ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เล่นข่าวจากไทยโพสดีกว่า " ตัวแทนเชิด + กองทุนลับ + ข้อมูลภายใน ...ตอนที่1

เริ่มโดย คนชาย, 12:06 น. 24 ธ.ค 54

คนชาย

http://www.thaipost.net/news/090409/3025
1.ตัวแทนเชิด
     ทักษิณเป็นนักเชิดหุ่นที่มีหุ่นหลายตัวเต็มไม้เต็มมือไปหมด  คือ
     1.1  หุ่นถือหุ้นชินคอร์ป  49.6%  มีที่มาจาก  เมื่อปี  2542  มี  กม.ป.ป.ช.ใหม่ห้ามมิให้นายกรัฐมนตรีและภริยาถือหุ้นในบริษัทธุรกิจสัมปทาน  ทักษิณและภริยาจึงต้องทำเป็นขายหุ้นให้ตัวแทนเชิดทั้งปวง  ได้แก่  บริษัทแอมเพิลริช  11.2%,  พานทองแท้  10.49%,  พินทองทา  15%,  บรรณพจน์  12.7%  และยิ่งลักษณ์  0.7%  เมื่อขึ้นเป็นนายกฯ  ก็มีการออกมาตรการเอื้อประโยชน์โดยมิชอบแก่ธุรกิจชินคอร์ปอย่างต่อเนื่อง  จนรัฐต้องเสียหายไปนับแสนล้านบาท  จนเมื่อหุ้นชินวัตรได้ราคาดี  ก็จัดการแก้ไขกฎหมายโทรคมนาคมให้ต่างด้าวถือครองหุ้นได้ถึง  49.99%  แล้วจึงรวมหุ้นขายให้ทุนสิงคโปร์  คือกองทุนเทมาเส็กเมื่อมกราคม  2549  ได้เงินค่าขายหุ้นไป  7.3  หมื่นล้านในที่สุด  (..อิจฉา..ล่ะสิ..)
     บุคคลที่มีชื่อถือหุ้นชินคอร์ปข้างต้นนี้  คลังข้อมูลของเราระบุว่า  พบหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นหุ่นอย่างแน่นอน  หุ้นราคาตลาด  150  บาท  ทำเป็นซื้อขายในราคาเท่าทุน  10  บาท  เพื่อไม่ต้องเสียภาษี  ครั้นมีชื่อว่าซื้อไปแล้ว  ก็กลับส่งเงินปันผลคืนให้เจ้าทรัพย์ตลอดเวลาโดยอธิบายว่าเป็นการผ่อนชำระค่าหุ้น  แต่กลับผ่อนจนท่วมหนี้ไม่รู้กี่เท่า  (..ทำเหมือนหนีเจ้าหนี้  โดยขายวัวนมให้ลูก  แต่อ้างว่าลูกไม่มีเงินจึงต้องซื้อผ่อนส่งเป็นนมสดให้ทุกวัน  แต่ลูกกลับส่งนมให้จนเกินราคาวัว!)
     ครั้นไปตรวจดูการจัดการทางบัญชี  สำหรับกรณีหุ้นชินของแอมเพิลริช  ที่ธนาคารยูบีเอส  สิงคโปร์  ก็พบหลักฐานมัดแน่นว่า  คนเซ็นโอนหุ้นโยกย้ายหุ้นชินฯ  ของแอมเพิลริช  นั้นคือชื่อทักษิณ  ชินวัตร  นั่นเอง  มาทุกวันนี้เมื่อขายหุ้นได้เงินแล้ว  แทนที่จะต่างคนต่างแยกย้ายเอาเงินไปใช้  ก็กลับพบว่าเงินเริ่มไหลกลับไปอยู่ในมือเจ้าของตัวจริงโดยลำดับ  พฤติการณ์อย่างนี้คือซุกหุ้นชัดๆ  (..ยังมาเถียงอยู่ได้..ว่าเป็นเงินลูก)
     1.2  หุ่นถือหุ้นเอสซี  แอสเสท  บริษัทเล่นที่ดินมือฉกาจบริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์  โดยมีชื่อบริษัทวินมาร์ค  เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกับนางสาวพินทองทา  แต่ดีเอสไอก็ตามค้นจนได้หลักฐานจากธนาคารว่าผู้มีอำนาจลงนามในวินมาร์คก็คือ  ทักษิณ  ชินวัตร  อีกเช่นกัน  ความผิดฐานเข้าตลาดหลักทรัพย์โดยปกปิดข้อมูลผู้ถือหุ้นจึงปรากฏขึ้นมาในที่สุด  แต่ชะงักงันไปแล้วเพราะตัวอธิบดีดีเอสไอถูกย้ายไปตั้งแต่วันแรกที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล  ส่วนความผิดอื่นของบริษัทเอสซี  แอสเสท  ที่เข้าช้อนซื้อที่ดินราคาถูกจากกองทุนต่างๆ  ของรัฐนั้น  จะได้กล่าวต่อไปในส่วนที่ว่าด้วยพฤติการณ์ยักยอกอำนาจรัฐ  (...อ้าว..เฮ้ย.มันไปโกงตรงโน้นอีกหรือนี่..)
