ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

นักวิชาการหวั่นโลกยุคย่นย่อ ภาษาไทยเสี่ยงสูญเสียเอกลักษณ์และสุนทรียศาสตร์

เริ่มโดย ทีมงานประชาสัมพันธ์, 10:00 น. 01 ส.ค 58

ทีมงานประชาสัมพันธ์

รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณนำทีมนักวิชาการในคณะ นำเสนอผลการศึกษาการใช้ภาษาไทยในโลกยุคดิจิตอล เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ  29 กรกฎาคม 2558 พบมีการใช้ภาษาไทยแบบย่นย่อ ฉาบฉวย ส่งผลกระทบต่อเอกลักษณ์  สุนทรียศาสตร์ และประสิทธิภาพการเรียนรู้ ชี้ต้องเร่งส่งเสริมการใช้ภาษาไทยรอบด้านท่ามกลางพลวัตสังคมที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ดร.พัชลินจ์  จีนนุ่น  ได้นำเสนอปัญหาการใช้ภาษาไทยในสื่อ Facebook ว่าเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน คือ การสื่อสารกันทางFacebook ซึ่งถ้า "ใช้เป็น" ก็จะก่อประโยชน์ให้แก่ตัวผู้ใช้และสังคมไม่น้อย เช่น จุดประกายให้ผู้อื่นนำการใช้ภาษาไปเป็นตัวอย่าง เพราะเห็นการใช้ภาษาที่ประณีต และสวยงาม ช่วยเพิ่มเครือข่ายทางสังคม ช่วยพัฒนาสายอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางภาษา ที่สำคัญคือหากใช้ด้วยความตระหนักในคุณค่าที่เป็นภาษาประจำชาติด้วยแล้วก็จะเป็นการช่วยสืบทอดมรดกด้านภาษาให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าการใช้ภาษาไทยในสื่อ Facebook กำลังประสบปัญหาและส่งผลกระทบในวงกว้าง คุณค่าและเอกลักษณ์ของภาษาไทยค่อย ๆ เลือนหายไป เช่น ใช้ภาษาพูดปนกับภาษาเขียน  ใช้ภาษาฟุ่มเฟือย  ใช้สรรพนามผิด ใช้คำขานรับผิด ใช้คำเรียกโดยไม่คำนึงถึงความเป็นผู้น้อยผู้ใหญ่ บัญญัติศัพท์ขึ้นเอง ออกเสียงไม่ถูกต้องและใช้คำผิดหลักไวยากรณ์

ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการมีความรู้ด้านทักษะทางภาษาเพียงผิวเผิน การขาดความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการใช้ภาษาอย่างถ่องแท้ การขาดโอกาสที่จะเรียนรู้สุนทรีภาพ ความประณีต และความไพเราะของถ้อยคำจาก "ตัวอย่าง" ที่ดี การที่สถาบันการศึกษาไม่เข้มงวดกับการใช้ภาษาไทยของเด็กไทยการมีพฤติกรรมตามใจตัว การได้รับอิทธิพลการใช้ภาษาจากดารา สื่อมวลชน เพลง ละคร โทรทัศน์ และภาพยนตร์ และการสร้างกระแสจากการบัญญัติคำ วลีขึ้นใหม่เมื่อมีคนมากด Like มาก ๆ ทำให้รูปแบบการใช้ภาษานั้น ๆ กลายเป็น "ชุดความรู้" ใหม่ที่คนนำมาอ้างอิงกัน จนกว่าจะมี "ชุดความรู้" ที่ใหม่กว่ามากดทับ "ชุดความรู้" เดิม และถือว่าเป็นการสร้างตัวตนของผู้คิดค้นด้วย ผลที่ตามมาคือสังคม (อาจ) จะพิพากษาได้ว่าเป็นผู้ไม่รู้จักกาลเทศะ ขาดสัมมาคารวะ ขาดการศึกษา ขาดการให้เกียรติ และเคารพซึ่งกันและกัน ยิ่งหากผู้อ่านที่ขาดวุฒิภาวะเกิดนำรูปแบบการใช้ภาษานั้น ๆ ไปเป็นแบบอย่างด้วยแล้วก็จะยิ่งทำให้ภาษาดำดิ่งลงไป  ผู้ใช้ภาษาจึงพึงระมัดระวังและมีวิจารณญาณในการเล่น Facebook ให้มากขึ้น เลือกใช้ให้ถูกต้อง เหมาะสม ก่อนที่จะพิมพ์ให้หยุดคิดสักนิดว่าเมื่อส่งข้อความไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อตนและสังคมหรือไม่ อย่าคิดเพียงสนุกไปวัน ๆ 

ขณะที่อาจารย์วราเมศ วัฒนไชย  เปิดเผยปัญหาการเขียนภาษาไทยว่าภาษาของมนุษยชาติในระยะเริ่มต้นนั้นมักเป็นภาษารูปภาพ ดังที่เราพบเห็นบนฝาผนังถ้ำตามแหล่งอารยธรรมโบราณ   แล้วจึงพัฒนามาเป็นตัวอักษรที่ดัดแปลงมาจากรูปภาพ  ความมหัศจรรย์ของภาษามนุษย์ประการหนึ่งก็คือ การที่เราสามารถใช้ภาษาทั้งพูดและเขียนสื่อสารเรื่องราวได้อย่างไร้ขอบเขต สามารถสื่อสารถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิดขึ้น  เรื่องจริงหรือเรื่องเท็จได้แทบทั้งสิ้น  ตลอดถึงสามารถสื่อความถึงความคิดอันลึกซึ้งและความรู้สึกอันละเอียดอ่อนได้  ดังปรากฏในคัมภีร์ศาสนาและวรรณคดีของชาติ  เป็นต้น

