ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

งงเป็นไก่ตาแตก!! “ญ.ว.” ระดมครู-นร. ร่วมตักบาตร “สงฆ์ลัทธิจานบิน”

เริ่มโดย ตื่นเถิดชาวพุทธ, 21:51 น. 08 ม.ค 59

ตื่นเถิดชาวพุทธ

งงเป็นไก่ตาแตก! "ญ.ว." ระดมครู-นร.
ร่วมตักบาตร "สงฆ์ลัทธิจานบิน" อ้าง
รับ "วันพระแรก" ปีใหม่' 2559

ทั้งครูและนักเรียนงงเป็นไก่ตาแตกกันเป็นแถว เมื่อ "ญ.ว." โรงเรียนดังกลางเมืองหาดใหญ่ระดมเด็ก ม.4-ม.5 ร่วมพิธีตักบาตรวันพระแรกปี 2559 แต่กลับกลายเป็นวันพระหนสองของปีไปซะงั้น แถมพระที่นิมนต์มา 15 รูปก็ล้วนอยู่ในสังกัด "วัดพระธรรมกาย"

เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (8 ม.ค.) ที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย (ญ.ว.) เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการจัดกิจกรรมระดมเด็กนักเรียนในระดับชั้น ม.4-ม.5 ให้ร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง มีการนิมนต์พระมาเดินรับบิณฑบาตรวม 15 รูป โดยทางโรงเรียนอ้างว่าเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ร่วมกันทำบุญในวันพระแรกของปี 2559

ภายหลังการจัดกิจกรรมตักบาตรรับวันพระแรกปี 2559 ของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสิ้นสุดลง ปรากฏว่าได้มีการแชร์ภาพในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการจัดกิจกรรม มีคนจำหนวนหนึ่งเข้าไปโพสต์แสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตามปรากฏว่ามีบางโพสต์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การจัดกิจกรรมให้นักเรียนตักบาตรครั้งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังด้วยหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวได้ประมวลข้อสังเกตที่มีต่อการจัดกิจกรรมระดมนักเรียนไปร่วมตักบาตรของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยดังกล่าว พบว่า การที่ทางโรงเรียนประกาศว่าเป็นวันพระแรกของปี 2559 นั้น ความจริงแล้ววันศุกร์ 8 ม.ค.ถือเป็นวันพระหนที่ 2 ของปี เนื่องจากวันพระแรกของปีคือวันเสาร์ที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้วยังยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำไมพระที่นิมนต์มาต้องเกี่ยวข้องกับ "วัดพระธรรมกาย" หรือที่มีผู้ให้คำนายามว่าลัทธิจานบิน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สิ่งที่ยืนยันว่าการจัดกิจกรรมของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายคือ พระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์เฉพาะ วัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้หลายอย่างปรากฏชื่อวัดพระธรรมกายไว้อย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ลักษณะการห่อจีวรและวางตัวของพระก็แตกต่างจากพระโดยทั่วไป

จนทำให้มีผู้วิจารณ์ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับ "ศูนย์ปฏิบัติธรรมภาคใต้" อันตั้งอยู่ที่ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เป็นสาขาของวัดพระธรรมกายหรือไม่ ซึ่งกำลังจะมีการจัดกิจกรรมอย่างใหญ่โต หรือพิธีปลูกต้นสนสถาปนา "มหาเจดีย์สวรรค์หาดใหญ่" ในวันที่ 17 ม.ค.นี้ ทีมา http://board.postjung.com/939109.html

ต่อต้านธรรมกาย

จานบินจะบุกยึดภาคใต้ แล้วคนใต้จะว่างัยครับ   นิ่งเงียบหรือออกมาต่อต้าน
หรือจะยอมปล่อยให้จานบินตั้งฐานที่มั่น ขยายอำนาจในภาคใต้ โดยการจัดตั้ง
"ศูนย์ปฏิบัติธรรมภาคใต้" ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เป็นสาขาของวัดพระธรรมกาย และกำลังจะมีการจัดกิจกรรมอย่างใหญ่โต หรือพิธีปลูกต้นสนสถาปนา "มหาเจดีย์สวรรค์หาดใหญ่" ในวันที่ 17 ม.ค.นี้

ที่มา https://www.facebook.com/%E0%B9%81%E0%B8%89%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2-254150517955549/

ศิษย์เก่า

อ้างจาก: ตื่นเถิดชาวพุทธ เมื่อ 21:51 น.  08 ม.ค 59
งงเป็นไก่ตาแตก! "ญ.ว." ระดมครู-นร.
ร่วมตักบาตร "สงฆ์ลัทธิจานบิน" อ้าง
รับ "วันพระแรก" ปีใหม่' 2559

ทั้งครูและนักเรียนงงเป็นไก่ตาแตกกันเป็นแถว เมื่อ "ญ.ว." โรงเรียนดังกลางเมืองหาดใหญ่ระดมเด็ก ม.4-ม.5 ร่วมพิธีตักบาตรวันพระแรกปี 2559 แต่กลับกลายเป็นวันพระหนสองของปีไปซะงั้น แถมพระที่นิมนต์มา 15 รูปก็ล้วนอยู่ในสังกัด "วัดพระธรรมกาย"

เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (8 ม.ค.) ที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย (ญ.ว.) เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการจัดกิจกรรมระดมเด็กนักเรียนในระดับชั้น ม.4-ม.5 ให้ร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง มีการนิมนต์พระมาเดินรับบิณฑบาตรวม 15 รูป โดยทางโรงเรียนอ้างว่าเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ร่วมกันทำบุญในวันพระแรกของปี 2559

ภายหลังการจัดกิจกรรมตักบาตรรับวันพระแรกปี 2559 ของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสิ้นสุดลง ปรากฏว่าได้มีการแชร์ภาพในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการจัดกิจกรรม มีคนจำหนวนหนึ่งเข้าไปโพสต์แสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตามปรากฏว่ามีบางโพสต์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การจัดกิจกรรมให้นักเรียนตักบาตรครั้งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังด้วยหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวได้ประมวลข้อสังเกตที่มีต่อการจัดกิจกรรมระดมนักเรียนไปร่วมตักบาตรของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยดังกล่าว พบว่า การที่ทางโรงเรียนประกาศว่าเป็นวันพระแรกของปี 2559 นั้น ความจริงแล้ววันศุกร์ 8 ม.ค.ถือเป็นวันพระหนที่ 2 ของปี เนื่องจากวันพระแรกของปีคือวันเสาร์ที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้วยังยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำไมพระที่นิมนต์มาต้องเกี่ยวข้องกับ "วัดพระธรรมกาย" หรือที่มีผู้ให้คำนายามว่าลัทธิจานบิน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สิ่งที่ยืนยันว่าการจัดกิจกรรมของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายคือ พระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์เฉพาะ วัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้หลายอย่างปรากฏชื่อวัดพระธรรมกายไว้อย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ลักษณะการห่อจีวรและวางตัวของพระก็แตกต่างจากพระโดยทั่วไป

จนทำให้มีผู้วิจารณ์ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับ "ศูนย์ปฏิบัติธรรมภาคใต้" อันตั้งอยู่ที่ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เป็นสาขาของวัดพระธรรมกายหรือไม่ ซึ่งกำลังจะมีการจัดกิจกรรมอย่างใหญ่โต หรือพิธีปลูกต้นสนสถาปนา "มหาเจดีย์สวรรค์หาดใหญ่" ในวันที่ 17 ม.ค.นี้ ทีมา http://board.postjung.com/939109.html
จำได้ว่าจะมีครูผู้หญิงคนหนึ่งชอบเกณฑ์เด็กที่เรียนกับแกไปร่วมทำกิจกรรมธรรมกายที่เป็นอย่างนี้เพราะแกไปชอบผู้ชายคนหนึ่งแล้วไปหาหมอทำเสน่ห์ใส่เขาแต่โดนหมอเสน่ห์ข่มขืนเลยเสียสติไปพักใหญ่แกเลยเข้าลัทธิจานบินเพื่อหาที่พึ่งทางใจเหมือนผีเน่าคู่กับโลงผุพอดีคือลัทธินี้ก็ให้ความสำคัญกับแกส่วนแกก็ได้ลดปมด้อยสร้างปมเด่นว่าเป็นคนดี(ที่เสียแล้ว)ยิ่งเจอคำสอนที่ทำบุญมากได้มากแกเลยยิ่งอยากจะให้ชาติหน้าของแกดีกว่าแบบสร้างได้ใหม่แกยิ่งลุ่มหลงเลยเกณฑ์เด็กทุกปีถึงแม้ว่าเด็กๆจะด่าว่าแกผ่านทางสื่อย่างเฟสบุ๊คให้เสียหายแต่ด้วยความหลงในบุญแกก็คอยบังคับเด็กๆอยู่ตลอดทุกเวลาถ้ามีงานขอมาจากลัทธินี้น่าสงสารเด็กๆที่ไม่รู้เรื่องความชอกช้ำของแกแล้วต้องมารับกรรมไปด้วยฝากผู้ใหญ่ในโรงเรียนอย่าทำกับบุตรหลานของชาวบ้านให้ต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์รับความรู้สึกผิดของครูที่อยากจะแก้ไขอดีตของตัวเองแต่ให้เด็กๆเดือดร้อนอย่างนี้เลย

