ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เปิดชาติพันธุ์รันทด โรฮีนจา คนไร้แผ่นดิน ถูกขับไสให้มาตาย

เริ่มโดย หาดใหญ่ใหม่, 11:17 น. 13 พ.ค 58

หาดใหญ่ใหม่

โดย ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/497617

"ชีวิตคน เลือกเกิดไม่ได้!!" นี่คือ 1 ในสัจธรรม ที่ชาวไทยมักพูดติดปาก เวลาเจอกับเรื่องราวทุกขเวทนาต่างๆ แต่สำหรับชีวิตชาวโรฮีนจา แล้วถ้าเขาเลือกได้ คงอยากจะมีผืนแผ่นดินสักผืนให้อยู่อาศัย ซึ่งวันนี้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับพวกเขา

ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้คนทั่วประเทศต้องตกตะลึงกับข่าวช็อก เมื่อเจ้าหน้าที่ได้พบหลุมศพกว่า 40 หลุมในพื้นที่ที่ป่าสาธารณะ หมู่ 7 บ้านฉลุง ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เขตรอยต่อติดกับพื้นที่หมู่ 10 ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ

ที่น่าตกใจไปกว่านั้น จากการตรวจสอบพบว่า เป็นหลุมศพใหม่ๆ ที่มีการขุดหลุมฝังไม่เกิน 1 ปี กว่า 30 หลุม แม้ชาวบ้านแถวนั้นจะยืนยันว่าที่ดังกล่าวเป็นกุโบร์เก่า หรือ สุสานเก่า แต่ของเดิมมีเพียง 6 หลุมเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดศพพบว่ามีร่างทั้งหมด 26 ศพ ซึ่งได้ทำการตรวจดีเอ็นเอ และชันสูตรต่อไปว่า มีศพใด "ถูกฆาตกรรม" หรือไม่

การสอบสวน เจ้าหน้าที่พบว่า หลุมศพที่พบส่วนใหญ่เป็น "ชาวโรฮีนจา" ที่เกี่ยวข้องกับ "ขบวนการค้ามนุษย์" โดยอาศัยพื้นที่ตะเข็บชายแดนเป็นค่ายกักกัน เมื่อเรื่องแดง สำนักข่าวต่างประเทศ ก็ตีข่าวทั่วโลกทันที ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงเรียกร้องให้ทางการไทยทำการสอบสวนอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และเชื่อถือได้ ทั้งนี้ คาดว่าจุดที่พบหลุมฝังศพหมู่เป็นค่ายกักขังผู้อพยพต่างด้าวที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ถึง 400 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมโรฮีนจาจากเมียนมาและบังกลาเทศ

เมื่อสื่อไทย สื่อเทศ พร้อมใจรายงาน ทางเจ้าหน้าที่ก็เดินหน้าปูพรมค้นไปพร้อมกับสอบสวนลากคอผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีให้ได้ โดยนอกจากที่สงขลาแล้ว ยังพบค่ายกักกันในลักษณะเดียวกันหลายจุดในพื้นที่ใกล้เคียง รวมไปถึงพื้นที่ ตะกั่วป่า จ.พังงา อีกด้วย

ขณะที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 5 ออกสำรวจเส้นทางแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย บริเวณ อ.สะเดา จ.สงขลา ได้พบเรื่องที่น่าเวทนาขึ้น...เมื่อสองแม่ลูก ได้วิ่งเข้ามาหาเจ้าหน้าที่ด้วยสภาพอิดโรย และหิวโซ พร้อมกับบอกว่า...ได้หนีมาจากค่ายกักกัน ตนมาจากยะไข่ ประเทศเมียนมา ที่รอดมาได้เพราะดำรงชีพอยู่กลางป่า และเมื่อตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียง ยังพบหลุมศพกว่า 70 หลุม และค่ายกักกันจริงๆ ซึ่งถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่พบเหยื่อค้ามนุษย์ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้นับร้อยรายแล้ว

การพบหลุมศพและค่ายนรกโรฮีนจา ผลที่ตามมาคือการออกหมายจับผู้นำท้องถิ่นและผู้ต้องสงสัย ซึ่งถึงวันนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีแล้วหลายสิบราย บางคนก็ไม่รอช้าเดินทางเข้ามอบตัว แต่ที่สั่นสะเทือนคือคำสั่ง "ล้างบาง" ครั้งใหญ่ โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. สั่งเด้ง 38 นายตำรวจ ทั้ง ตม. ตำรวจน้ำ และ ปคม.

