ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

จะหยุดวิกฤต วันสิ้นโลกได้อย่างไร

เริ่มโดย ฅนเกาะเสือ, 12:37 น. 08 ม.ค 55

ฅนเกาะเสือ

จะหยุดวิกฤตวันสิ้นโลกอย่างไร?   

   ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า หากวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่ยังต้องอิงวัตถุเป็นปัจจัยหลักยังคงดำเนินอยู่แบบนี้ โลกในอีก 1020 ปีข้างหน้า จะเป็นโลกที่หน้าตาไม่เหมือนเดิม เพราะการใช้และทำลายทรัพยากรอย่างไร้ขอบเขตนั้น มีผลทำให้ระบบนิเวศน์ของโลกเปลี่ยนแปลงไปจนเลยจุดที่เรียกว่า Tipping Point หรือจุดที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก

   โลกจะมีสภาพหนาวเย็น ขาดแคลนอาหาร น้ำ พลังงาน มนุษย์จะอยู่อย่างแร้นแค้น สำหรับประเทศไทยเป็นที่คาดการณ์ว่า น้ำจะท่วมขนาดที่กรุงเทพฯ จะจมหายเป็นเมืองใต้บาดาล ก่อนเหตุการณ์นี้จะมาถึงจึงต้องตั้งคำถามว่า เราได้ลงมือกระทำอะไรบางอย่างที่เป็นการป้องกันแล้วหรือยัง

   ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอยู่ในขั้น       "หนักหน่วง" แม้จะเป็นประเทศที่โชคดี ยังมีทรัพยากรพื้นฐานดีกว่าประเทศอื่น แต่ด้วยมีจุดอ่อนในการบริหารจัดการ การเตรียมการป้องกันจึงยังอยู่ในอาการ "ลูกผีลูกคน" ทั้งนี้ ผลกระทบเกี่ยวกับโลกร้อนที่แสดงอาการแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมภัยแล้ง       ดินถล่ม ยังขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันด้านสิ่งแวดล้อม และคนของประเทศนั้นด้วย

   

   

   การหยุดวิกฤตในประเทศไทยจึงต้องอาศัย "ปัจจัยภายใน" เป็นหลัก และความสำเร็จในการหยุดวิกฤต จึงไม่อาจขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ จำเป็นต้องอาศัยการระดม "พลังฝ่ามือ" ในรูปแบบเบญจภาคี ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและสื่อ จึงจะมีโอกาสที่ภารกิจนี้บรรลุ

   ภาครัฐ เปรียบเสมือน "หัวแม่มือ" ตามบทบาทถือเป็นหัวเรือใหญ่ของขบวนเรือหยุดวิกฤต เพราะมีทั้งเงิน คน ข้อมูล อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ และอำนาจ ภาควิชาการที่เป็น "นิ้วชี้" สามารถชี้ผิดชี้ถูก เป็นคลังสมองปัญญาของประเทศ หากทำหน้าที่ชี้นำให้สังคมอุดมปัญญา แทนอุดมปัญหา ก็จะเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่จะช่วยหยุดวิกฤตให้ประเทศได้

   ภาคประชาชน คือ "นิ้วกลาง" ที่เป็นศูนย์กลางและสำคัญที่สุดในวิกฤตโลกทั้งหมดนี้ ภาคประชาชนได้รับผลกระทบมากที่สุดในฐานะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม หากกลไกหยุดวิกฤตไม่ได้ผล ภาคเอกชนจะลำบากที่สุด

   ภาคเอกชน ถือเป็น "นิ้วนาง" ถึงเวลาต้องถอดแหวนเครื่องประดับราคาแพงออกเพื่อร่วมขบวนหยุดวิกฤตโลก เพราะถือเป็นตัวการสำคัญของเหตุวิกฤต เนื่องจากใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มุ่งแต่แสวงหากำไรเข้ากระเป๋า โดยขาดความรับผิดชอบ เสียงเรียกร้องจึงดังกระหึ่ม ให้คืนกำไรสู่สังคม มาเป็นพระเอกในขบวนการหยุดวิกฤตโลกด้วย "สำนึกรับผิดชอบ"

   ส่วน ภาคประชาสังคมและสื่อ เปรียบเสมือน "นิ้วก้อย" ทำหน้าที่เกี่ยวก้อยเชื่อมประสาน บอกเรื่องราว สะท้อนข้อเท็จจริง สะท้อนปัญหา นิ้วก้อยจึงเป็นพระเอกตัวจริงที่จะหยุดวิกฤตโลกได้ หรือตรงข้ามก็เป็น "ผู้ร้าย" ทำให้โลกย่อยยับไปกับตาได้เช่นกัน

   แผนเตรียมรับมือกับวิกฤตและภัยพิบัติ

   

   