คนเมืองหาด

โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรมของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีการเกณฑ์ครูเข้าไปปฏิบัติธรรมซึ่งจัดขึ้นโดยลัทธิธรรมที่เต็มไปด้วยข้อครหาอย่าง ลัทธิธรรมกาย!  โดยโครงการลักษณะดังกล่าวมีครูเข้าร่วมไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น สร้างความเดือดร้อนให้ครูทั้งในด้านของศรัทธาส่วนตัว และหน้าที่การงานที่ส่วนสำคัญคือการถูกล้างสมองในกระบวนการอบรมอาจส่งผลต่อการเรียนการสอนซึ่งจะถูกส่งต่อไปถึงเด็กนักเรียนทั่วประเทศ

ล่าสุดพบว่า มีเด็กนักเรียนจำนวนมากถูกธรรมกายครอบงำ ล้างสมองเปลี่ยนความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ไปเป็นศาสนาธรรมกายเสียหมด จนสร้างความเดือดร้อนต่อคนในสังคม ซึ่งความเชื่อของเด็กๆ รุ่นใหม่นี้ จะเป็นฐานอำนาจใหม่ของธรรมกายในอนาคต เพื่อเข้าครอบงำความคิดของทุกสถาบันในสังคม จนไม่มีใครกล้าแตะต้องธรรมกายได้อีก


ความเห็นที่ 1 : เป็นมานานตั้งเกือบ 20 ปีแล้วครับ สมัยผมเรียน ม.ต้น เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีเด็กชั้นเดียวกันคนนึงถึงกับบีบคอแม่เพื่อจะบังคับเอาเงินเป็นหมื่น(ซึ่งถือว่าเยอะ)สมัยนั้น ไปทำบุญที่ธรรมกายเนื่องจากโดนครูที่โรงเรียนพาไปล้างสมองจะบ้าจนเพี้ยนหนักจนก่อเหตุแบบนี้กับแม่ตัวเองได้เลยครับ

ความเห็นที่ 2 :  เมื่อ19ปีที่แล้ว อาจารย์สอนพระพุทธศาสนาโรงเรียนมัธยมของผมก็เคยให้นักเรียนในคลาสไปนั่งสมาธิที่วัดจานบินแห่งนี้ แต่ต้องมีค่าเดินทางค่าทำบุญโน่นนี่นั่นเท่านั่นเท่านี้ เด็กบ้านนอกพ่อแม่คนจนๆจะไปมีปัญญาหาเงินมาจากไหน ถ้านักเรียนคนไหนไม่ไปก็อาจจะไม่ได้เกรด4 ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยคิดว่าวัดจานบินแห่งนี้มุ่งให้คนหลุดพ้นจากกิเลสหรือบ่วงกรรมได้เลย มีแต่ให้คนติดบ่วงกรรมและเเสวงหากิเลสมากขึ้น

ความเห็นที่ 3 : เป็นโครการเด็กดีวีสตาครับ ตอนนั้นผมอยู่ ม.3 ผมไม่รู้จักลัธธินี้ซะด้วยซ้ำ โรงเรียนเคยพาไปครั้งนึง ก็ยังสงสัยนะทำไม ผ.อ. ต้องจริงจังจะไปให้ได้ ค่ารถก็ออกเอง เข้าวัดก็ต้องเสียตัง ขาออก แมร้งก็ต้องเสียตังอีก หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆ และก็รับบริจากเรื่อยๆ แต่ผมไม่คิดจะเอาละ แมร้งลวงโลก

ความเห็นที่ 4 :  ก็สมัยไอ้เหลี่ยมเขาปรับวิชาการศึกษาใหม่ ส่วนวิชาจริยะ หรือพุทธศาสนา เขาเอาหลักสูตรของ ธรรมกายไปลงและทุกโรงเรียนต้องเข้าค่ายธรรมะ ที่วัดธรรมกายทุกปี ทุกรุ่น น่าเศร้าใจมาก ระบบการศึกษาไทยโดนเพาะเชื้อโรคร้ายกันแต่เด็ก

อ่านเรื่องเพิ่มเติมได้ที่ ธรรมกายโปรเจกต์ ล้างสมองครู  ยึดครองประเทศ
ที่มา https://antidhammakaya.wordpress.com/2016/01/01/school/

คนเมืองหาด

กลายเป็นกระแสวิพากษ์อย่างหนักในวงการครู จากโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรมของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ที่มีการเกณฑ์ครูเข้าไปปฏิบัติธรรมซึ่งจัดขึ้นโดยลัทธิธรรมที่เต็มไปด้วยข้อครหาอย่าง ลัทธิธรรมกาย!

จากชื่อและวัตถุประสงค์ของโครงการที่สวยหรู ให้คุณธรรมนำวิชากลับกลายเป็นโครงการที่ถูกครหาในวงการครูว่า เป็นโครงการล้างสมอง สร้างสาวก ทั้งยังกีดกันเสรีภาพทางความเชื่อของศาสนาที่มีอยู่หลากหลายในสังคม

โดยโครงการลักษณะดังกล่าวมีครูเข้าร่วมไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น สร้างความเดือดร้อนให้ครูทั้งในด้านของศรัทธาส่วนตัว และหน้าที่การงานที่ส่วนสำคัญคือการถูกล้างสมองในกระบวนการอบรมอาจส่งผลต่อการเรียนการสอนซึ่งจะถูกส่งต่อไปถึงเด็กนักเรียนทั่วประเทศ

ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้มีการออกเอกสารจากสพฐ.ให้ครูทั้งประเทศกว่า 700,000คน เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ รวม 11 รุ่น โดยให้ปิดโรงเรียน 3 วัน แม้ สพฐ.จะออกมาปฏิเสธการส่งครูเข้าลัทธิธรรมกาย แต่หลายสิ่งหลายอย่างกลับบ่งชี้และเชื่อมโยง สพฐ.กับธรรมกายเข้าด้วยกัน

มาถึงตอนนี้แผนการเบื้องลึกเบื้องหลังของลัทธิที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากลนี้คืออะไรกันแน่?



ไม่ได้จัดในธรรมกาย...แต่จัดโดยธรรมกาย

จากการให้ข่าวล่าสุดของ ดร.อรทัย มูลคำ ที่ปรึกษา สพฐ. ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการที่ออกมาปฏิเสธว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับธรรมกาย โดยให้สัมภาษณ์ว่า

"ที่ผ่านมา สพฐ.ได้จัดอบรมไปแล้วหลายรุ่น ซึ่งทุกรุ่นจะต้องไปปฏิบัติธรรมในวัด หรือศูนย์ปฏิบัติที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งทุกคนต้องถือศีล 8 และทำกิจกรรมตามตารางที่กำหนด ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นการบังคับต้องไปปฏิบัติธรรมในวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด ซึ่งจากเสียงตอบรับของผู้เคยเข้าร่วมบอกชัดว่าโครงการดังกล่าวนี้ดี

"ผู้บริหารและครูนำแนวทางที่ได้จากการอบรมไปปรับแนวทางการบริหารจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพโรงเรียน ไปส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมแก่นักเรียน รู้เท่าทันและเตรียมพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ได้ตามนโยบาย สพฐ.เพราะฉะนั้น จึงไม่อยากให้คิดหรือพูดว่า สพฐ.บังคับให้ครูต้องมาร่วม แต่เป็นการขอความร่วมมือจากทุกคนมากกว่า โดยเฉพาะโรงเรียนในฝันและโรงเรียนดีศรีตำบล จะเป็นกำลังสำคัญในการดูแลโรงเรียนอื่นๆ ต่อไป"

และแม้ว่าเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับโครงการก็ไม่ปรากฏชื่อของธรรมกาย แต่ทว่าในเอกสารกำหนดการของโครงการกลับพบชื่อของ พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ และ พระครูธรรมธรอารักษ์ ญาณารกฺโข 2 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธรรมกายและ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว) รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นวิทยากรในโครงการ กิจกรรมช่วงหนึ่งยังมีชื่อของกลุ่ม v – star ซึ่งเป็นชื่อโครงการบ่มเพาะเยาวชนของวัดธรรมกาย นอกจากนี้เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของลัทธิธรรมกายด้วย

ทั้งนี้ ความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ต้องย้อนกลับไปถึงจุดแรกเริ่มของโครงการร่วมระหว่างธรรมกายกับ สพฐ.นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ 3 ปีก่อน(2553) ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ได้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเอ็นจีโอร่วมด้วยนักวิชาการ 43 คน มีหนังสือคัดค้านที่นำโดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ทำให้การลงนามข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่าง สพฐ. กับสมาคมพุทธศาสตร์สากลในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นส่วนหนึ่งของ ลัทธิธรรมกาย เป็นอันต้องตกลงไป

