึ่งของวัดป่ามหาวันคือการอนุรักษ์ป่าภูหลง ซึ่งเป็นป่าที่สมบูรณ์ที่สุดบนเทือกเขาภูแลนคา (หากไม่นับอุทยานตาดโตน) เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยหลายสาย ซึ่งไหลรวมกันเป็นสายน้ำลำปะทาวและลงสู่แม่น้ำชี อันเป็นแม่น้ำสายหลักสายหนึ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนอีสานตอนบน

ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมาภูหลงประสบภัยคุกคามทั้งจากผู้ลักลอบตัดไม้ พรานล่าสัตว์ และไฟป่า(ที่มาจากไร่ข้างเคียง) จนปัจจุบันยังคงสภาพป่าสมบูรณ์เพียง ๒,๐๐๐ ไร่ ส่วนพื้นที่อีก ๑,๕๐๐ ไร่กลายเป็นทุ่งหญ้าโล่งเตียน ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ทำกินของชาวบ้านครอบคลุม ๓ อำเภอ ปัญหาดังกล่าวรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากบริเวณโดยรอบนั้นถูกแผ้วถางจนไม่เหลือสภาพป่า ทำให้ผู้คนหันมาหาประโยชน์จากป่าภูหลงแทน

นับตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ ชาวบ้านตาดรินทอง ได้จัดตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์ป่าขึ้น โดยร่วมมือกับคณะสงฆ์วัดป่ามหาวัน หน้าที่หลักคือปกป้องและฟื้นฟูป่าภูหลง นอกจากการลาดตระเวนเพื่อป้องกันการลักตัดไม้และล่าสัตว์แล้ว ในช่วงหน้าร้อนงานที่ต้องระดมคนเป็นพิเศษคือการป้องกันไฟป่า มีการทำแนวกันไฟรอบป่า และร่วมกันดับไฟป่าซึ่งเกิดจากพรานล่าสัตว์และจากไร่ข้างเคียง ในช่วงหน้าฝน กิจกรรมหลักคือการปลูกป่า

นอกจากการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าโดยตรงแล้ว ทางวัดยังร่วมกับชาวบ้านจัดทำโครงการพัฒนาชุมชน เช่น ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ รวมทั้งการสนับสนุนกลุ่มเยาวชนเพื่อร่วมฟื้นฟูชุมชน

ทุกปีจะมีการจัด "ธรรมยาตราเพื่อชีวิตและลุ่มน้ำลำปะทาว" ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคมโดยเดินไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ บนเทือกเขาภูแลนคา เพื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติ ผู้สนใจติดตามรายละเอียดที่ www.visalo.org หรือ www.lampatao.org

การอนุรักษ์ป่าถือว่าเป็นงานสำคัญของวัด มิใช่เพียงเพราะป่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น หากป่ายังเป็นสถานที่ที่เอื้อเฟื้อต่อการบำเพ็ญกรรมฐานเพื่อเจริญสมาธิและปัญญา ป่าที่สงบสงัดนอกจากช่วยให้จิตสงบได้ง่ายแล้ว ยังเอื้อต่อการมองตนเพื่อเห็นธรรมชาติของจิตใจด้วย ในเมื่อป่ามีคุณค่าเช่นนี้ เราจึงควรช่วยกันอนุรักษ์ป่า มิใช่เพื่อประโยชน์ของเราและอนุชนรุ่นหลังเท่านั้น หากยังเพื่อรักษาธรรม และเป็นการตอบแทนคุณของธรรมชาติด้วย

ปลูกต้นไม้ในป่า ปลูกธรรมในใจ

กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วธรรมชาติแวดล้อมวิกฤตก็เพราะธรรมชาติภายในของผู้คนเสียสมดุล พูดอีกอย่างก็ได้ว่า ความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาติแวดล้อมทุกวันนี้เป็นผลมาจากความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาติภายในผู้คน เป็นเพราะผู้คนมีความทุกข์ อ้างว้าง และว่างเปล่าในส่วนลึกของจิตวิญญาณ จึงพยายามหาวัตถุมาเติมเต็ม แต่ไม่ว่าจะแปรธรรมชาติเป็นสิ่งเสพและทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงใด จิตวิญญาณก็ไม่เคยเติมเต็มเสียที

ธรรมชาติแวดล้อมจะไม่มีวันฟื้นฟูได้เลยหากธรรมชาติภายในของผู้คนไม่คืนสู่สมดุลหรือความปกติ ด้วยเหตุนี้ธรรมะจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง ธรรมชาติกับธรรมะแยกจากกันไม่ออก หากจะฟื้นฟูธรรมชาติได้ก็จำเป็นต้องฟื้นฟูธรรมในใจของผู้คน นั่นคือทำให้ผู้คนกลับมาตระหนักถึงความเป็นจริงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อยู่ได้เพราะธรรมชาติ และดังนั้นจึงควรสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติ ขณะเดียวกันธรรมยังช่วยให้เรารู้จักพอ มีชีวิตที่เรียบง่ายได้โดยไม่ต้องฝืนใจ เพราะสามารถเข้าถึงความสุขที่ประณีต