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยตอนหนึ่ง เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า "กลุ่มโรฮีนจาที่ข้ามแดนเข้ามายังไทยมี 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มมีฐานะ มีที่ไปชัดเจนคือต้องการไปประเทศที่ 3 อย่างรวดเร็ว 2.กลุ่มมารองาน รอนายจ้างมารับ และ กลุ่มที่ 3 กลุ่มคนไร้จุดหมาย ไม่เป็นที่ต้องการของนายจ้าง หากมีญาติในประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะถูกเรียกเงิน หรือ ค่าไถ่"

เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแก้ปัญหาชาวโรฮีนจาที่มีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหารือกับประเทศเมียนมาและมาเลเซีย ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งเวทีพูดคุยกันอยู่ ส่วนที่จับกุมได้นั้นกำลังหาสถานที่พักพิงให้เพราะถือว่าผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมือง โดยต้องดูแลจัดหาอาหารให้ตามหลักของศาสนาถือเป็นภาระของประเทศไทยเป็นเรื่องสำคัญเพราะต่างชาติจับตาดูอยู่ แต่ถ้ามีการประโคมข่าวออกไปมากๆ ไม่น่าจะดีนักเนื่องจากเป็นเรื่องของกระบวนการข้ามชาติ ต้องไปแก้ปัญหาที่ต้นทาง ประเทศไทยเป็นกลางทางและปลายทางคือประเทศที่สาม ต้องมีการหารือกับประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจว่าการแก้ปัญหามีความเชื่อมโยง และอนาคตปัญหาเหล่านี้จะยากขึ้นเมื่อเราเป็นประชาคมอาเซียน

ใช่แล้ว ปัญหาระดับอาเซียน จะให้ไทยชาติเดียวจัดการได้อย่างไร อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าตำรวจก็เป็นหัวหอกดำเนินการไป ส่วนรัฐบาลก็ต้องรับภาระในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักอึ้ง ที่ทำให้ไทยถูกเพ่งเล็งจากนานาชาติ ซึ่งจะแก้ได้หรือไม่ คงต้องเวลา "นายกฯลุงตู่" อีกสักระยะ...

เดินทางมาไกล แต่กลับต้องมาจบชีวิตลงที่นี่...
เปิดชาติพันธุ์ 'โรฮีนจา' ร่วมรบ กู้ชาติ สุดท้ายไร้แผ่นดินซุกตัว 


ทั้งนี้ ปัญหา กรณี "ชาวโรฮีนจา" นับว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ จากข้อมูลหลายแหล่ง ก็ระบุตรงกันว่าได้มีปัญหาเกิดขึ้นมานานแล้ว ส่วนโรฮีนจา จะเป็นใคร มาจากไหน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกัน...

จาก สกู๊ปหน้า 1 นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 22 ม.ค.2552 ได้เก็บเรื่องราวของโรฮีนจาไว้ ไว้ดังนี้

"โรฮีนจา" เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ มีเมืองหลวงชื่อ สตวย (Sittwe) รัฐยะไข่ หรือ อาระกัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพม่า มีชายแดนติดกับบังกลาเทศและอ่าวเบงกอล มีประชากรราว 2 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ส่วนน้อยเป็นชาวมุสลิม 5 แสนคน

ความหิว ความเจ็บปวด คือสัญญาณชีพของคนที่มีชีวิต
ชาวมุสลิมนี่เอง ที่เรียกตัวเองว่า "โรฮีนจา" ที่เรียกเผ่าพันธุ์ตัวเองว่าโรฮีนจา จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ชื่อนี้ทำให้ชนกลุ่มนี้แปลกแยกไปจากชาวเมียนมา เผ่าพันธุ์อื่นๆ เนื่องจากภูมิประเทศของรัฐยะไข่ ประกอบไปด้วยเทือกเขาสูง แต่เดิมก็อยู่กันอย่างร่มเย็นและสงบ แต่เมื่อนักล่าอาณานิคมจากแดนไกล อย่างประเทศอังกฤษ อำนาจการปกครองของผู้มาเยือนก็กระทบต่อวิถีความเป็นอยู่ที่ยากปฏิเสธ และกลายเป็นอีก 1 ชนเผ่าที่ร่วมต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากอังกฤษ

แต่เมื่อพม่าได้เอกราช แต่โศกนาฏกรรม เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2490 ที่ออง ซาน ซึ่งเป็นบิดาของ ออง ซาน ซูจี ถูกฆ่าตาย สัญญาที่ทำไว้กับชนเผ่าต่างๆ ที่เรียกว่า "เวียงปางหลวง" หรือ "เวียงปางโหลง" ก็มีอันอันตรธาน การฉีกสัญญานี้ ทำให้ประเทศพม่าเข้าสู่ยุคมิคสัญญี เพราะเนื้อหาเวียงปางหลวง คือ เมื่อพม่าได้รับเอกราช ผู้ที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่ อย่างชนเผ่าต่างๆ จะได้สัมผัสแสงทองแห่งเสรีภาพด้วย แต่รัฐบาลทหารพม่า ไม่ได้ทำเช่นที่สัญญาไว้ โดยมีการปราบปรามชนเผ่าต่างๆ อย่างหนัก แต่ที่ต่างออกไปคือ การไม่ยอมรับ โรฮีนจา เป็นคนของประเทศพม่า