พูดให้ชัดคือ ธรรมกายเคยมีความพยายามที่เข้ามาแทรกแซงระบบการศึกษามาก่อนแล้ว มาถึงตอนนี้ จากบุคลากรในชุดเดิม และรูปแบบของโครงการเดิม กับรัฐบาลชุดใหม่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป โครงการเก่าที่ถูกค้านตกไปกลับมาใหม่ในชื่อโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรมเรียนดีศรีตำบล กับโรงเรียนในฝัน

ล้างสมองครองโลก

หลังจากโครงการอบรมจริยธรรมครูถูกยกเลิกเมื่อสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อเข้าสู่รัฐบาลยิ่งลักษณ์โครงการดังกล่าวก็กลับมาอีก ทางฝ่ายที่เห็นค้านกับโครงการก็เคลื่อนไหวเช่นเดิม โดยมีการรวบรวมเอกสารหลักฐานหลายอย่างไว้ เพื่อส่งให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แม้แต่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อหาช่องทางคัดค้าน

แต่ทว่านัด (นามสมมติ) 1 ในแอดมินเพจ คัดค้านโครงการเหลือบ "โรงเรียนดีศรีตำบล" นอมินีธรรมกาย ครอบงำการศึกษาไทย เผยถึงการทำงานที่เป็นไปได้ยากเนื่องจากการดำเนินงานของโครงการครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะนโยบายนั้นถูกสั่งตรงมาจากนายกรัฐมนตรี กลายเป็นนโยบายของรัฐซึ่งต่างจากครั้งก่อนที่จะมีจดหมายเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับวัดธรรมกาย นอกจากนี้เมื่อ ส.ว.ลงไปตรวจสอบกลับพบว่า มีการให้พระจากวัดอื่นมาทำโครงการด้วย ไม่ใช่แค่วัดธรรมกายอย่างเดียว จึงไม่สามารถจัดการอะไรได้

"ถ้ามันมาจากธรรมกายประสานกับ สพฐ. มันจะมีจดหมายเชื่อมโยง แต่ตอนนี้มันไปไกลกว่านั้น ใช้วิธีการให้นายกรัฐมนตรีสั่งการเป็นเส้นตรงมาเลยกลายเป็นนโยบายรัฐ มันไม่ใช่โครงการร่วมที่เราสามารถเข้าไปแทรกแซงได้"

เมื่อเทียบกับโครงการที่ถูกคัดค้านตกไป โครงการนี้ถือว่ามีการรับลูกส่งต่อกันตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี เขาบอกเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มาจากความเชื่อมโยงหลายๆ จุด ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการในสายการศึกษา กับลัทธิธรรมกาย ที่ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบได้

"ถ้าเกิดมันแตกนอกสายไม่เป็นไร...แต่นี่มันเป็นสายเดียวของธรรมกายหมดเลย มันเลยไม่มีข้อมูลรั่วออกมาเลยแม้แต่น้อย"

จากการติดตามความเคลื่อนไหวในประเด็นเกี่ยวเนื่องกับลัทธิธรรมกายมาอย่างต่อเนื่อง เขาถึงกับออกปากว่า ลัทธิธรรมกายมีแผนที่จะครองโลก! แม้จะฟังดูเกินจริง แต่แผนการที่ถูกวางไว้ในขั้นแรกของลัทธินี้ก็คือการล้างสมองเด็กๆ และเยาวชน โดยแผนดังกล่าวนั้นเคยถูกเปิดโปงมาแล้วในช่วง 3 ปีก่อนที่ธรรมกายเข้าไปแฝงตัวอยู่ในชมรมพุทธตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ยังมีโครงการ V – Star หรือโครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก หรือแม้แต่โครงการธรรมทายาท

เขาเห็นว่า โครงการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการล้างสมอง สร้างสาวก บิดเบือนคำสอนของพุทธศาสนาทั้งสิ้น จนถึงตอนนี้การเข้าถึงโรงเรียนในระดับประถม เขามองว่าเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่ธรรมกายต้องการจะเข้ามา และเหล่าครูตามโรงเรียนก็ถือเป็นกลไกหนึ่งที่ถูกแทรกแซงได้

จนถึงตอนนี้มีการอบรมไปทั้งหมด 11 รุ่น เขาเผยว่า ครูที่ไปเข้าร่วมนั้นต้องพบกับข้อบังคับหลายอย่าง ตั้งแต่เสื้อผ้าที่ต้องซื้อกับทางวัด อาหารการกินที่ห้ามกินข้าวเย็นซึ่งทำให้ครูบางคนที่มีอาการป่วยต้องทานยาในมื้อเย็นไม่สามารถทานยาได้ ส่งผลให้ล้มป่วยหลังกลับจากโครงการก็มี นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมให้แบบเฉพาะอย่างการตักบาตรแบบธรรมกายที่ไม่เหมือนที่อื่น และยังมีการพูดถึงการชำระล้างพระไตรปิฎก

"หลังจากตื่นมานั่งสมาธิทำบุญ เปิดวิดีโอล้างสมองช่วงเช้า เสร็จมีเจ้าหน้าที่มาพูดช่วงหนึ่ง เปิดวิดีโอล้างสมองช่วงสาย เสร็จปุบ ล้างสมองช่วงบ่าย พูดแป๊บหนึ่งล้างสมองช่วงเย็น จากนั้นก็นั่งสมาธิ มันเป็นแบบนี้ทุกวัน"

เนื้อหาที่ฉายในการอบรมเขาเผยว่า สามารถดูได้จาก http://www.dhammamedia.org ซึ่งเป็นสื่อของธรรมกาย การอบรมดังกล่าวใช้เวลา 3 – 4 วัน และหากไม่ผ่านจะต้องกลับมาซ่อมด้วยการอบรมใหม่อีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีโครงการอุปสมบทครูแก้วภาคฤดูร้อน และโครงการบรรพชาสามเณรม.ปลายภาคฤดูร้อน โดยให้ครูและนักเรียนเข้าบวชกับธรรมกายเป็นเวลา 15 – 30 วันอีกด้วย โดยผู้ที่ผ่านการบวชจะถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการของลัทธิธรรมกาย

ทั้งนี้ แม้จะมีเสียงตอบจาก สพฐ.ว่า การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ทว่าในทางปฏิบัติแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจากที่ผ่านมาเขาเผยว่า หากโรงเรียนไหนมีครูที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมจะส่งผลให้โรงเรียนนั้นไม่ผ่านหลักเกณฑ์และจะทำให้ไม่ได้รับเงินสนับสนุน

"ครูใหญ่ก็ต้องอยากได้เงินเป็นธรรมดา พอเป็นแบบนี้ก็เลยมีมาตรการบีบให้ครูเข้าร่วมกิจกรรม หากไม่เข้าก็อาจจะถูกตั้งกรรมการสอบ ที่ผ่านมาก็เคยมีถึงขั้นไล่ออกจากที่ครูบางคนไม่พอใจกับการร่วมโครงการ อาจจะออกมาพูดบางอย่าง พอโดนไล่ออกไปคนหนึ่ง ครูหลายคนเลยไม่กล้าออกมาพูดเรื่องนี้"

ภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับโครงการที่ชะงักไป เขามองว่าเป็นผลมาจากการตรวจวัดคุณภาพของโครงการ แต่คงหยุดพักเพียงชั่วคราวเท่านั้น

"ผมคิดว่าโครงการคงกลับมาเดินหน้าต่อ ตราบใดที่คนกลุ่มนี้ยังทำงานอยู่ เพราะมันมีความเชื่อมโยงทั้งกำลัง ฐานเสียง และการเงิน แม้แต่ตัว ส.ว.ที่เราเข้าไปขอให้ตรวจ เขายังบอกเองว่า มันเป็นเรื่องใหญ่มากจนเขารู้สึกว่า ต้องทำเรื่องอื่นก่อน ไม่งั้นเจอเรื่องนี้แล้วจะน็อกไปก่อนได้"

เสรีภาพทางศาสนา

โครงการที่มีหลักการส่งเสริมคุณธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การบังคับให้ครูต้องเข้าร่วมโดยที่ไม่สมัครใจนั้น ครูหยุย – วัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และอดีต ส.ว. เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทั้งยังขัดต่อรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา

ในฐานะที่เขาเป็นบุคลากรที่ทำงานในแวดวงของการศึกษามาอย่างช้านาน ทำให้เห็นว่าโครงการนี้ถูกผลักดันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เขาตั้งข้อสังเกตว่า ใน สพฐ.นั้นมีผู้ใหญ่ระดับสูงที่มีความรู้จักมักคุ้นกับธรรมกายอยู่เยอะ

"ยุคนี้โครงการเดิมมันมาโผล่อีก มันก็อยู่ในกลุ่มเครือข่าย สพฐ.เดิมที่นำเอาโครงการนี้มาปัดฝุ่นผลักดันกันใหม่" เขาเอ่ยพร้อมอธิบาย "การให้ครูไปอบรมจริยธรรมเป็นความคิดที่ฟังแล้วดูดี แต่ในคำสั่งบังคับให้ไปฝึกกับธรรมกาย...อันนี้เจ๊งเลย มันขัดรัฐธรรมนูญที่บอกว่า เรามีสิทธิเสรีภาพที่จะนับถือศาสนาใดก็ได้"