ความสุขอันประณีตนั้นไม่ต้องอาศัยการเสพหรือมีวัตถุ แต่เกิดจากการมีจิตใจที่สงบเย็น จากการทำความดี จากการเห็นรอยยิ้มแห่งความสุขของผู้คนอันเป็นผลจากความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลของเรา รวมทั้งจากความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เราทุกคนย่อมโหยหาความสุข และการที่เราพากันไปแสวงหาความสุขจากวัตถุ ก็เพราะเราไม่รู้จักหรือไม่สามารถเข้าถึงความสุขอันประณีต แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าถึงความสุขอันประณีตได้ ความสุขจากวัตถุจะมีเสน่ห์น้อยลง

ความสุขอันประณีตเกิดจากเข้าถึงธรรม เมื่อเรารู้จักพอ ความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่าย และเมื่อจิตใจมีความสุข ความพอก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ไม่มีความจำเป็นต้องเบียดเบียนธรรมชาติเพื่อปรนเปรอกิเลสหรือสนองความสุขอย่างหยาบ ๆ อีกต่อไป ทำให้มีชีวิตที่บรรสานสอดคล้องกับธรรมชาติแวดล้อม ใจที่มีธรรมจึงเป็นหลักประกันแห่งการรักษาคุ้มครองธรรมชาติที่ดีที่สุด

รักษาป่า คือการรักษาธรรม

ป่ามิใช่เป็นแค่ต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธารเท่านั้น หากยังเป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ ดังจะเห็นได้ว่าพุทธประวัติสัมพันธ์กับป่าโดยตลอด พระพุทธองค์ไม่เพียงประสูติใต้ต้นไม้ หากยังบำเพ็ญเพียรในป่าจนตรัสรู้ใต้ต้นไม้ และแสดงปฐมเทศนาในป่า และบำเพ็ญพุทธจริยาในป่าเกือบจะตลอดพระชนม์ชีพ จนสุดท้ายก็ปรินิพพานใต้ต้นไม้

กล่าวได้ว่าถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้มาบำเพ็ญเพียรในป่า ก็คงยากที่จะเห็นธรรม เพราะอะไร เพราะธรรมะกับธรรมชาติเรื่องเดียวกัน เมื่อเราเพ่งพิจารณาธรรมชาติภายนอกอย่างลึกซึ้ง เราก็เห็นธรรมชาติภายใน คือเห็นธรรม

ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์ตั้งแต่สมัยพุทธกาลจึงนิยมมาอยู่ป่า หรือใช้ป่าให้เป็นวัด ทั้งนี้เพื่ออาศัยธรรมชาติช่วยกล่อมเกลาจิตใจจนเกิดความรู้ความเข้าใจกระจ่างแจ้งในชีวิต

พระสงฆ์ตั้งแต่สมัยพุทธกาลท่านชื่นชมการอยู่ป่า บางท่านได้อุทานออกมาเป็นบทกวีที่ไพเราะมีผู้แปลไว้ดังนี้

"ยามสายลมเย็นพลิ้วอ่อน
กลิ่นอบอวลขจรไปทั่วทิศ
ฉันนั่งสงบจิตบนยอดผา
เพียรขจัดอวิชชา ไปจากจิตใจ"

การมาอยู่ป่า ท่ามกลางความเงียบสงัดของธรรมชาติ ช่วยน้อมจิตให้สงบ ทำให้เกิดความสุขที่ลุ่มลึก ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เกิดปัญญาประจักษ์แจ้งในสัจธรรม กล่าวคือเห็นว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่จะยึดมั่นได้ ปัญญาดังกล่าวจะช่วยให้เรา และเห็นว่าธรรมชาติภายในกับธรรมชาติภายนอกเป็นหนึ่งเดียวกัน เรากับเขามิได้แยกจากกันถึงตอนนั้นเรามีต้นธารภายในที่จะช่วยหล่อเลี้ยงเราในทุกที่ทุกสภาพไม่ว่าจะกระทบกระทั่งกับสิ่งใดก็ไม่ทุกข์ง่าย ๆ รู้จักปล่อยวาง ทำให้จิตมีที่พัก ไม่เตลิดเปิดเปิงไปหาเรื่องทุกข์มาใส่ตัว เอาไฟโทสะ ไฟราคะมาเผาลนจิตใจ จนกระทั่งไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต

นี้คือรากฐานของพุทธศาสนาที่สำคัญยิ่งกว่าโบสถ์วิหารหรืออาคารต่าง ๆ เสียอีก กล่าวได้ว่าพุทธศาสนาจะมั่นคงก็ต่อเมื่อผู้เข้าคนถึงความสงบและความสว่างไสวทางปัญญาดังกล่าว

การที่มีพระมารักษาป่า ส่วนหนึ่งก็เพื่อปฏิบัติธรรมในป่า อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาป่าเอาไว้เพื่อผู้คนทั้งในปัจจุบันและยุคต่อ ๆ จะได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติจนเข้าถึงคุณค่าอันลึกซึ้งในทางจิตวิญญาณ

นี้คือเหตุผลสำคัญประการหนึ่งว่าทำไมพระสงฆ์และชาวพุทธจึงควรรักษาป่า ต่อสู้กับไฟป่า และช่วยกันปลูกป่าให้ร่มครึ้ม เพราะการรักษาป่าคือการรักษาธรรม... ส.สู้ๆ

บุญเหลียง