     1.3  หุ่นเล่นหุ้นหรือฟอกเงิน  ทักษิณปล่อยเงินของตนไปทำผิดทางการเงินได้มากมาย  ทั้งกรณีใช้ชื่อโอ๊ค  เอาเงินปันผลชินฯ  ไปช้อนหุ้นธนาคารทหารไทย  และไอเอฟซีที  แล้วขายออกตัวได้กำไรส่งเงินคืนให้มารดา  มารดาก็ซื้อตึกไอเอฟซีทีในราคาถูกติดมือมาให้พรรคไทยรักไทยเช่าต่อ  ได้ทั้งกำไรหุ้น  ได้ตึกราคาถูก  และค่าเช่าแพงๆ  ไปในที่สุด  ส่วนวินมาร์คนั้นก็แอบกวาดหุ้นชินในตลาดมาเล่นมาปั่นอยู่ตลอดเวลา  ดังจะกล่าวต่อไปในส่วนการใช้ข้อมูลภายในที่ฟันกำไรไปกว่า  500  ล้านบาท
     นอกจากใช้หุ่นนำเงินไปกระทำความผิดแล้ว  ก็ยังมีหุ่นอีกจำนวนหนึ่งที่ใช้ถือครองเงินค่าขายหุ้น  ทั้งบริษัทประไหมสุหรี  ของคุณหญิงพจมาน  (.....ชื่อประไหมสุหรีนี้  แปลว่ามเหสีเอก!),  บริษัท  เอสซี  แมนเนจเมนท์,  บริษัท  บีโอที  อินเวสเมนต์,  บริษัทยูเคสปอร์ตอินเวสท์เมนต์ที่ถือหุ้นแมนซิตี  ทั้งหมดนี้ล้วนเรียงรายอยู่ในเส้นทางฟอกเงินของทักษิณทั้งสิ้น
     2.กองทุนลับ
     เงินและทรัพย์สินบางก้อนนั้น  ทักษิณจะปล่อยให้ใครทราบว่ามีอยู่ในโลกไม่ได้  เช่นเงินที่ได้จากการแอบขายบาทซื้อดอลลาร์เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจปี  2540,  เงินที่แอบปั่นหุ้น  หรือใช้ข้อมูลภายในเล่นหุ้นโดยผิดกฎหมาย   เป็นต้น  เงินเหล่านี้ต้องถือครองโดยนิติบุคคลต่างประเทศ  และให้เล่นหุ้นหรือถือเงินไว้ในธนาคารสิงคโปร์  เพื่อให้พ้นการตรวจสอบของกฎหมายไทย  ทั้งตรวจโดยกระทรวงพาณิชย์,  ธนาคารแห่งประเทศไทย  และ  ก.ล.ต.
     บริษัท  วินมาร์ค  คือคำตอบที่  พ.ต.ท.ทักษิณได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายเกาะบริติช  เวอร์จิน  เมื่อ  2539  และบัญชีธนาคารยูบีเอส  สิงคโปร์  คือที่พำนักของเงินลับ  (บางส่วน?)  และหุ้นลับดังกล่าว  ซึ่งจากการตรวจสอบหลายกระแส  ก็ได้พบร่องรอยการกระทำผิดของเงินหรือหุ้นลับของทักษิณ  ดังนี้
     2.1  ปริศนาเงินเพิ่มทุนหุ้นชินคอร์ป  2  พันล้านบาท  ในปี  2542  บริษัท  ชินคอร์ปได้ประกาศเพิ่มทุนอีก  1 เท่าตัว  และเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อน  ซึ่งก็ปรากฏว่าครอบครัวชินวัตรได้นำเงินในบัญชีคุณหญิงพจมานมาซื้อหุ้นเพิ่ม  มอบเช็คให้แก่ชินคอร์ป  เป็นจำนวน  2  พันล้านบาท  เงินก้อนนี้ได้ถูกตรวจสอบเส้นทางแล้วพบความจริงอันน่าตกใจว่า  คุณหญิงรับมาจากบริษัทชินคอร์ปเอง!  (..โกงบริษัทมหาชนอีกแล้ว..อะไรเป็นมหาชน  ก็โกงหมด..เพราะมันง่ายดีใช่ไหม..ษิณ)
     การตรวจสอบต่อไปในทางบัญชีบริษัทนั้น  ยังไม่พบร่องรอยเงินก้อนนี้ว่าชินคอร์ปเอาเงินจากไหนมาให้  ทราบแต่ว่าบริษัทตรวจบัญชีชินคอร์ปถูกเปลี่ยนตัวกลางคันในปีนั้น  พวกผมตั้งข้อสันนิษฐานว่าเงินก้อนนี้น่าจะเป็นกำไรที่ทักษิณใช้ชื่อและเงินของชินคอร์ป  เก็งกำไรค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศเมื่อปี  2540  แล้วชินคอร์ปจำต้องเบิกมาให้ทักษิณโดยตรง  โดยไม่ลงบัญชีเข้าบัญชีบริษัทนั่นเอง  นี่คือบทเรียนการขโมยเงินบริษัทที่สโมสรแมนเชสเตอร์ซิตีจะต้องระวังเจ้าของคนใหม่ให้มากทีเดียว  (..แมนฯ เอ๋ย  เอ็งซวยแน่ๆ... อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์เสียด้วย)
     2.2  ปริศนาเงินซื้อหุ้นเอสซีแอสเสท  1.5  พันล้านบาท  ในปี  2543  เมื่อทักษิณเตรียมขึ้นเป็นนายกฯ  นั้น  นอกจากจะต้องซุกหุ้นชินคอร์ป  49.6%  แล้ว  ก็ยังต้องซุกหุ้นบริษัท เอสซี  แอสเสท  กับบริษัทในกลุ่มอีก  4  บริษัทด้วย  จึงได้มีการลวงโลกให้บริษัทลับคือวินมาร์คนำเงินลับมาซื้อกลุ่มบริษัทเหล่านี้ไป  ในราคา  1.5  พันล้านบาท  แล้วนำเอสซีแอสเสทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในที่สุด  ครั้นต่อมา  เมื่อบุตรสาวบรรลุนิติภาวะ  พ้นจากอำนาจตรวจสอบของกฎหมาย  ป.ป.ช.แล้ว  จึงได้เพิ่มทุน  แล้วให้บุตรสาวทำเป็นเพิ่มทุนจากวินมาร์คในราคา  4.85  ล้านด้วยเงินปันผลหุ้นชินคอร์ปที่ให้บุตรสาวถือไว้แทนตน  ทำไปเช่นนี้จนการซุกหุ้นเอสซีแอสเสทในชื่อวินมาร์คแล้วเปลี่ยนมาเป็นชื่อบุตรสาว  ก็สำเร็จลงในที่สุด  เงินลับก้อน  1.5  พันล้านนี้  พ.ต.ท.ทักษิณนำมาจากไหนก็ยังไม่มีผู้ใดอธิบายได้จนทุกวันนี้  (..ยังเหลืออีกเท่าใดกันนี่..รวยดีๆ..รวยชัดๆ  ไม่เป็นหรือยังไงไอ้หมอนี่)