เขาเห็นว่า พุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นก็มีหลายแนว ปัญหาตรงนี้ทำให้ครูหลายคนเดือดร้อนด้วยเพราะศรัทธาที่ไม่เหมือนกัน เขายกตัวอย่าง ครูแถวอีสานจะศรัทธาสายวัดป่า อาทิเช่น หลวงปู่ชา สุภัทโท หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครูทางใต้จะนับถือแนวพุทธทาส

"แล้วยิ่งพวกเคร่งมากเขานับถือแนวสันติอโศก ไปบังคับครูให้ไปแนวธรรมกาย มันผิดอย่างแรง เขาร้องเรียนกันเยอะจนบอกมาที่ผม ตอนนี้มันสะดุดแล้ว คนรู้ทันก็เลยหยุด ตอนนี้มีคำสั่งใหม่ให้ทำอะไรก็ได้ ไปวัดไหนก็ได้ที่ใกล้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็จบไป"

อย่างไรก็ตาม เขายังมองว่า หน่วยงานราชการไม่สามารถพูดลอยๆ ได้ ควรมีจดหมายจากกระทรวงศึกษาธิการแจ้ง นอกจากนี้เขายังเสนอว่า หากโครงการดังกล่าวจะดำเนินการต่อก็ควรให้ครูในโรงเรียนจับกลุ่มกันตามแต่ศรัทธาเพื่อไปตามวัดที่ตัวเองอยากไปปฏิบัติธรรม

"ในหนึ่งโรงเรียนครูก็อาจจะชอบไม่เหมือนกันก็ได้ 10 คนอาจจะไปหลวงพ่อคูณ 10 อาจจะไปสันติอโศก อีก 10 คนจะไปธรรมกายก็ได้แล้วแต่ศรัทธา ที่สำคัญคือเรื่องของศาสนาห้ามบังคับกัน"

ท้ายที่สุดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรมจะจบลงอย่างไร? ครูทั่วประเทศจะต้องจำทนกับภาวการณ์ของเงื่อนไขที่ไม่สามารถขัดขืนต่อไปหรือจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น?

เครือข่ายลัทธิธรรมกายที่เต็มไปด้วยข้อครหาจากสังคม หากวันใดลทธินี้สามารถแทรกตัวเองเข้ามาสู่ระบบการศึกษาที่เป็นเสมือนฐานรากอันสำคัญของประเทศได้สำเร็จ ถึงวันนี้เราคงหัวเราะไม่ออก กับความคิดที่ว่า ลัทธินี้พยายามจะครองโลก

ทาน

ช่วงประมาณ ปี 41-42 ยังเรียนอยู่ (จุฬา) ตอนนั้นเพื่อนในกลุ่มไปเข้าธรรมกาย มันแต่งขาวมาหอ มาขอให้ทุกคนซื้อพระประจำตัว ตอนนั้นองค์ 15000 บอกมีจำกัดจำนวน วางครบก็หมดโอกาสทำบุญแล้ว บุญใหญ่มาก


ตอนนั้นคือไม่รู้ไรเกี่ยวกับพุทธเลย ก็บอกว่าไม่เอา จะกินยังไม่่มี สร้างพระ 15000 มันบอก นี่บุญใหญ่ ถ้าพลาดคือพลาดเลย จนเพราะไม่ทำทาน ต้องทำไว้แยะๆชาติหน้าจะรวย ผ่อนได้นะ ทำผ่อนได้ เดือนละ 1000
มันก็พล่ามไปเรื่อย คนก็สงสัยไงเพราะไอ้นี่ปกติกินเหล้าเที่ยวอย่างเดียว ไหงมาสายพระ

ดึกๆกินเหล้า มันเมา มันหลุดมาหมด ว่าได้เงินเดือนจากธรรมกายเดือนละ 8000 ถ้าขายได้องค์นึง จะได้ส่วนแบ่งเพิ่มเป็น %

ถ้าทำยอดถึงจะได้อัพระดับ และเงินเดือนกับ % ส่วนแบ่งจะเพิ่มตาม เหมือนพวกขายตรง

เท่านั้นแหละ อึ้งเลย ว่ามีวัดแบบนี้ด้วยเหรอ  ที่มา https://thaidhammakaya.wordpress.com/2015/02/27/virtue-for-sell/

คนเมืองหาด

ปฐมบท 'ชมรมพุทธ'

หากย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน เชื่อว่าหลายคนหลายต้องแปลกใจ เพราะช่างต่างกับปัจจุบันอย่างลิบลับ เหตุก็เนื่องมาจากชมรมส่วนใหญ่ไม่ได้นำตัวเองไปผูกติดกับความเชื่อใดความเชื่อหนึ่ง ขณะที่คนในชมรมเองก็มีความหลากหลาย บ้างก็ศรัทธาในท่านพุทธทาส บ้างก็นับถือสำนักสันติอโศก และอีกไม่น้อยที่สนใจทางสายวัดป่า


จะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับความเชื่อบางอย่างโดยเฉพาะ เช่นชมรมพุทธของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีความเชื่อถือในวัดพระธรรมกาย เพราะได้รับการผลักจากรุ่นพี่อย่าง พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) และพระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว) สองแกนนำจากวัดพระธรรมกาย
ทว่า ภาพของความหลากหลายได้เริ่มสั่นคลอนขึ้น เมื่อวัดพระธรรมกายคืบคลานและขยายความเชื่อในหมู่นิสิตนักศึกษา ผ่านโครงการที่ชื่อว่า 'ธรรมทายาท' ที่ริเริ่มขึ้นในปี 2515 โดย นพ.มโน เลาหวณิช หรืออดีตพระเมตตานนฺโท แห่งวัดพระธรรมกาย ซึ่งในช่วงนั้นได้นั่งเป็นประธานชมรมพุทธศาสน์ จุฬาฯ ปี 2521 และถือผู้ปักธงชมรมพุทธจนกระจายไปทั่วประเทศ ก่อนจะแยกตัวออกมาเพราะเริ่มรับรู้ถึงความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นในวัด อธิบายว่า จุดเด่นของกิจกรรมนี้อยู่ที่การเน้นวิธีปฏิบัติธรรมแบบฝึกหนัก เช่นต้องตื่นเช้า ปักกลด สวดมนต์ตั้งแต่ตี 4 โดยมีพระอาจารย์ที่มีอายุไล่เลี่ยกันเข้ามาควบคุม และร่วมกิจกรรมตลอดระยะเวลา 10 วัน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกผูกพัน เหมือนได้ที่ปรึกษาที่ดีติดมือกลับไปด้วย

ที่สำคัญยังเป็นการสร้างแกนนำที่มีเชื่อมั่นในแนวธรรมกายไปสู่ชมรมพุทธต่างๆ อีกต่างหาก แต่ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวก็ยังไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อภาพรวมของชมรมพุทธทั้งหมดได้

"เข้าใจว่าตอนที่ธรรมกายขยายบทบาทเข้ามาในมหาวิทยาลัย เป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่ค่อยมีกระแสต่อต้าน เพราะรูปแบบของธรรมกายนั้นเป็นที่ยอมรับได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งสมาชิกก็ไม่ค่อยแสดงท่าทีต่อต้านขัดแย้งกับแนวทางอื่นที่ชมรมพุทธให้การยอมรับ" พระไพศาล วิสาโล พระนักวิชาการ นักคิดนักเขียนพระพุทธศาสนารุ่นใหม่ เป็นนักปฏิบัติธรรม และนักบรรยายธรรมที่ผลิตผลงานออกมาในรูปสื่อโทรทัศน์ และหนังสือออกมาอย่างสม่ำเสมอในยุคปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นนักศึกษาในช่วงเวลานั้น ได้อรรถาธิบายถึงกระบวนการเคลื่อนไหวของชมรมพุทธในมหาวิทยาลัย ในยุค 30 กว่าปีที่แล้ว

พุทธจุฬาฯ จุดเปลี่ยนที่สำคัญ

หลังผ่านการจัดกิจกรรมเชิงรุกได้สักระยะ ไม่นานทางวัดก็เริ่มหากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อชักจูงนิสิตนักศึกษามากขึ้น โดยเฉพาะการอาศัยจุดเด่นของตัวเจ้าอาวาสซึ่งเคยเป็นอดีตผู้นำนักศึกษามาก่อน ในการหว่านล้อมและขยายความเชื้อไปยังบุคคลที่มีแวว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี นพ.มโนรวมอยู่ด้วย

"ตอนผมเข้าแพทย์จุฬาฯ ชมรมศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี จุฬาฯ ยังไม่ได้ฝักใฝ่ไปทางสำนักใดสำนักหนึ่ง มีความหลากหลายอยู่เยอะ ทั้งสายยุบหนอพองหนอ สายท่านเขมานันทะ สายสันติอโศก แล้วพอถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ ก็มีการจัดบวชฤดูร้อนก็จัดที่วัดชลประทานฯ แล้วไปอยู่ที่สวนโมกข์