   เมื่อรู้ว่าวิกฤตและภัยพิบัติจะมา สิ่งจำเป็นที่สุดในการเตรียมรับมือคือ การมีแผน ทั้งแผนก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย ทั้งระบบข้อมูล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้รับผิดชอบ การประสานงาน ใครต้องทำอะไร ที่ไหน อย่างไร รวมทั้งแผนการเคลื่อนย้ายอพยพในกรณีมีการเสียชีวิต การบาดเจ็บ เด็ก คนแก่ คนเจ็บ คนตาย จะทำอย่างไร อาหาร น้ำ ยา จะลำเลียงอย่างไร อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ จะต้องใช้อะไร ทั้งหมดจะต้องถูกระบุและเตรียมการในแผนให้ครบถ้วน

   การไม่มีแผนนั้นน่ากลัว แต่แผนที่น่ากลัวคือแผนที่ไร้ประสิทธิภาพ มีผู้รู้หลายท่านกล่าวไว้ว่า "กฎหมาย กฎระเบียบของประเทศไทยดีมาก ขาดแต่คนลงมือปฏิบัติ" แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 111 ตอกย้ำข้อเท็จจริงได้ดี ตัวอย่างหนึ่งที่จะเป็นบทพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของการใช้แผน คือแผนป้องกันภัยพิบัติด้านการเกษตรปี 2553 ที่รัฐบาลเคยประกาศใช้

   ถ้าว่ากันตามตัวอักษร แผนฉบับนี้เป็นแผนป้องกันที่เขียนขึ้นอย่างมีมาตรฐาน มีการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบอย่างชัดเจน กำหนดภารกิจของแต่ละหน่วยงานในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลา งบประมาณ แต่ข้อน่าวิตกคือ แนวคิดของการรับมือกับภัยพิบัติที่มีภาครัฐเป็น "พระเอก" แต่เพียงผู้เดียว โดยขาดการประสานมีส่วนร่วมกับภาคส่วนอื่นของสังคม รวมทั้งการใช้กลไกเดิมๆ ที่ไร้ประสิทธิภาพในสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน จะทำให้แผนดังกล่าวมีสภาพเป็นเพียงเสือกระดาษอีกตัวหนึ่งหรือเปล่า คงต้องรอดูกันต่อไป

   คนไทยจะอยู่กับวิกฤตอย่างไร?

   ถ้าเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก วิกฤตก็จะแปรสภาพเป็นโอกาส อันที่จริง "ภัยพิบัติ" ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น พายุดีเปรสชัน น้ำท่วม ดินถล่ม ฯลฯ ล้วนเป็นพัฒนาการทางธรรมชาติ ที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มานาน และในอดีตไม่ได้ถูกมองว่าเลวร้ายอะไร ในสังคมตะวันออกที่มีวัฒนธรรมอยู่อย่างประสานกลมกลืนกับธรรมชาติ ภัยทางธรรมชาติที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไม่ได้ถูกมองว่า "เป็นปัญหา" เพราะมันเป็นของมันเช่นนั้นอยู่แล้ว มนุษย์ก็จัดสรร การดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับลักษณะทางธรรมชาติที่เป็นอยู่ ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป

   วิถีชีวิตของคนไทยในอดีต ก่อนที่เราจะรับเอาวิธีคิดแบบ "เอาชนะธรรมชาติ" ของตะวันตกมา เราก็อยู่อย่างกลมกลืนสอดคล้องกับภูมิอากาศในประเทศไทยมานาน การปลูกบ้านเรือนก็ปลูกแบบสอดรับกับธรรมชาติที่เป็นประเทศร้อน เป็นที่ลุ่มยกเรือนให้สูง หน้าน้ำเราก็อยู่กับน้ำได้อย่างมีความสุข เดินทางทางน้ำค้าขายทางน้ำ เทศกาลก็มีกิจกรรมต่างๆ กับน้ำ เวลาน้ำมา ก็ขนของหนีน้ำขึ้นเรือน ไม่เห็นต้องเดือดร้อนใจ มีเรือไว้เดินทางสัญจรไปมา เพียงแค่ยอมรับปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงชีวิตก็ลงตัว

   ปัญหาใหญ่ที่กลายเป็นวิกฤต เพราะคนติดสบายตามใจกิเลส ตามแนวคิดทุนนิยมตะวันตก จึงหักหาญ เอาชนะดัดแปลงเมืองเลยจุดที่ธรรมชาติจะยอมรับได้ ธรรมชาติก็เกิดการปรับสมดุลของตัวเองครั้งใหญ่ มนุษย์จึงรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนทางออกง่ายนิดเดียวใช้ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นเกราะกำบังชีวิต

   เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือเสาเข็มทางปัญญาที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตกผลึกทางความคิด จากประสบการณ์อันยาวนานของพระองค์เอง กลั่นกรองออกมาเป็นแนวคิดมอบให้กับพสกนิกรไทยใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการดำรงชีวิตท่ามกลางกระแส      "วิกฤตวันสิ้นโลก" แต่เมื่อทำดีถึงที่สุดก็ยังไม่หลุดพ้น ก็คงต้อง "ช่างหัวมัน"    หรือไม่?


ขอบคุณที่มาข้อมูล

http://pad.fix.gs/index.php?topic=2294.0

แม้ ความรู้อันน้อยนิด อาจช่วยชีวิต คนเป็น ร้อย