     2.3  ปริศนาลักลอบเล่นหุ้นชิน   หุ้นชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตรนั้นทางครอบครัวประกาศและแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่ามีอยู่ทั้งสิ้น   49.6%   และ  คตส.ก็ได้ลงมือติดตามหุ้นก้อนนี้มาตลอด  ครั้นได้ตามไปตรวจสอบหุ้น  11.2%  ที่ทักษิณให้แอมเพิลริชถือไว้  โดยจัดการทางบัญชีผ่านสถาบันการเงินต่างประเทศ  ผลการติดตามได้พบความจริงว่าในบัญชีหุ้นชินของแอมเพิลริชที่ฝากไว้กับธนาคารยูบีเอส  สิงคโปร์  มีหุ้นชินอีกก้อนหนึ่งที่ทักษิณแอบกวาดซื้อจากตลาดหลักทรัพย์  ซ่อนอยู่ในบัญชีด้วยเป็นจำนวน  55  ล้านหุ้น  เมื่อปี  2544  ในนามของบริษัทวินมาร์ค  หุ้นก้อนนี้เมื่อทักษิณนำหุ้นชินอีกก้อนของแอมเพิลริชมาฝากรวมด้วย  ธนาคาร  ยูบีเอส ก็รายงานต่อ   ก.ล.ต.ไทยทันทีว่า  ธุรกรรมนี้ทำให้คนคนหนึ่งถือหุ้นชินเพิ่มขึ้นถึงเกณฑ์   5%   ซึ่งก็หมายความถึงตัวทักษิณนั่นเอง  ตรงจุดนี้ก็น่าเสียดายที่  ก.ล.ต.ไทยไม่ใช้ความสัมพันธ์ตามข้อตกลงกับ  ก.ล.ต.สิงคโปร์  ให้ช่วยตรวจสอบว่าบุคคลนี้คือใคร?  ใช่ทักษิณหรือไม่  เพื่อที่ความจริงของการซุกหุ้น  ทั้งหุ้นครอบครัวและหุ้นที่ลักลอบซื้อในตลาดจะได้ปรากฏขึ้นเสียแต่ปีนั้น  (...ก.ล.ต... แปลว่า...กูหลับตา..)
     การละเลยเช่นนี้เป็นโอกาสให้ทักษิณใช้เงินผ่านวินมาร์ค  เล่นหุ้นชินในตลาดได้ต่อไปอีกจนถึงขั้นใช้ข้อมูลภายในในปี  2549  ซื้อขายหุ้นชินในตลาดฟันกำไรโดยมิชอบไปกว่า  400  ล้านในที่สุด  (อ้าว..มันเอาอีกแล้วหรือนี่)  กล่าวคือ
     3.ข้อมูลภายใน
     3.1  ใช้ข้อมูลภายในเล่นหุ้นชินคอร์ปผ่านวินมาร์ค  ทักษิณและคุณหญิงไม่เคยปล่อยวางมือจากหุ้นชินคอร์ป  เหนือพื้นดินจะถือหุ้นชิน  49.6%  ที่เป็นของครอบครัวโดยเปิดเผย  เมื่อขึ้นเป็นนายกฯ  มีกฎหมายห้ามถือหุ้นสัมปทานก็ใช้ลูกและพี่น้องกับบริษัทแอมเพิลริชเป็นตัวแทนเชิดถือหุ้นแทน  ขณะเดียวกันก็กวาดซื้อหุ้นชินฯ  จากชาวบ้านในตลาดหลักทรัพย์  ให้วินมาร์คถือไว้ในบัญชีธนาคารยูบีเอส  สิงคโปร์  จำนวน  55  ล้านหุ้น  เมื่อปี  2544
     ครั้นต่อมาเมื่อทักษิณแอบเจรจาขายหุ้น  49.6%  กับเทมาเส็ก  เมื่อ  19  มกราคม  2549  เรียบร้อยแล้ว ได้ราคาหุ้นละ  49.25  บาท  ซึ่งเมื่อซื้อมากเช่นนี้แล้ว  ในภายหลังเทมาเส็กก็มีหน้าที่ตามกฎหมาย  ต้องตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นในราคานี้จากชาวบ้านในตลาดหลักทรัพย์ด้วย  ตามกระบวนกการเทนเดอร์ออฟเฟอร์
     ในวันที่  19  มกราคม  2549  นั้น  ยังไม่มีใครทราบความเป็นไปนี้เลย  ราคาหุ้นในตลาดขณะนั้นยังอยู่ที่ราคาหุ้นละ  39  บาท  หลักฐานที่รวบรวมได้พบหลักฐานในทางบัญชีว่า  นับแต่วันที่  19  มกราคมเป็นต้นมา  วินมาร์คได้กว้านซื้อหุ้นชินฯ  เพิ่มเติมเข้าบัญชีธนาคารยูบีเอสอยู่ตลอดเวลาชนิดไม่เว้นวัน  จนได้ยอดสูงถึง  114  ล้านหุ้น  แล้วตัดขายให้เทมาเส็กในกระบวนการเทนเดอร์ออฟเฟอร์  74  ล้านหุ้น  ฟันกำไรจากการใช้ข้อมูลภายในไปกว่า  500  ล้านบาท  (..นี่คือกำไรที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยควรจะได้..ใช่ไหมครับ)