"ส่วนธรรมกายเองก็เริ่มมาแล้ว คือทุกวันอาทิตย์ จุฬาฯ มหิดล เกษตรฯ ก็จะมีการจัดรถไปฟังธรรมที่ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม (ชื่อเดิมของวัดพระธรรมกาย) แล้วก็มีหลวงพี่ทตฺตชีโวมานั่งเทศน์ แต่ผมเองก็ไม่ได้ศรัทธาอะไรมาก จนกระทั่งวันที่ 18 สิงหาคม 2518 ผมก็ได้พบกับเจ้าอาวาสเป็นครั้งแรก ท่านก็เรียกผมมานั่งคุยที่ใต้ต้นตะขบ คุยอยู่ 2 ชั่วโมง ก็ถามเป็นใครมาจากไหน เคยศึกษาพุทธศาสนาจากที่ไหนบ้าง แล้วก็คุยปัญหาบ้านเมืองอะไรแบบนี้ เรื่องคอมมิวนิสต์อะไรแบบนี้ ซึ่งท่านก็ตอบว่า ไม่ต้องห่วงหรอก ประเทศไทยบุญเยอะ อีกหน่อยสถานการณ์ก็จะสงบ ซึ่งผมก็ไม่รู้ท่านพูดจากอะไร แต่ก็น่าเชื่อถือ หลังจากนั้นผมก็เลยเริ่มมาเรื่อยๆ มาค้างที่วัด"

จุดเด่นอย่างหนึ่งที่เจ้าอาวาสมีมากที่สุดก็คือ บุคลิกที่ดูสำรวม หน้าตาไม่วอกแวก ใส่แว่นตาดำ ดูลึกลับนิดหน่อย และที่สำคัญก็คือ มีวาทศิลป์ในการชักจูงเป็นยอด เน้นการพูดจาภาษาเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพุทธศาสนาสายอื่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สุดท้าย เขาจะเกิดความซึมซับและเชื่อว่า แนวทางของวัดพระธรรมกายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขณะที่สายอื่นๆ เป็นมารที่ต้องกำจัดให้หมด ไม่เช่นนั้นจะมารเหล่านี้แว้งมาทำลายธรรมกาย

"การได้อยู่ใกล้ๆ ท่านตอนนั้นทำให้เรารู้สึกสบายใจ เหมือนมีกระแสอะไรเย็นๆ ออกมา ซึ่งดูแล้วทำให้เรารู้สึกว่า อยากมีชีวิตแบบนี้ และยิ่งวันศุกร์ที่เรามาค้างที่วัดจะเป็นอะไรที่รู้เยอะมาก เพราะเจ้าอาวาสจะออกมานั่งคุยกันถึงค่ำมืด 3-4 ทุ่ม ซึ่งท่านก็จะมีวิธีพูดให้เรารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญกับทั้งโลกและสังสารวัฏนี้ เช่น สมมติไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งท่านก็จะทักว่าเป็นไงโยม ไม่เจอกันตั้งนาน เขาก็อาจจะถามต่อว่าท่านจำดิฉันได้เหรอค่ะ ซึ่งท่านก็ตอบกลับทันทีว่า ต่อให้คุณโยมอยู่ในคนอีกล้านคน อาตมาก็ยังจำได้เลย

"พอมีคำถามอะไรก็ตอบได้หมด เพราะธรรมกายเขาจะมองโลกเป็นขาวกับดำ มีพระกับมารชัดเจน แถมมันยังตอบลึกไปกว่านี้ก็ได้ เช่น โลกนี้มาจากไหน ทุกอย่างมาจากไหน ทำไมต้องมีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งในพระพุทธศาสนาไม่มี แต่ธรรมกายตอบได้ หรือถ้าตอบไม่ได้ก็จะบอกว่าเป็นเรื่องละเอียด เรื่องลับ ซึ่งทุกคนก็จะเงียบกันหมด

"และเมื่อมาเทียบกับสายอื่นๆ อย่างสวนโมกข์แล้ว เวลาฟังท่านพุทธทาสพูด เราไม่เข้าใจ เพราะท่านก็เน้นแต่เรื่องไม่เที่ยง จิตว่าง แม้แต่หินยังไหลได้ แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านจัดวันเกิดก็ชวนทุกคนมาอดข้าววันหนึ่ง จากนั้นท่านเทศน์ ผมก็นั่งฟังอยู่ด้วย พอเทศน์ไปสักพักท่านก็หยุดเพราะเหนื่อย แต่ยังเทศน์ไม่จบนะ แต่เผอิญมัคนายกที่นั่งอยู่เขาหลับเพื่อนเลยก็ต้องปลุก แต่เขานึกว่าท่านเทศก์จบแล้วก็กล่าวอนุโมทนาคาถาเลย ผมก็ถึงบางอ้อเลยว่าที่นึกว่าเราไม่เข้าใจคนเดียวจริงๆ ไม่ใช่ เพราะขนาดคนใกล้ชิดท่านก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เมื่อทุกคนไม่รู้แล้วเราจะไปเชื่อทำไม"

พอถึงปลายปี 2519 ก็เกิดเหตุรัฐประหารขึ้น มีการห้ามจัดกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยเด็ดขาด ชมรมต่างๆ ถูกยุบไปโดยปริยาย ดังนั้นทีมงานเดิมจึงเริ่มก่อตั้งชมรมกันใหม่ ซึ่งช่วงนั้นสถานการณ์ภายในก็เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากแนวคิดแบบสุดโต่งที่ว่า สายอื่นผิดหมด มีแต่ธรรมกายเท่านั้นที่ถูก ประกอบกับมีการใส่ร้ายว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้ว่าเป็นมาร เพราะไม่จริงจังกับเรื่องการปฏิบัติธรรม

ทำให้ฤดูการเลือกประธานชมรมที่ตามมาในปี 2521 จึงเต็มไปด้วยความดุเดือด เพราะเป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ขั้ว โดยฝ่ายหนึ่งก็คือ นพ.มโน ซึ่งเป็นธรรมกายเต็มขั้นกับ สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง ซึ่งนิยมพุทธแบบหลากหลาย ก่อนที่สุดท้าย นพ.มโนจะชนะไปเพียงคะแนนเดียว ส่งผลให้กลุ่มของสุนัยถอนตัวออกจากชมรมไปทันที

จากปัญหาครั้งนี้เอง ทำให้สมาชิกหน้าใหม่ๆ ที่เข้ามาในชมรมนี้กลายเป็นผู้นิยมธรรมกายเต็มตัว ส่วนพุทธสายๆ อื่นก็ไม่เข้ามาทำกิจกรรมภายในชมรมเลย

"พอเลือกเสร็จกลายเป็นว่าผมอยู่คนเดียว ผมก็เลยเริ่มใหม่หมด พอเปิดเทอมก็ไปเคาะตามโต๊ะ ชวนน้องปี 1-2 มาเข้าชมรมฯ แล้วก็เริ่มจัดกิจกรรมไปวัดพระธรรมกายแบบจริงจัง มีการจัดอบรมธรรมทายาท เปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วทุกเย็นผมก็จะสอนสมาธิ คุยกับน้องๆ จนสามารถปลูกฝังให้คนมีทิฐิแบบเดียวกันได้ 5 คน ว่าทำไมสันติอโศกถึงผิด ทำไมพุทธทาสถึงผิด ทำไมธรรมกายถึงถูก และเข้าแต่วัดพระธรรมกายอย่างเดียว

"อีกเรื่องที่ทำก็คือ การสร้างระบบพี่สอนน้องให้มันเข้มข้นขึ้น ทำให้เกิดการฟังกันตามลำดับ เพราะฉะนั้นจึงเกิดวัฒนธรรมการสืบสันดานอย่างเรื่อยมาถึงทุกวันนี้"

เปิดทฤษฎี 'เทกโอเวอร์'

หลังปรับเปลี่ยนชมรมพุทธที่จุฬาฯ สำเร็จแล้ว ต่อมา นพ.มโน จึงเริ่มเข้าไปสร้างความเข้มแข็งให้ชมรมพุทธอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

"เจ้าอาวาสจะโทรศัพท์มาสั่งงานตลอด เพราะท่านตั้งใจจะให้ผมเป็นพี่เลี้ยง เป็นหัวหอก ผมก็เลยต้องเข้าไปช่วยรามคำแหงไปคุยกับเด็กที่นั่นให้กำลังใจจนเขาเข้มแข็งขึ้นมา จากนั้นเราก็ไปคุยประสานมิตรอีกที่ มีการจัดกิจกรรมร่วมกัน จนสุดท้ายก็กลายเป็น 4 ชมรมที่เข้มแข็งมาก โดยเฉพาะช่วงนั้นเองที่เกิดคติที่ว่า การที่จะเป็นประธานชมรมพุทธได้จะต้องเป็นธรรมทายาทเท่านั้น"