ทว่าในปัจจุบัน  สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความสามารถในการใช้ภาษาของมนุษย์กำลังค่อยๆลดน้อยถอยลง   สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี   ด้วยความรวดเร็วของระบบเทคโนโลยีทางการสื่อสารต่างๆ เมื่อผนวกเข้ากับวิถีชีวิตที่ต้องรีบเร่งแข่งกับเวลา ทำให้มนุษย์ให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญกับความละเอียดอ่อนในการใช้ภาษาน้อยลง โดยเฉพาะรูปแบบการเขียนที่ ดีค่อยๆสูญหายไปจากชีวิตประจำวัน ตัวอย่างที่พบเห็นได้ คือ การเขียนบันทึกประจำวันซึ่งต้องอาศัยการเรียบเรียงที่เป็นลำดับขั้นตอนและการอธิบายเพื่อให้เห็นภาพเหตุการณ์และบุคคลที่เราเขียนถึงก็กำลังถูกแทนที่ด้วยเส้นเวลา (timeline) และเครือข่ายสังคม( Social Network) 

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้ก็คือ   มีการนิยมใช้ตัวการ์ตูน(Sticker)ต่างๆแทนคำพูด แทนอารมณ์ความรู้สึก และบางครั้งตัวการ์ตูนเหล่านี้ยังมีเสียงพูดแทนอีกด้วย การกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่การต้านทานกระแสเทคโนโลยี  แต่ควรส่งเสริม ฝึกฝนการเขียนที่มีการเรียบเรียงความที่ดี  ทั้งในรูปแบบของการเขียนเรียงความ การตอบข้อสอบอัตนัย และการจดคำบรรยาย  ที่สำคัญคือไม่ควรละเลยวิชาภาษาไทยซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ทุกวิชา  นอกจากนี้ ผู้ใช้เครือข่ายสังคม( Social Network)และพ่อแม่ผู้ปกครองควรให้เด็กๆฝึกฝนการเขียน  อาจจะเป็นการเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ โดยอาจจะเขียนลงบนเส้นเวลา(timeline)บนเครือข่ายสังคม( Social Network)ตามความสะดวกและตามสมัยนิยม   หากแต่ทุกครั้งที่เขียนควรเขียนด้วยภาษาที่เป็นระเบียบ ผ่านการเรียบเรียงมาแล้วเสมอ   

ด้านดร.สมิทธิชา  พุมมา  เปิดเผยว่าจากการเก็บรวบรวมข้อมูลนิสิตที่เรียนภาษาไทยพื้นฐานในระดับอุดมศึกษา  พบว่านิสิตมีความสามารถทางทักษะการใช้ภาษาด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ในระดับปานกลางเท่านั้น กล่าวคือ ทักษะการฟัง  มีความตั้งใจฟังน้อยมาก ส่วนใหญ่จะก้มหน้าก้มตาใช้เครื่องมือสื่อสารโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หรือที่เรียกว่า "สังคมก้มหน้า" ทำให้ฟังสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดี ไม่จดจ่อ ทำให้ขาดทักษะในการสรุปความและตีความ ทักษะการพูด พบว่าผู้ใช้ขาดความมั่นใจและไม่กล้าแสดงออก ขาดการเตรียมตัวและการฝึกซ้อมที่ดี  ขาดการวางโครงเรื่องที่เป็นลำดับ ทำให้พูดวกวน  ขาดการพิจารณาเรื่องที่พูดหรือมีแนวคิดในทางลบ ทำให้เรื่องที่พูดเป็นการเข้าใจผิด ใส่ร้ายหรือไม่สร้างสรรค์ 

นอกจากนี้แล้ว ยังมีเรื่องของการออกเสียง เช่น การออกเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ไม่ชัดเจน  ด้านทักษะการอ่าน พบว่าผู้ใช้มีสมาธิสั้น ไม่จดจ่อกับการอ่าน ทำให้อ่านและจับประเด็นสำคัญของเรื่องไม่ได้ รวมไปถึงไม่สามารถตีความสัญลักษณ์ในเรื่องสั้น นวนิยาย บทกวี และออกเสียงผิด เช่น คำบาลี-สันสกฤต อักษรย่อ ตัวเลข เครื่องหมายต่างๆ การเว้นวรรคตอน  ส่วนทักษะการเขียนพบว่ามีพื้นฐานเกี่ยวกับการเขียนน้อย มีปัญหาเรื่องรูปแบบ เนื้อหา สะกดผิดบ่อย ที่พบบ่อย เช่น คำว่า   ลายเซ็น  อนุญาต  คำนวณ  เฟซบุ๊ก เกมส์  ลิงก์โพสต์    อีเมล  อินเทอร์เน็ต และ ดิจิทัล  ซึ่งในท้ายที่สุดก็ส่งต่อความตกต่ำด้านการเรียนตามมาในที่สุด
      
ข้อมูลและที่มา
นุชรีย์  สุบินรัตน์
ภาพจาก อินเตอร์เน็ต