     เมื่อมีผู้ร้องเรียนต่อ  ก.ล.ต.   ก.ล.ต.ก็สอบสวนและชี้แจงไปคนละเรื่องว่าไม่มีการปั่นหุ้น  ทั้งๆ  ที่คดีตัวจริงคือการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นเอาเปรียบผู้อื่น  หลักฐานก็มีอยู่ชัดเจนว่ากว้านซื้อโดยบัญชีธนาคารยูบีเอส   บัญชีเดียวกับแอมเพิลริช  ที่ขายหุ้นก้อนใหญ่ให้กับเทมาเส็ก  แต่  ก.ล.ต.ไทยกลับตีหน้าตายไปไหนมาสามวาสองศอก  บอกว่าไม่มีการปั่นหุ้นแล้วปิดสำนวนไปในที่สุด
     นี่ล่ะครับคือคุณภาพตลาดหุ้นไทย  ภายใต้ระบอบทักษิณและบริวารใน  ก.ล.ต.ปัจจุบัน  ที่เปิดให้ทุนใหญ่โกงผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ไม่รู้ข้อมูลภายในไปได้ถึง  500  ล้านบาท  ภายใน  1  เดือนเท่านั้น  หากจะถามว่าเงินกว้านซื้อหุ้นนี้มาจากไหน  คำตอบก็คือ  เงินปันผล  หุ้นชินฯ  11.2%  ของแอมเพิลริช  กว่า  2  พันล้านบาท  ที่ฝากไว้ในธนาคารยูบีเอสนั่นเอง  ถ้าถามต่อว่าเงินขายหุ้นอินไซเดอร์นี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว  คำตอบก็คือไปอยู่ที่ธนาคารยูบีเอส  ซูริก  เรียบร้อยแล้ว  ส่วนจะไหลไปซื้อแมนเชสเตอร์ซีตีด้วยหรือไม่  ก็ต้องแกะรอยกันต่อไป
     3.2  ใช้ข้อมูลภายในเล่นหุ้นธนาคารไทย  ในปี  2545  นั้น  หุ้นธนาคารทหารไทยได้ตกต่ำถึงขีดสุด  กระทรวงการคลังกำลังวางแผนนำบรรษัทไอเอฟซีที  ของรัฐมาควบรวมพร้อมเงินเพิ่มทุนโดยกระทรวงการคลัง  ปรากฏว่าเงินปันผลหุ้นชินคอร์ปของทักษิณที่ได้ส่งมาสะสมไว้ในบัญชีของนายพานทองแท้  บุตรชายผู้เป็นตัวแทนเชิดรวมยอดได้กว่า  400  ล้านบาท  ได้ถูกนำไปช้อนซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยและไอเอฟซีทีทั้งหมด  ในนามนายพานทองแท้  โดยไม่สนใจซื้อหุ้นอื่นใดที่กำลังรุ่งพุ่งแรงเลย  เล่นแต่หุ้นทหารไทยกับไอเอฟซีทีอย่างเดียว
     หลังจากนั้นเมื่อรัฐบาลประกาศฟื้นฟูธนาคารทหารไทยแล้ว  ราคาหุ้นก็เริ่มขยับขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่ง  พ.ต.ท.ทักษิณก็ใช้ชื่อบุตรชายเทขายหุ้นธนาคารทหารไทยทันที  ก่อนที่ตลาดจะได้ข้อมูลในภายหลังว่า  กิจการธนาคารทหารไทยไม่กระเตื้องเช่นที่คาดจนราคาหุ้นตกต่ำลงมาในอีกไม่กี่อาทิตย์  พากระทรวงการคลังและผู้หลงผิดขาดทุนไปนับหมื่นล้านบาทในที่สุด  มีแต่ทักษิณเท่านั้นที่ได้กำไรเพียงผู้เดียว  เล่นหุ้นได้สวย  เข้าออกถูกจังหวะ  เหตุเพราะรู้ข้อมูลภายใน  ได้กำไรไม่มีวันขาดทุนเช่นผู้อื่นเขาเลย  (อิจฉา..อีกล่ะสิ!..อิจฉาไหม)
     อนึ่ง  นอกจากกำไรกว่า  70  ล้านที่ได้ไปแล้ว  ยังปรากฏอีกว่า  ตึกไอเอฟซีทีที่ธนาคารทหารไทยขายหลังควบรวมนั้น  ปรากฏว่าผู้ซื้อได้โดยไม่มีคู่แข่งก็คือ  คุณหญิงพจมาน  ชินวัตร  ซื้อได้ในราคาประเมิน  420  ล้านบาท  ต่ำกว่าราคาที่ควรถึง  100  ล้านบาท  (เลิกอิจฉาแล้วหรือยังนี่..เหนื่อยนะคุณ..หยุดเถอะ)  สรุปแล้วงานนี้  กระทรวงการคลังและผู้ซื้อหุ้นถูกครอบครัวนี้โกงไปถึง  170  ล้านบาทในที่สุด.
4.ยักยอกอำนาจรัฐ
     ทักษิณเกิดมาโกง   "มหาชน"   โดยเฉพาะ  ทั้งบริษัทมหาชนและรัฐของมหาชน  ในยามที่ยังไม่ถืออำนาจรัฐ   ความเสียหายจะไม่มาก   อย่างเก่งก็ขโมยเงินยักย้ายถ่ายเทเงินจากบริษัทมหาชน  คือ  ชินคอร์ป  2  พันล้าน  ใช้ป้ายโฆษณาที่ชินคอร์ปเช่าไว้หาเสียงให้ไทยรักไทยบ้างเท่านั้น   แต่เมื่อเขาเข้ายึดครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี   จนมือหนึ่งก็ถืออำนาจเหนือหน่วยงานรัฐทั้งปวง  อีกมือหนึ่งก็เชิดหุ่นเป็นสิบๆ  ตัว  พร้อมกองทุนลับนับพันล้านแล้ว  เมื่อนั้นหายนะของชาติก็มาถึง   เพราะนี่คือการถือประโยชน์ทับซ้อน  โดยในด้านหนึ่งนั้นทักษิณต้องควบคุมดูแลสัมปทานชินคอร์ปให้ซื่อตรงต่อมหาชนหรือประโยชน์สาธารณะ  ขณะเดียวกันก็ต้องการหาประโยชน์จากธุรกิจชินคอร์ปให้มากที่สุด  ถามว่า  นายกฯ  ชินคอร์ปผู้นี้จะเลือกข้างใด   ทักษิณรวยแล้วไม่โกง  จริงๆ  หรือ?