แต่ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจริงๆ ก็คือปี 2525 หลังจากที่เขาจบการศึกษาและเข้าไปบวชที่วัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับได้รับภารกิจสำคัญจากเจ้าอาวาสในการชักจูงชมรมพุทธต่างๆ ให้มีแนวคิดแบบธรรมกาย

โดยสิ่งแรกที่เข้ามาเปลี่ยนก็คือ มาตรฐานของการอบรมธรรมทายาทที่ปรับให้มีความเข้มข้นมากขึ้น มีการกำหนดลำดับขั้นของพี่เลี้ยง รวมไปถึงวินัยของผู้เข้าร่วม โดยคงหลักสร้างความอบอุ่นและใกล้ชิดไว้เช่นเดิม

"เราใช้วิธีแบบจาระไนเพชร คือเจาะลึกไปแต่ละคน สัมภาษณ์แต่ละคน ที่สำคัญเราคลุกกับเขา อยู่กับเขา ไม่ได้ใช้ความเป็นรุ่นพี่ที่สูงกว่า แต่ใช้ระดับที่เท่ากันหรือใกล้เคียงในการคุย ซึ่งการทำแบบนี้ประสบความสำเร็จเยอะมากชนิดร้อยเท่าเลย"

ขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดการเดินสายไปบรรยายตามสถาบันการศึกษาต่างๆ อย่างมากขึ้น โดยมีชมรมพุทธ จุฬาฯ เป็นฐานสำคัญในการขยายเครือข่าย

"ผมตระเวนไปเทศน์หลายที่มากเลย ไม่ว่าจะเป็นของ จปร. นายเรือ นายเรืออากาศไปหมดเลย คือไปสอนนั่งสมาธิบ้าง แล้วก็ใช้หลักการอธิบายด้วยเหตุผล โดยผมตั้งคำถามให้นักศึกษาตอบ คุยกับเขาแบบนี้ จนเข้ามีความศรัทธา เพราะผมค่อนข้างใจเย็นในการตอบคำถาม แล้วความรู้พื้นฐานเรากว้างกว่า เพราะฉะนั้นการอธิบายที่มีนัยซับซ้อนจึงทำได้ ขณะเดียวกันเราก็ต้องพยายามปรับความเห็นให้มาแนวทางเดียวกับเราด้วย"

และอีกกระบวนที่สำคัญสุด การส่งคนของตัวเองแทรกซึมไปพื้นที่นั้นๆ โดย มานิต ประภาษานนท์ อดีตประธานชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2518 เล่าว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับแทบทุกมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะชมรมพุทธที่มีความอ่อนแออยู่เป็นทุนเดิม

"เขาใช้วิธีส่งคนที่ศรัทธาในแต่ละมหาวิทยาลัยเข้ามาอยู่ชมรม พอถึงเวลาก็จะเสนอแนวทางแบบธรรมกาย และที่สำคัญสุดก็อาสาสมัครเป็นประธานชมรม ซึ่งพอได้แล้วก็จะปฏิวัติเลย โดยสิ่งแรกที่ทำก่อนก็คือเคลียร์ห้องสมุด เอาหนังสือที่ไม่ตรงกับเขาออกไป ซึ่งพอว่าแบบนี้ไม่ควรเรียกว่าชมรมพุทธ จริงๆ น่าจะทำชมรมธรรมกายไปเลยดีกว่า"

ขณะที่ พระดุษฎี เมธงกุโร อดีตประธานชุมนุมพุทธ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2522 อธิบายเสริมว่า วิธีเข้ามาที่แยบคายอีกแบบก็คือ สร้างแนวประเพณีขึ้นมา เน้นการตักบาตร รักษาศีล ทำสังฆทาน ขณะที่แนวทางอื่นก็ถูกปิดกั้นหมด ซ้ำร้ายยังแอบเอาหนังสือไปทิ้งบ้าง ทำลายบ้างจนแทบหมดห้องสมุด

"ตอนนั้นชมรมพุทธมี 2 แนวคือแนวสมาธิกับแนวประเพณี แต่สุดท้ายแนวสมาธิก็ค่อยๆ น้อยลง จนกลายเป็นธรรมกายหมด แล้วก็มีอาจารย์ที่ปรึกษาท่านหนึ่งชื่อว่า อาจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส ท่านเป็นอาจารย์ที่ปรึกษารุ่นหลังๆ แล้วนะ ท่านเป็นสายของพระอาจารย์ชา แต่กรรมการเป็นธรรมกายหมดเลย เวลาท่านเสนอให้เขาทำอะไร เขาก็ไม่ทำ จนท่านก็สรุปว่า อยู่ตรงนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยลาออกจากการเป็นที่ปรึกษา แนวพุทธธรรมศาสตร์ก็เลยกลายเป็นแนวธรรมกายไปในที่สุด แต่ก็ใช้เวลานานนะ น่าจะประมาณ 10 ปีได้กว่าจะกลืน"

ไม่เพียงเท่านั้นอีกจุดที่จะถูกจ้องมองเป็นพิเศษ ก็คือชมรมพุทธที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะในสถาบันราชภัฎ หรือสถาบันเอกชน ซึ่งทางสายธรรมกายก็ประกบทันที โดยเข้ามาเสนอจัดการแนวทางและกระบวนการจัดการให้ทุกอย่าง และสุดท้ายก็ไม่รอดพ้นเงื้อมมือไปได้

จนอาจจะเรียกได้ว่า ทุกวันนี้เหลือชมรมพุทธในมหาวิทยาลัยเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นสาขาของวัดพระธรรมกาย คือมหาวิทยาลัยมหิดลกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

"สาเหตุหนึ่งที่เจาะไม่เข้าก็คือ พวกรุ่นพี่ซึ่งไม่ทิ้งชมรมไป อย่างที่เชียงใหม่ถือว่าชัด เพราะมีพยายามหลายคนมากแต่ไม่สำเร็จ เพราะถึงน้องจะอ่อนแอแต่เวลาอะไรก็ปรึกษารุ่นพี่ได้ ส่วนที่มหิดล อันนี้ก็ชัดว่าเป็นวัดป่าที่แข็งแรงอยู่แล้ว และกิจกรรมที่เขาทำไม่ได้เน้นไปที่นักศึกษาอย่างเดียว แต่ส่งไปถึงอาจารย์และบุคลากรด้วย" มานิตกล่าว

ถึงเวลารวมศูนย์

เมื่อชมรมพุทธในรั้วอุดมศึกษา เริ่มอุดมไปด้วยแนวคิดแบบธรรมกาย

สิ่งที่ถูกต่อยอดออกมา ก็คือ 'ชมรมพุทธศาสตร์สากล' ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2534 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางของชมรมพุทธต่างๆ โดย นพ.มโน ชี้ว่า ชมรมนี้ก็เปรียบเสมือนร่มคันใหญ่ที่สร้างขึ้นมาปกคลุมชมรมพุทธทั้งหมด เพื่อจะได้มีแนวทางที่เหมือนกัน แถมยังเป็นการรักษาฐานกำลังของวัดให้มีความมั่นคงอีกด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่า ระบบอุดมศึกษาคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดวัดพระธรรมกายขึ้นมา

"เขาทำขึ้นมาในตอนผมเรียนอยู่อังกฤษนะ เพราะหลักๆ แล้วเขากลัวนอกแถว โดยชมรมนี้ก็จะเน้นในเรื่องประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชมรมเป็นอย่างไร ขณะเดียวก็จะต้องรู้ประวัติศาสนา และความเข้าใจเกี่ยวกับธรรม วิชาธรรมกาย เป็นเสาหลักทั้ง 5 ที่ทุกคนต้องสอนเป็น ซึ่งเรื่องพวกนี้ประธานและกรรมการในชมรมต้องรู้ เพราะภาวะผู้นำนั้นไม่ใช่เรื่องลอยๆ แต่ต้องมีทีมเวิร์กที่ดี มีสายบังคับบัญชาที่ยอมรับ และทุกคนมีวิชั่น และเป้าหมายอันเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายเรื่องแบบนี้มันกลายเป็นประเพณีไปแล้ว เพราะใช้เวลาในการบ่มเพาะนานมาก"

เกมนี้เล่นกับศรัทธา

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จุดสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แนวคิดแบบธรรมกายสามารถพิชิตใจบรรดานิสิตนักศึกษาจำนวนมหาศาลก็คือ วัตรปฏิบัติที่ดูเคร่งครัด จริงจัง และน่าเชื่อถือ

นพ.มโน เมตตานนฺโท เลาหวณิช อดีตประธานชมรมพุทธ จุฬาฯ ปี 2521 ในฐานะผู้ที่คลุกคลีกับกระบวนการนี้มาโตยตลอด อธิบายว่า ฉากหน้าของธรรมกายนั้นมีเบื้องหลังที่น่าสนใจมาก โดยจุดที่สามารถดึงความสนใจจากผู้คนได้มาก ก็คือองค์ประกอบต่างๆ ของวัด ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด เรียบร้อย ดูสงบน่าศรัทธา