เมื่อคนในชาติไม่ยอมรับ จึงต้องหวังพึ่งตัวเอง ด้วยการหลบหนี ตั้งค่ายเรียงรายตามชายแดนประเทศบังกลาเทศ-พม่า กว่า 70,000-100,000 คน จากนั้นก็มีการหลบหนีเข้าบังกลาเทศ กว่า 2 แสนคน เมื่อปี 2521 จากนั้นเป็นต้นมา ก็พม่ากับบังกลาเทศ ก็เกิดรอยร้าวและปัญหาตามมา กระทั่งปี 2535 สหประชาชาติได้ส่งตัวแทนเจรจายุติปัญหา

ปัญหาของ โรฮีนจา นอกจากจะหนักหนาแล้ว ยัง "ละเอียดอ่อน" ด้วย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ก็ถือว่า "มนุษย์" มีสิทธิเท่าเทียมกับคนทุกๆ ชาติ หากจะผลักดันกลับก็อาจจะส่งผลกระทบหลักสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงเกี่ยวพันเรื่องศาสนา สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ ควรเร่งปราบปรามแก๊งค้ามนุษย์ให้สิ้นซากก่อน ส่วนการจัดการปัญหาในระยะยาวนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะตัดสินใจอย่างไร สิ่งสำคัญ หวังว่านานาชาติจะยื่นมือเข้าช่วย...มิใช่ว่าจะยืนดูแล้วชี้หน้าด่า "ไร้มนุษยธรรม" เอะอะ ก็จะตัดสิทธิ์การค้านู่นนี่อย่างเดียว..!?
หาดใหญ่ใหม่ www.facebook.com/hatyaimai
เมืองหลวงภาคใต้ หลากหลายเรื่องราว บอกเล่าแบ่งปัน

socialist

โปรดอ่านด้วยเหตุด้วยผล...
มองเผินๆน่าเวทนาคนพวกนี้เหลือเกิน โรฮิงยาเป็นมุสลิม ทั้งอินโดและมาเลเซียที่เป็นประเทศมุสลิมก็ไม่ค่อยเต็มใจจะรับยื่นมือช่วยแค่ไม่ให้โดนด่า โดยเฉพาะพวกมหาเศรษฐีตะวันออกกลางที่เป็นมุสลิมก็ไม่มีหน้าไหนเสนอตัวรับคนพวกนี้ไปเลย ปัญหาใหญ่ต่อจากนี้คือ ประเทศไทยที่เป็นหนังหน้าไฟจะต้องรับภาระ"พระเอกใจบุญ"ต่อไปอีกนานแสนนาน เพราะทั้งมาเลย์และอินโดประกาศออกมาแล้วว่า ไม่สามารถรับคนพวกนี้ได้อีกต่อไป ถ้ามีเรือโรฮิงยาไปอีกเขาจะผลักดันออก แล้วถ้า2ประเทศนั้นไม่เอา เรือโรฮิงยาจะไปไหนได้ ก็ต้องกลับเข้าประเทศไทย?
มองในมุมความเป็นจริง โรฮิงยาแม้จะอยู่กันลำบากแสนสาหัส แต่คนพวกนี้ก็ยังทะลักออกจากประเทศตัวเองมากขึ้นๆ เหมือนดีใจที่ได้ไปมากกว่า และยังยึดมั่นในสิ่งที่ยึดถือโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ใครที่รับคนพวกนี้เข้าไปอยู่ในประเทศ ไม่ว่าในสถานะผู้อพยพหรือผู้ต้องหารอส่งกลับ ประชากรคนพวกนี้ต้องเพิ่มขึ้นๆตามระยะเวลาที่อาศัยอยู่ มุสลิมห้ามคุมกำเนิดนะครับ แต่ละปีจะมีเด็กเกิดใหม่เต็มไปหมด เจ้าของบ้านก็จะมีภาระเพิ่มขึ้นๆๆๆๆไม่รู้จบ นี่ยังไม่คิดถึงปัญหาอื่นอีกสารพัดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
หลักศาสนาพุทธสอนไว้หลายพันปี การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เป็นบุญกุศลใหญ่หลวง
มาถึงยุคดิจิตอล คำสอนก็ต้องปรับเปลี่ยนตามโลก ช่วยคนได้บุญเหมือนเดิม แต่ถ้าช่วยแล้วสร้างปัญหาให้คนรุ่นหลัง เป็นบาป
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำคือ จัดเวรยามคอยดักเรือพวกนี้ ถ้าเจอให้ข้าวให้น้ำแล้วผลักดันออกไป พวกเขาจะไปขึ้นฝั่งประเทศไหนก็ช่าง อย่าให้เราต้องรับภาระก็พอ
คำชื่นชมจากนานาประเทศ บางทีแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ
"ประเทศไทยโคตรโง่"