     คำตอบก็คือคนคนนี้เกิดมาโกง  จะจนหรือรวยก็โกงตลอดเวลาและโกงเก่งมาก   ยิ่งให้โอกาสดูแลประโยชน์สาธารณะด้วยเช่นนี้แล้ว   ก็เหมือนตะกวดหลุดเข้าไปในเล้าไก่เลยทีเดียว  ต่อไปนี้คือรายงานการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของทักษิณที่เกิดขึ้นใน   6   ปีที่ผ่านมา  (..แต่เขายังไม่ยอมให้ผ่านไป)
     4.1   โกงธุรกิจโทรศัพท์   ทักษิณถือหุ้นในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เอไอเอสผ่านชินคอร์ป  1   ใน  4  ถ้าเอไอเอสได้  1  บาท  ทักษิณจะได้  1  สลึง  ขณะเดียวกันยิ่งเอไอเอสเจริญรุ่งเรืองมั่นคงเท่าใด  กิจการเอไอเอสก็ยิ่งจะมีมูลค่านำไปขายทั้งตะกร้าได้ราคาดีกว่าการตัดขายหุ้นทีละนิดทีละหน่อย  การนำชินคอร์ปเข้าตลาดหลักทรัพย์  โดยทักษิณและภริยาคงถือหุ้นใหญ่ไว้  49.6%  ในชั้นแรก  จึงเป็นเหมือนการระดมทุนชาวบ้านมาเลี้ยงมาขุนวัวเอไอเอสของตนเองให้อ้วนท้วน   แล้วคอยหาจังหวะขายยกล็อตฟันกำไรเข้ากระเป๋าเป็นหมื่นๆ  ล้านให้จงได้ต่อไป
     ทำได้อย่างนี้จึงจะถือว่ามีฝีมือ   ไม่ใช่ทยอยชำแหละตัดขายเป็นกิโล   ค่อยๆ  ขายหุ้นเป็นก้อนๆ  เหมือนนายทุนเจ้าของกิจการอื่นๆ  ที่นำบริษัทของตนเข้าตลาดหลักทรัพย์  แต่ไร้ความสามารถในการขุนวัวทั้งตัว  แล้วขายทั้งตัวไม่เป็น
     การขุนและขายวัวทั้งตัวนี้ว่าไปแล้วก็ไม่ผิดอะไร   เป็นความฝันของนายทุนทั่วโลกอยู่แล้ว  ปัญหาแท้จริงจึงเลื่อนมาอยู่ที่ว่า    ทักษิณทำอย่างไรจึงทำให้วัวชินคอร์ปอ้วนท้วนสมบูรณ์เช่นนั้น   คำตอบที่ได้จากรายงานของ   คตส. ก็คือ  เขายักยอกอำนาจรัฐไปเลี้ยงชินคอร์ปจนอ้วนท้วน  ด้วยยุทธศาสตร์ผูกขาด  4  ขนาน  คือ  แทรกซึม  เอาเปรียบ  สกัดกั้น  แล้วทำลาย  ดังนี้
     แทรกซึม   บริษัทโทรศัพท์ทุกวันนี้ประกอบการอยู่ในนิเวศผูกขาดของรัฐ  ที่รัฐโดย  ทศท.และ  กสท.ผูกขาดให้บริการแต่ผู้เดียวก่อน  แล้วจึงมาให้สัญญากับเอกชนร่วมลงทุนแบ่งรายได้อีกชั้นหนึ่ง   โครงสร้างอย่างนี้ทำให้ในตลาดมีสิทธิ  2  กลุ่มแข่งขันกันอยู่  คือ  กลุ่ม  ทศท.  โดยชินคอร์ป  กับกลุ่ม  กสท  โดยบริษัท  3  บริษัท   ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้คือการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์   มีค่าต๋งของรัฐเข้ามาดูดรายได้,  มีการเอาเปรียบ  ให้ลูกค่าย  ทศท.ได้เปรียบลูกค่าย  กสท  หลายขยัก  เช่น  หากบริษัททรูลูกค่าย  กสท  โทร.เข้าโทรศัพท์บ้านของ  ทศท.เช่นนี้  ต้องเสียค่าผ่านทาง  หมายเลขละ  200  บาท  แต่ครั้นเอไอเอสลูกค่าย  ทศท.โทร.เข้าโทรศัพท์พื้นฐานบ้างกลับไม่ต้องเสีย  ทั้งๆ  ที่สัญญาระบุให้  ทศท.เรียกเก็บได้  เพราะโทรศัพท์บ้านเป็นการลงทุนของเอทีแอนด์ที  แต่  ทศท.ก็ไม่ยอมเรียกเก็บจนทุกวันนี้  (..ต้นทุนต่ำกว่าคนอื่นอย่างนี้..เอไอเอสน่าจะฟันราคาลงมาให้ชาวบ้านบ้างนะ..)