จากปฏิบัติการทั้งหมดนี้เอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมากว่า 30 ปี ทัศนคติแบบนี้จะยังคงฝังอยู่ในหมู่ศรัทธารุ่นหลัง อย่าง นันท์นภัส พิทักษ์โกศล นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะเภสัชศาสตร์ ประธานชมรมพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งก็เป็นชมรมพุทธธรรมกายเต็มตัว ได้เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ศรัทธาในวัดนี้มาก เป็นเพราะพระที่นี่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ น่าเลื่อมใส ซึ่งพอมาเปรียบเทียบกับวัดอื่นๆ แล้วถือว่ามีคุณภาพกว่าเยอะ

"วัดธรรมกายเป็นวัดที่ปฏิบัติมากกว่า เช่น นั่งสมาธิเยอะ พระจะไม่ค่อยมีเวลาว่าง ส่วนใหญ่ก็จะทำงาน รับบุญกันแบบเต็มที่ แต่ถ้าเป็นวัดอื่นเช้าเย็นเพลนอน ที่สำคัญพระที่นี่ดูมีระเบียบมากกว่าที่อื่นมาก อย่างวัดอื่นพระก็ยังสูบบุหรี่อยู่เลย บางทีก็ยังโทร.คุยกับสีกาอยู่เลย แต่ถ้าเป็นที่นี่ สูบบุหรี่ก็คือไม่ได้แล้ว พระที่มาบวชที่นี่เขาก็จะยึดโทรศัพท์อยู่แล้ว ให้ปฏิบัติเต็มที่ไม่ต้องไปกังวลเรื่องอะไร"

ขณะเดียวกัน อีกจุดที่เธอประทับใจสุดๆ ก็คือความพยายามของวัดที่อยากจะทำให้ตนเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ซึ่งถือเป็นการปิดข้อสงสัยที่ว่า เป็นพุทธเหมือนและจะแยกกันไปทำไม

"จะหาวัดไหนที่รวมคนมาทำความดีได้มากขนาดนี้ นันว่าไม่มีแล้วนะคะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้คิดเรื่องทำบุญกันแล้ว ที่นี่คือศูนย์รวมที่นอกจากทำพระให้เป็นพระ ทำวัดให้เป็นวัด สร้างคนให้เป็นคนดี เขายังเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแจงใหม่เลยว่า ตกลงท่านสอนอย่างไรกันแน่ ไม่ใช่ว่านี่คือธรรมกายจ๋า นี่คือวัดป่าจ๋า คือไม่ได้สร้างความแตกแยก แต่พยายามรวมกันให้ได้ เพราะว่าศาสนาก็ศาสนาเดียวกัน จะแตกแยกกันไปทำไม"

ชนวนแห่งความขัดแย้ง

แต่ถึงความเชื่อแบบนี้จะมีพลังไม่ใช่น้อย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถปกคลุมได้หมด เพราะบางแห่งก็ไม่ยอมรับหรือตั้งข้อสงสัยต่างๆ นานา เช่นการล็อกสเปกของผู้นำองค์กรว่าจะต้องนิยมธรรมกาย การจัดกิจกรรมที่เน้นปริมาณมากๆ รวมถึงการตั้งข้อรังเกียจกับพุทธแนวอื่นๆ จนไม่ยอมเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วย

โดยเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ปัจจุบันมีชมรมพุทธหลักๆ 2 แห่งคือ ชมรมพุทธศิลปศึกษาและประเพณีของสโมสรนักศึกษาที่นิยมทางสายกลาง และชมรมพุทธของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากวัดพระธรรมกายอย่างเต็มตัว

ณัฐวุฒิ สาลีอินทร์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ และอดีตประธานชมรมพุทธ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2552 ย้อนตำนานให้ฟังว่า วัดพระธรรมกายเริ่มเข้ามาขยายอิทธิพลเมื่อ 20 ปีก่อน ผ่านเครือข่ายที่เรียกว่า 'กลุ่มกัลยาณมิตร' โดยลักษณะแนวคิดจะเน้นที่เรื่องวิธีการและปริมาณมากกว่าคุณภาพ เช่นต้องใส่บาตรพระเยอะๆ เน้นเรื่องการทำบุญมากๆ จนในที่สุดก็เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีก่อน

"ช่วงนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกายด้วย แล้วก็เหมือนจะผู้ใหญ่หลายมองแล้วว่าหากเป็นธรรมกายหมด บางคนจะไม่ยอมรับ ชมรมก็จะเกิดการแตกแยก และครั้งนั้นก็เปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาทันทีเลย ซึ่งเขาเป็นที่ปรึกษามาเป็นสิบๆ ปี แต่พอเกิดเรื่อง ก็เลยเปลี่ยน"

จากการต่อสู้ครั้งนั้นเอง ฝ่ายธรรมกายตกเป็นปราชัยต้องแยกตัวออกไปตั้งชมรมใหม่ ที่สำคัญยังเกิดรอยร้าวที่ยากจะประสาน เห็นได้จากการแยกการจัดกิจกรรมอย่างชัดเจน เช่น ชมรมพุทธกลางจัดตัดบาตรวัดพุธ โดยนิมนต์พระจากวัดศรีโสดา ซึ่งอยู่หลังมหาวิทยาลัย ส่วนพุทธวิศวะจัดวันศุกร์ และต้องนิมนต์พระจากสาขาของวัดพระธรรมกายเท่านั้น

"เมื่อปีที่แล้วชัดเจนมาก เพราะมีการตักบาตรหนึ่งหมื่นรูปที่เชียงใหม่ ทางผู้ใหญ่ก็เลยมาชวนให้มหาวิทยาลัยเป็นแม่งานในการจัด แต่ว่าต้องผ่านชมรมพุทธกลางเป็นคนเสนอ ประชุมกันใหญ่โตมาก และมีมติว่าไม่รับ เพราะเป็นการไปเกณฑ์พระมาไม่เหมาะสม น่าจะให้ใส่บาตรพระจำนวนเท่าไหร่ตามแต่ศรัทธา ก็เลยปฏิเสธไป แต่สุดท้ายก็เกิดงานตักบาตรหนึ่งหมื่นรูปเชียงใหม่นี้อยู่ดี ซึ่งชมรมพุทธของวัดพระธรรมกายก็เข้าไปร่วมงานด้วย"

แน่นอนแม้จะเสียงบ่นและไม่เข้าใจเป็นจำนวนมากว่า ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการยึดครองชมรมพุทธของวัดพระธรรมกายได้แม้แต่น้อย

พุทธประเพณี หรือพุทธพาณิชย์?

หลังผ่านปฏิบัติการยึดชมรมพุทธและแผ่อิทธิพลได้เป็นที่เรียบร้อย เส้นทางต่อมาวัดพระธรรมกายนำมาใช้ ก็คือการขยายแนวคิดแบบพุทธพาณิชย์เต็มสูบ ผ่านประเพณีชาวต่างๆ ทั้งโครงการจัดอุปสมบทหมู่ การตักบาตรพระจำนวนมาก รวมไปถึงทอดผ้าป่า ทอดกฐิน สร้างถาวรวัตถุ พระพุทธรูป ฯลฯ

แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องใช้ทุนขนานใหญ่ในการทำ โดยที่มาของเงินนั้น นพ.มโนเปิดเผยว่า ส่วนใหญ่เงินที่นำมาใช้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากวัดพระธรรมกายโดยตรง แต่วัดจะคอยช่วยเหลือด้วยการชี้ช่องว่า จะสามารถหาแหล่งทุนได้จากที่ใดบ้าง

"วัดพระธรรมกายอุดหนุนในเชิงปัจจัยของการบวช คือวัดไม่ให้เงิน แต่บอกบุญ ร้านโน้นร้านนี้ ลูกศิษย์ที่มาวัดก็อยากจะทำบุญบวชพระธรรมทายาท เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็แย่งกันใหญ่ แล้วพวกชมรมพุทธเองก็มีเครือข่ายทำคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีดาตาเบส (ฐานข้อมูล) ของคนที่ทำบุญ แล้วก็หว่านไป ซึ่งบางคนที่เขาไม่ชอบวัดพระธรรมกาย แต่ก็อยากให้คนหนุ่มสาวสนใจธรรมะ เขาก็ทำบุญ"

ที่สำคัญวิธีการบวชก็ต้องทำให้ประทับใจ โดยก่อนที่บรรดาคนรุ่นใหม่จะเข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในวัดพระธรรมกายนี้จะต้องเข้าหลักสูตรพิเศษ โดยมีการฝึกให้ว่าที่พระนวกะเหล่านี้สามารถกล่าวคาถาให้พรเป็น เพื่อที่เวลาบวชเสร็จจะได้ให้ศีลให้พรแก่บรรดาญาติโยมได้ทันที ซึ่งตรงนี้ถือว่าสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นอย่างมาก ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้คนนิยมเข้ามาทำบุญมากเข้าไปใหญ่

"พระส่วนใหญ่ที่วัดอื่นๆ สวดไม่เป็นหรอก แต่ที่นี่ทำได้ คนก็จะปลาบปลื้มกันมาก เพราะฉะนั้นจะมีคนคอยจองคิวเต็มไปหมด แล้วตอนนั้นผมก็จะนำออกบิณฑบาตเอง"

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นปริศนาอยู่ถึงทุกวันนี้ ก็คือการทำบุญแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการบวช หรือทอดกฐิน วัดพระธรรมกายไม่เคยออกมาชี้แจงหรือสรุปตัวเลขให้ได้ยินเลยว่าได้รับเงินไปเท่าไหร่กันแน่?

