รู้ก่อนตรวจมะเร็งปากมดลูก

[guupost]

ในปัจจุบัน ผู้หญิงทั่วโลกโดยเฉพาะช่วงวัยตั้งแต่ 30-65 ปี ต้องเผชิญกับ "โรคมะเร็งปากมดลูก" ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นกว่าปีละ 466,000 คน และเสียชีวิตกว่าปีละ 231,000 คน ในเมืองไทยพบว่ามีผู้ป่วยจากโรคมะเร็งปากมดลูกมากเป็นอันดับสอง รองจากมะเร็งเต้านม โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยข้อมูลว่ามีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกประมาณ 4,500 รายต่อปี ทั้งยังพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 8,000 คนต่อปี อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยผู้หญิงหลาย ๆ ท่านอาจจะมีความไม่กล้าและไม่กล้าที่จะเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งอาจทำให้ละเลยอาการผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ อันเป็นสัญญาณที่ก่อให้เกิดโรคร้ายในอนาคต ทั้งนี้เพราะในความเป็นจริงแล้ว มะเร็งปากมดลูก นอกจากจะสามารถป้องกันได้แล้ว ยังสามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ก่อนเป็นมะเร็งระยะลุกลาม

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก คืออะไร?
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก คือ การตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกก่อนที่จะมีอาการ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการตรวจหาร่องรอยก่อนเป็นมะเร็ง การตรวจคัดกรองนี้จะทำให้ผู้หญิงสามารถป้องกันและรักษาอย่างใกล้ชิด ไม่ให้ความผิดปกติดังกล่าวพัฒนากลายเป็นมะเร็งปากมดลูก รวมไปถึงหากพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้น ก็จะสามารถทำการรักษาได้ทันท่วงที

ใครบ้างที่ควรตรวจมะเร็งปากมดลูก?
โรคมะเร็งปากมดลูก มีการศึกษาและผลยืนยันทางการแพทย์อย่างชัดเจนแล้วว่า สาเหตุสำคัญของโรคนี้นั้นเกิดจากเชื้อฮิวแมนแป๊ปปิโลม่าไวรัส (Human Papilloma Virus) หรือที่คุ้นหูกันว่า เชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถติดได้ทางเพศสัมพันธ์และการสัมผัส ด้วยเหตุนั้น ผู้หญิงทุกคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรเข้ารับการตรวจทุก 1-2 ปี เพื่อตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้น และตรวจภายใน เพื่อค้นหารอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง (Precancerous Lesion) อย่างน้อยควรตรวจทุกๆ 3 ปี

ผู้หญิงที่มีปัจจัยหรือพฤติกรรมดังนี้ ควรเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง
- ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ยังอายุยังน้อย หรือหลังจากมีประจำเดือนได้ไม่นาน จากสถิติ พบว่า คนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ มีโอกาสติดเชื้อ HPV 80-90% (อาจเป็นเชื้อที่ก่อมะเร็งหรือไม่ก่อมะเร็งก็ได้)
- ผู้หญิงที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้ชิดกับคนสูบบุหรี่ เนื่องด้วยการสูบบุหรี่ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง ซึ่งมีผลต่อการต่อสู้กับเชื้อไวรัสเอชพีวี
- ผู้หญิงที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือติดเชื้อเอชไอวี (Human immunodeficiency virus - HIV) ทั้งนี้เพราะระบบภูมิคุ้มกันเป็นระบบที่มีความสำคัญในการช่วยต้านเซลล์มะเร็งเพื่อไม่ให้เติบโตหรือแพร่กระจาย
- ผู้หญิงที่มีประวัติเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน อาทิ หนองใน ซิฟิลิส หรือเริม ก็เพราะว่าโรคดังกล่าวนี้มีผลต่อภูมิคุ้มกัน
- ผู้หญิงที่มีประวัติการตั้งครรภ์มากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ถือได้ว่าเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก
- ผู้หญิงที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนหลายคน

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาของเรื่องตรวจมะเร็งปากมดลูกต่อ หรืออ่านบทความเกี่ยวกับสุขภาพดี ๆ อีกมากมายได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.honestdocs.co/cervical-cancer-complete-guide