     ด้วยโครงสร้างผูกขาดโดยรัฐเช่นนี้   อำนาจรัฐจึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะเกื้อหนุนหรือทำลายอำนาจเหนือตลาดของเอไอเอสที่ยึดครองมาตลอด   การปล่อยให้หัวหน้าชินคอร์ปขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี  จึงมีค่าเท่ากับยกหน่วยงานของรัฐ  ทั้ง  กสท,  ทศท.  และกระทรวงไอซีที  ให้กลายมาเป็นแผนกการตลาดภาครัฐของชินคอร์ปเลยทีเดียว  ขณะนั้น  นายแพทย์สุรพงษ์   สืบวงศ์ลี  อดีตกรรมการบริษัท  ชินแซท  กำลังทำงานเป็นรัฐมนตรีได้ผลงานดีอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข   กลับถูกโยกมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีคนแรก  ก็เพื่อมาเป็นหัวหน้าแผนกการตลาดนี้นั่นเอง  นาย  ส.  ผู้บริหารหน่วยงานรัฐทำงานให้แผนกนี้ได้ผลดี  เกษียณแล้วก็ไปนั่งเป็นผู้บริหารเอไอเอส  กับผู้บริหารยูคอมของเจ๊แดง  นาย  ส.  อีกคนขึ้นเป็นดาวรุ่งพุ่งเข้าครองตำแหน่งอธิบดี  ทำโครงการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตรจนสำเร็จ  แล้วจึงพุ่งมาเป็นประธานบอร์ด   ทศท. ลงมือแก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปอย่างไม่ยอมหยุด  อีก   2  ส.  ขึ้นเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร   ถ้าไม่ใช่งานช่วยเหลือทางภาษีให้แก่ชินคอร์ปของนายกฯ  ทักษิณ  เมื่อครั้งเป็นอธิบดีกรมสรรพากรแล้วกล้าสั่งการให้สำนักตรวจสอบยุติการตรวจสอบภาษีชินคอร์ป  เมื่อต้นปี  2543  (..อ้อ..มันเป็นอย่างนี้นี่เอง....นึกว่าได้เป็นรัฐมนตรีเพราะมติพรรคเสียอีก..ยุบเสียได้ก็ดีแล้วพรรคชนิดนี้)
     เอาเปรียบ    แผนกการตลาดภาครัฐของชินคอร์ปโดยการชี้นำของทักษิณและหมอสุรพงษ์  ได้ทุ่มเทยักยอกอำนาจรัฐ  แก้ไขสัญญาสัมปทานให้เอไอเอสยึดครองตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยเด็ดขาดได้ดังนี้
     การลดค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเติมเงินล่วงหน้า   ในปี   2545   ตลาดมือถือแบบเติมเงินเริ่มงอกงาม   ลูกค่าย  กสท  คือ  ดีแทค  ได้ขอให้  กสท  ช่วยเจรจากับ  ทศท.ว่า  ขอให้คิดค่าผ่านทางโทร.เข้าโครงข่ายของ  ทศท.จากเดิม  คิดหมายเลขละ  200  บาท  เปลี่ยนเป็นการแบ่งรายได้  18%  ของรายรับเฉพาะมือถือเติมเงินจะได้ไหม?  พอ  ทศท.ยอมเปลี่ยนให้เท่านั้น  เอไอเอสก็รีบโผล่เข้ามาขอลดค่าสัมปทานในส่วนมือถือเติมเงินของตนบ้างทันที  จาก  25%  เป็น  20%  เรื่องที่  ทศท.ยอมปรับวิธีคิดค่าผ่านทางให้ดีแทคเท่านั้น  มิใช่ดีแทคได้ลดค่าสัมปทานจาก  กสท   เอไอเอสจึงควรต้องมีสิทธิขอลดจาก  ทศท.บ้างแต่อย่างใดเลย  เอไอเอสเสียอีกที่ได้เปรียบมาตั้งแต่แรก  ไม่ต้องเสียค่าผ่านทางให้ใครเลย
     การลดค่าสัมปทานครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง  ทำให้เอไอเอสได้  2  เด้ง  คือคงความได้เปรียบอันไม่เป็นธรรมที่มีเหนือดีแทคไว้ได้เหมือนเดิม   การแข่งขันที่แท้จริงจึงไม่เกิดขึ้น   เด้งที่  2  คือ  ด้วยการขยายตัวของตลาดมือถือแบบเติมเงินที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว  ก็ทำให้จำนวนลูกค้ามือถือแบบจ่ายรายเดือนลดลงอย่างมากมาย  ส่วนแบ่ง  25%  ของ  ทศท.ในลูกค้ากลุ่มนี้จึงลดลง   และไหลไปเพิ่มที่มือถือเติมเงินแทน  ซึ่งในก้อนนี้  ทศท.จะได้ส่วนแบ่งเพียง   20%  เท่านั้น  คำนวณแล้วการแก้ไขสัญญาครั้งนี้  ทำให้  ทศท.ขาดรายได้ที่พึงได้ตลอดอายุสัญญา  ไปเป็นจำนวน  8  หมื่นล้านบาท
     การแก้ไขสัญญานี้   ปัจจุบันกฤษฎีกาวินิจฉัยแล้วว่า  ทำข้ามขั้นตอนไม่ผ่านมติ  ครม.และไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบที่กฎหมายกำหนดไว้  ใครจะต้องติดคุก  และรับผิดทางแพ่งบ้าง  ก็ต้องติดตามกันต่อไป   (..แกล้ง'ษิณอีกแล้ว..ตามล้างไทยลักไทย..อีกแล้ว..ให้โอกาสเราอีกสักครั้งเถิด..สมานฉันท์เถิด..พี่น้อง)
     สกัดกั้น   ช่วงที่หัวหน้าชินคอร์ปขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น   รัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายใหม่กำลังผลักดันปฏิรูปธุรกิจโทรคมนาคมไทยเข้าสู่ระบบเสรีที่มีสาระสำคัญ โดยสังเขปดังนี้
     ก)  ยกเลิกอำนาจผูกขาดของรัฐ   ผู้สนใจประกอบการสามารถเข้าสู่ตลาดได้ด้วยการขออนุญาตต่อหน่วยงานอิสระ  ชื่อ  กทช.
