ประณามบึ้มเซาท์เทิร์นฯ กอ.รมน.เชื่อมุ่งทำลายศก.–น้ำหนักระเบิด 160 กิโลฯ

[ทีมงานบ้านเรา]

ที่มา สำนักข่าวอิศรา
http://www.isranews.org/south-news/other-news/item/49500-condem_49500.html

[attach=1]

เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและหน่วยเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิด ได้รายงานผลตรวจพิสูจน์ระเบิดคาร์บอมบ์ที่คนร้ายใช้โจมตีย่านสถานบันเทิงหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว ในเขตเมืองปัตตานี ว่าเป็นการประกอบระเบิดในถังแก๊ส 2 ถัง น้ำหนักดินระเบิดมากถึง 160 กิโลกรัม และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขยายความรุนแรงด้วย

          รายงานจากหน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังลงพื้นที่เกิดเหตุ ระบุว่า ระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นชนิดแสวงเครื่อง ประกอบใส่ถังแก๊สขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัมจำนวน 2 ถัง น้ำหนักระเบิดรวม 160 กิโลกรัม โดยคนร้ายต่อพ่วงกับชุดจุดระเบิดแบบตั้งเวลา มีเหล็กเส้นตัดท่อนคละขนาดเป็นสะเก็ดระเบิด และยังพบชิ้นส่วนถังพลาสติกสีฟ้าขนาดความจุ 30 ลิตร จำนวน 2 ถัง คาดว่าเป็นภาชนะที่ใช้บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขยายความรุนแรงของระเบิดด้วย

สั่งยกระดับมาตรการ รปภ.สถานบันเทิง

          สำหรับความคืบหน้าทางคดี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุตามบัญชาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

          พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ได้เน้นย้ำ 2 ประเด็นกับหน่วยในพื้นที่ คือการติดตามกลุ่มคนร้าย และมาตรฐานการรักษาความปลอดภัย โดยให้ทำเชิงรุก โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นสถานบันเทิงต่างๆ ก็ได้มีการพูดคุยกัน และจะมีการขอความร่วมมือกับทางผู้ประกอบการให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบดูแล

          ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุ ตำรวจมีข้อมูลเครือข่ายอยู่แล้ว และที่ผ่านมากลุ่มคนร้ายก็ปฏิบัติการโดยไม่เลือกเป้าหมาย ขณะที่รถที่คนร้ายใช้เป็นคาร์บอมบ์ เป็นการอำพรางของคนร้ายด้วยการนำรถของทางราชการมาใช้ปฏิบัติการ คงต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงานอีกระยะหนึ่งเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี

จ่ายเยียวยาล็อตแรก 14 ผู้บาดเจ็บ

          ด้าน นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยนายกเหล่ากาชาดจังหวัดและคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิด และมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นให้จำนวน 14 คน คนละ 10,000-30,000 บาท

กอ.รมน.ตั้งธงมุ่งทำลายเศรษฐกิจ

          ผู้ว่าฯปัตตานี กล่าวว่า โรงแรมมีเส้นทางเข้าออกได้หลายทาง การนำรถของโรงพยาบาลมาก่อเหตุ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่ควรทำ ไม่มีกลุ่มอุดมการณ์ที่ไหนทำกัน คิดว่าสมควรต้องประณาม

          พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า คนร้ายมีเป้าหมายต้องการทำลายเศรษฐกิจที่กำลังมีการพัฒนา เพราะได้พลิกแพลงบริบทวิธีก่อเหตุ ด้วยการขโมยรถของโรงพยาบาลมาใช้

          ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค.59 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อประกาศนโยบายสามเหลี่ยมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.ได้เริ่มโครงการนำร่อง 3 เมืองต้นแบบ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ได้แก่ อ.เบตง จ.ยะลา อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

          ทั้งนี้ อ.หนองจิก เป็นอำเภอรอยต่อกับ อ.เมืองปัตตานี และเพิ่งถูกเจ้าหน้าที่ทลายฐานประกอบระเบิดสำคัญในป่าโกงกางริมทะเล ท้องที่ ต.ท่ากำชำ สามารถยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 10 ก.พ.59 และหลังจากนั้นก็มีปฏิบัติการตอบโต้ด้วยการวางระเบิดคาร์บอมบ์ใกล้ฐานหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 11 ทางเข้าเมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ห่างจากโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว ที่เพิ่งเกิดคาร์บอมบ์ล่าสุดไม่ถึง 1 กิโลเมตร

องค์กรสิทธิฯ-เครือข่ายชาวพุทธฯรุมประณาม

          องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายคนพุทธในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ออกมาประณามเหตุระเบิดในย่านสถานบันเทิงในเขตเมืองปัตตานีที่ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก

          เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายปกป้องพลเรือนที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู่ในความขัดแย้งในพื้นที่ พร้อมประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุว่าโหดร้าย ละเมิดสิทธิมนุษยชน และหลักมนุษยธรรม ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวไทยพุทธ  ชาวไทยมุสลิม และพี่น้องชาวไทยที่นับถือศาสนาอื่นๆ  ซึ่งล้วนแต่เป็นมิตร เป็นพี่น้องมาอย่างยาวนาน

          เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ยังเรียกร้องให้มีการดำเนินการพูดคุยสันติสุขโดยเร็ว เพื่อแสดงถึงความจริงใจและความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่

          มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมาย ออกแถลงการณ์ระบุว่า การติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ลอบวางระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่คนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการนำปัญหาความไม่สงบกลับสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งหนึ่ง อาจทำให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบบางกลุ่มใช้เป็นข้ออ้างเพื่อปฏิบัติการส่งสัญญาณต่อรัฐบาลหรือสังคม ว่ากลุ่มก่อความไม่สงบยังมีศักยภาพในการก่อเหตุร้ายแรงได้ 

          แต่การวางระเบิดต่อเป้าหมายพลเรือน มุ่งประสงค์ต่อความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะโดยข้ออ้างหรือเหตุผลใดๆ เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เป็นอาชญากรรมร้ายแรงและควรถูกประณาม ทั้งผู้กระทำจะต้องถูกนำตัวมาดำเนินคดีและรับโทษตามกฎหมาย