จากการปฏิบัติเช่นนี้ก็นำมาสู่ข้อสงสัยของคนจำนวนมากว่า ทำไปทำไม และทำแล้วจะได้บุญจริงๆ หรือไม่ เช่น ณัฐวุฒิที่ออกมาพูดว่า การกระทำเช่นนี้ ไม่เหมือนเป็นชมรมพุทธเลย น่าจะเรียกว่าการทำธุรกิจมากกว่า

"ผมว่า เขายังไม่เปิดกว้างเท่าไหร่ มีข้อจำกัด เน้นเรื่องการทำสมาธิ การทำบุญ ซึ่งผมมองว่าเป็นเหมือนธุรกิจ ยูสตาร์ หรือแอมเวย์ เน้นการทำบุญมากเกินไป"

ชมรมพุทธทางเลือก

เมื่อมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย และหลายคนเริ่มรับไม่ได้กับสถานการณ์เช่นนี้ ทางออกหนึ่งที่ถูกนำมาใช้มากก็คือการตั้งชมรม 'พุทธ' ขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ เช่นมหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีการตั้ง 'ชมรมพุทธกรรมฐาน' ขึ้นมา โดยเน้นการศึกษาวิธีปฏิบัติของพระสายวัดป่า เช่นหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต, หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต, หลวงปู่ท่อน ญาณธโร, หลวงปู่ต้น สุทฺธิกาโม ฯลฯ

กฤษดา กองสุข นักศึกษาปี 4 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักกิจกรรมด้านพุทธศาสนา อธิบายว่า ชมรมพุทธกรรมฐานของธรรมศาสตร์เกิดขึ้นมาแล้วประมาณ 5 ปี

"หลังจากชมรมพุทธเป็นธรรมกายแล้ว ก็ไม่ยอมรับสายอื่นเลย เอาง่ายๆ วันนี้จะไม่เห็นหนังสือของสายอื่นเลย ยกเว้นของธรรมกาย สวดมนต์ก็สวดแบบธรรมกาย นิมนต์พระมาเทศน์ก็ต้องมาจากธรรมกาย สายอื่นจะแทรกเข้าไปไม่ได้เลย"

จากเหตุผลเช่นนี้เอง ทำให้ผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเห็นว่า คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว แต่อย่างที่ทราบว่า การจะตั้งชมรมใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จากข้อมูลชมรมพุทธกรรมฐานของธรรมศาสตร์ อธิบายว่าเนื่องจากในมหาวิทยาลัยเอง ก็มีชมรมพุทธ (ซึ่งเป็นธรรมกาย) อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการจะก่อตั้งชมรมพุทธขึ้นมาอีก ก็ดูจะเกินความจำเป็นและซ้ำซ้อน จึงมีมติไม่อนุมัติ สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือการตั้งเป็นกลุ่มอิสระ

ขณะที่ความสัมพันธ์ภายใน แม้จะไม่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรง เช่นมีการสวดมนต์ต่างเวลา บางกิจกรรมก็ร่วมมือกันบ้าง แต่ก็มีเรื่องขบเหลี่ยมกันไม่น้อย โดยเฉพาะมีการโจมตีแนวทางคำสอนของอีกฝ่าย มีการแย่งชิงฐานมวลชน ด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่คล้ายคลึงกัน มีการประชาสัมพันธ์แข่งกัน

ส่วนเรื่องการนำกิจกรรมใหญ่ๆ ของมหาวิทยาลัยนั้น กฤษดา กองสุข บอกว่า สายกรรมฐานจะปล่อยให้สายธรรมกายเป็นฝ่ายนำ เนื่องจากเป็นชมรมพุทธหลักของมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าด้วย

จากมหาวิทยาลัยสู่โรงเรียน

ความสำเร็จในการสร้างฐานอำนาจในชมรมพุทธของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทำให้วัดพระธรรมกายเริ่มมีแนวคิดที่จะขยายปีกลงไปทำการตลาดกับกลุ่มเด็กประถมศึกษาและมัธยมศึกษามากขึ้น เห็นได้จากกรณีการทำข้อตกลงกับกระทรวงศึกษาธิการ

จากเรื่องนี้เอง นพ.มโน ก็ชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นปรากฏการณ์ปกติ เพราะวัดพระธรรมกายมีความตั้งใจจะขยายอิทธิพลไปทั่วประเทศอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงต้องขยายฐานออกไปให้กว้างและลึกมากที่สุด

"จริงๆ เรื่องนี้เขาก็ต้องมีการปรับวิธีคิดเหมือนกัน เพราะชมรมพุทธ คือคนที่อยู่ในวัย 15 ปี ขึ้นไป อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวัยที่กำลังแสวงหาคำถามและคำตอบของชีวิต ซึ่งต่างกับเด็กวัยนั้นมาก"

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกวันนี้จะมีการบุกเข้าไปทำกิจกรรมในรั้วโรงเรียน เช่นการนำหนังสือธรรมะไปแจกให้แก่นักเรียนโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยบางแห่ง หรือกิจกรรมเด็กดีวีสตาร์ฟื้นฟูศีลธรรมโลก ซึ่งนันท์นภัสเล่าว่ามีเด็กชั้นประถมศึกษามาเข้าร่วมกว่าล้านคน โดยมีนักศึกษาจากชมรมพุทธมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง หรือกิจกรรมตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้าซึ่งปีๆ หนึ่งมีเด็กๆ เข้าร่วมกว่า 5 ล้านคน

ขณะที่กฤษดาฉายภาพให้เห็นอีกมุมที่ชัดเจนขึ้น ถึงกรณีการขยายฐานจากระดับมหาวิทยาลัยลงไปสู่ระดับมัธยมศึกษาว่า สามารถเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงเป็นแรงหนุนกันและกันอย่างไม่ขาดข้อต่อที่ลึกล้ำและแยบยลยิ่งของธรรมกายโมเดล

"ธรรมกายไม่ได้มีแค่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น เขามีตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว ดังนั้น นักศึกษาบางส่วนจะเป็นธรรมกายมาตั้งแต่ยุค ม.ปลาย เพราะเขาจะมีการอบรมธรรมะ เช่น การอบรมธรรมะสำหรับคนอยากเข้าธรรมศาสตร์ พอเข้ามาได้ก็ต้องไปอยู่ชมรมพุทธธรรมกาย 

"อีกกลุ่มหนึ่งคือการดึงคนที่สนใจสมาธิ คือจะมีค่ายสมาธิ ผมเองก็เคยเข้าไปในฐานะสมาชิกค่าย อยากฝึกสมาธิเฉยๆ แต่ไม่รู้ว่าธรรมกายคืออะไร และด้วยความที่ระบบจิตวิทยาของเขามีประสิทธิภาพสูง การพูดจาชักชวนโน้มน้าวทำให้เราเคลิ้มไปกับเขา แล้วด้วยความที่เราเข้าไปอยู่ในชมรมก็จะมีเพื่อนซึ่งจะติดเพื่อน ติดคนในชมรม เหมือนกับทุกอย่างเป็นระบบจิตวิทยาที่เข้มแข็งพอสมควร จะมีกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ดึงคนเข้ามา แล้วในกิจกรรมเขาจะแทรกคำสอนและการโน้มน้าวลงไป"

แม้ความสัมพันธ์ระหว่างชมรมพุทธกับวัดพระธรรมกายนั้นดูจะยาวไกล จนดูเหมือนยากจะแก้ไขหรือเยียวยาได้แล้ว แต่ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธลำบาก สิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะลืมไม่ได้เป็นอันขาด และจำเป็นจะต้องสนใจเป็นพิเศษด้วย ก็คือควรทำอย่างไร? สถานการณ์ถึงจะไม่ลุกลามไปมากกว่านี้...

โดยเฉพาะกับกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุด อย่างกลุ่มนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพราะขนาดเด็กมหาวิทยาลัยซึ่งมีวุฒิภาวะและประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ยังไม่สามารถรอดพ้นจากการเข้ามาครอบงำในวิธีการเลื่อมใสในพุทธศาสนาแบบธรรมกายนี้ได้ แล้วกับเด็กๆ ซึ่งมีทักษะชีวิตน้อยกว่ามากจะรอดจากการปลูกฝังแบบหยั่งรากฝังลึกเช่นนี้ได้อย่างไร...

ดังนั้น สถานการณ์เช่นนี้ จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะต้องใช้คำว่า 'สายเกินไป' อีกครั้งกับเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น  ที่มา https://thaidhammakaya.wordpress.com/2015/02/28/dhammakaya-campus/

DTawan

ผมว่ามันไปกันใหญ่แล้วครับ เชื่อผมมั้ย ว่าเรื่องนี้มีผลประโยชน์ร่วม