     ข)  ยกเลิกการเก็บค่าต๋งของรัฐ  ให้เก็บได้เฉพาะค่าธรรมเนียมเพื่อใช้ในงานบริหารเท่าที่จำเป็น  และเพื่อเป็นกองกลางให้บริการพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น
     ค)  ยกเลิกการผูกขาดโครงข่าย   เจ้าของโครงข่ายต้องเปิดให้ผู้ประกอบการอื่นผ่านทาง  และเสียค่าผ่านทางในอัตรายุติธรรมเสมอหน้า
     ง) ให้  กทช.คำนวณต้นทุนอันควร   แล้วกำหนดเพดานค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากผู้บริโภคในอัตราที่เป็นธรรม
     จ)  ให้  ทศท. และ  กสท   กับคู่สัญญาสัมปทานทั้งปวง   เจรจาปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่   โดยสะสางผลประโยชน์ที่มีต่อกันให้ลุล่วง   แล้วต่างคนต่างก็เข้ามารับใบอนุญาตจาก  กทช. แล้วประกอบการแยกย้ายกันไปโดยไม่ผูกพันต่อกันและกันอีก   ทั้งหมดนี้เรียกกันว่า   "การเจรจาแปลงสัญญาสัมปทาน"
     มาตรการตามโครงการโทรคมนาคมเสรีนี้   หัวหน้าชินคอร์ปย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน  เพราะจะมีผู้ประกอบการรายใหม่ในระดับสากลโผล่เข้ามาเบียดเอไอเอสจมดินได้ง่ายๆ   อีกทั้งต่อไปทั้งเอไอเอสและคู่แข่งต่างก็ต้องเสียค่าผ่านทางให้  ทศท.โดยเป็นธรรม  เอาเปรียบกันไม่ได้อีกต่อไป   ส่วนการแข่งขันจะเข้มข้นขึ้น   เพราะทุกบริษัทต่างก็จะแบกน้ำหนักเท่าเทียมกัน   จะฮั้วราคากันก็ไม่ถนัด  เพราะรัฐกดเพดานราคาไว้   หนทางที่จะฟูมฟักวัวเอไอเอสให้อ้วนท้วนยืนยิ้มอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งการผูกขาดก็จะสลายเป็นอากาศธาตุในที่สุด  ทำอย่างไรจะทำลายระบบโทรคมนาคมเสรีนี้ให้พิกลพิการลงไปให้ได้
     ต่อไปนี้คือหัวคิดของทักษิณ  และนาย  "บ."  ลูกน้องคนสำคัญ
     มาตรการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต    ในปี  2545  นาย  บ.  ได้นำร่องเสนอแนวทางนี้ไว้ในสารนิพนธ์  วปรอ.ก่อน  จากนั้น  รมต.ไอซีทีคนแรกคือ  หมอสุรพงษ์  หรือเลี้ยบ  ก็นำมาประกาศเป็นนโยบายว่าจะนำมาตรการนี้มาทดแทนการเจรจาแปรสัญญาโทรคมนาคมที่กำลังอยู่ในภาวะชะงักงัน  ในปี  2546  แล้วทักษิณก็สั่งให้คณะทำงานแปรรูป  ทศท.ศึกษานำร่องไว้  จนเรื่องก็ไหลไปอยู่ที่กรมสรรพสามิต   ผลักดันเข้าสู่  ครม.ในนามของร่างกฎหมายเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ในกิจการโทรคมนาคม  ดังต่อไปนี้
     ก)  ตรากฎหมายเก็บภาษีสรรพสามิตในธุรกิจโทรคมนาคม   ไม่เกิน   50%  กฎหมายนี้เดิมกระทรวงการคลังเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติ   แต่ทักษิณให้  ครม.มีมติตราเป็นพระราชกำหนด  เพื่อที่จะไม่ต้องถูกตรวจสอบแก้ไขโดยรัฐสภา
     ข)  มีมติ  ครม.กำหนดอัตราภาษีในระยะแรก  10%
     ค)  มีมติ  ครม.ให้ผู้ประกอบการนำค่าภาษีที่เสียไปมาหักจากค่าสัมปทานได้
     เมื่อทำจนครบมาตรการข้างต้นนี้  คือคิดภาษีใหม่  (10%  จากรายรับ)  แล้วให้เอาไปหักจากค่าสัมปทาน  (20%)  จนเหลือส่ง  ทศท.แค่  10%  แล้วเช่นนี้   ทักษิณจึงชี้แจงต่อประชาชนว่า  นี่เป็นเพียงการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีเท่านั้น   ผู้ประกอบการยังจ่ายเงินเท่าเดิม  (20%)  ไม่มีภาระอะไรตกแก่ประชาชน  ส่วนรัฐก็ได้เงินเท่าเดิม  (20%)  คนก็ยังงงกันอยู่จนทุกวันนี้ว่า  ภาษีอะไรเก็บแล้วไม่มีคนเสีย  และไม่มีรายได้จริงอะไรเกิดขึ้นแก่รัฐเลย
     คำตอบที่แท้จริงก็คือ   ภาษีตัวนี้มิได้ถูกคิดขึ้นเพื่อจะเก็บภาษีใดเลย   คิดขึ้นมาเพื่อทำลายระบบโทรคมนาคมเสรีเป็นสำคัญ  กล่าวคือ
     ก)   มาตรการนี้มุ่งคงไว้ซึ่งต้นทุนค่าต๋ง  10%  ที่รัฐเคยได้ตามระบบเดิม  เพราะหากปล่อยไว้ให้เข้าสู่ระบบเสรีแล้วค่าสัมปทานจะหมดไป  และจะลดลงมาเป็นค่าธรรมเนียมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น  ซึ่งต่อไปเมื่อ  กทช.ประกาศเพดานค่าบริการกดค่าบริการในปัจจุบันลงมาแล้ว  ผู้บริโภคก็จะเสียค่าบริการต่ำลง   ภาษีสรรพสามิตจำแลงตัว  10%  นี้   แท้ที่จริงจึงเป็นตัวการปล้นค่าบริการที่ควรจะถูกลง  10%  ไปจากประชาชน   ไปเข้ารัฐผ่านกรมสรรพสามิตนั่นเอง  (จริงๆ..หรือนี่..เราโดนปล้นหรือนี่..เฉลี่ยคนละ  100  บาท/เดือน  เชียวนะนี่)
     ข)  หากจะถามว่า  จริงๆ  แล้วทักษิณเสียดายเงิน  10%  แทนรัฐเช่นนั้นหรือ  คำตอบก็คือไม่ใช่   สิ่งที่เขาเสียดายก็คืออำนาจผูกขาดในตลาดโทรศัพท์เท่านั้น   รัฐและผู้บริโภคไม่เคยอยู่ในสมองของเขาเลย   สิ่งที่เขากลัวก็คือว่า  หากปล่อยให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขัน  โดยแบกรับเฉพาะค่าธรรมเนียมราคาถูก  (5%)  ไม่ต้องแบกค่าสัมปทาน  20%  ด้วยเหมือนเอไอเอสแล้ว   บริษัทเหล่านี้จะตีตลาดเขาได้อย่างถนัดมือ   แต่ถ้ารายใหม่นี้ต้องเสียภาษีสรรพสามิต  10%  ด้วย  แต่ข้างเอไอเอสไม่ต้องเสีย  10%  นี้แล้ว  ความได้เปรียบของรายใหม่ในระบบใหม่นี้จะหายไปในทันที   มาตรการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตนี้  แท้ที่จริงแล้วจึงเป็นมาตรการแปลงอำนาจรัฐไปเป็นรั้วคุ้มครองหรือกีดกั้นผู้ประกอบการรายใหม่ดีๆ  นี่เอง  (..คิดได้ยังไงกันนี่..)
     ทำลาย    มาตรการแปลงค่าสัมปทานข้างต้น   กฤษฎีกาได้ชี้ขาดไว้แล้วว่าทำไปโดยผิดกฎหมาย  ไม่ผ่านขั้นตอนแก้ไขสัญญาและตรวจสอบอย่างที่ควรจะเป็น  แม้มองเผินๆ  จะเห็นว่ารัฐได้เงินเท่าเดิมก็ตาม   แต่แท้ที่จริงก็คือการตัดรายได้ของ  กสท  และ  ทศท. ไปเข้ารัฐโดยตรง   แทนที่รัฐจะคอยเก็บจากกำไรเหมือนเช่นที่เคย   ทำให้  ทศท.ขาดรายได้จนทุกวันนี้ไป  4  หมื่นล้านบาท  ยังผลทำลาย  ทศท.ที่ควรจะพัฒนาเป็นบริษัทโครงข่ายโทรคมนาคมของชาติ   หรือบุกเบิกธุรกิจมือถือระบบ   1900   ยืนเป็นหลักอยู่ในตลาดไว้เพื่อทัดทานการผูกขาดของเอไอเอส   แต่มาตรการนี้ก็ปิดโอกาสนี้ไป  ทิ้งให้รัฐวิสาหกิจหลักของชาติกลายเป็นบริษัทที่นอนแบ็บ  หายใจระรวยรินอยู่จนทุกวันนี้
     ชัยชนะของทุนสามานย์    ผลงานของนายกฯ  ชินคอร์ปที่กล่าวมานี้   ทำให้คาดเห็นได้ว่าธุรกิจโทรคมนาคมไทยจะเปลี่ยนมือจากการผูกขาดโดยรัฐ  มาเป็นการผูกขาดโดยเอกชนที่แฝงอยู่ในระบบโทรคมนาคมเสรีจอมปลอมอย่างแน่นอน
     ทำเลที่ตั้งอันมั่นคงทางธุรกิจบวกด้วยความคุ้มครองระยะยาวของระบอบทักษิณเช่นนี้นี่เองที่ทำให้ธุรกิจชินคอร์ปกลายเป็นวัวอ้วนที่เติบโตสมบูรณ์ในสายตาของกองทุนเทมาเส็ก  จนตัดสินใจเข้ามาจับมือร่วมลงทุนในไทยแลนด์อิงก์ของทักษิณ  ในแผนกโทรคมนาคมในที่สุด   สำหรับเหตุที่ระบุว่าเป็นการร่วมลงทุนนั้นก็เพราะเชื่อได้แน่นอนว่า  หุ้นฝ่ายไทยที่ร่วมลงทุนกับเทมาเส็กนั้นต้องมีเงินจากกองทุนลับของทักษิณปนอยู่ในบริษัทกุหลาบแก้วด้วยอย่างแน่นอน  เพราะเป็นไปมิได้เลยที่ทุนสิงคโปร์จะโง่เข้ามาฮุบกิจการในไทย  โดยไม่มีทุนท้องถิ่นที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีร่วมให้ความคุ้มครองอยู่ด้วย
     การทั้งหมดนี้สำเร็จลงได้ด้วยมาตรการสุดท้าย  คือ  ผลักดันแก้กฎหมายโทรคมนาคมเพิ่มเพดานถือหุ้นให้ต่างชาติในธุรกิจโทรคมนาคม  จาก  25%  เป็น  49.99%   นั่นเอง  (...ยอมแพ้แล้ว..โว้ย..โกงเก่งอย่างนี้จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจริงๆ)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พออ่านจบ  แหม...คนอะไร  มันเลวได้ใจจริงๆ  ใครที่หลงใหลได้ปลื่มก็คงจะมีนิสัยใจคอเหมื่อนๆกัน  คือ  นิยมอะไรที่มั่วๆ  ไม่ขาว   คือ ไม่นิยมสิ่งสะอาด  ต้องเทาๆ

ยังไม่หมดเดียวมีต่อครับ  อิอิ