ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

สตรีนางหนึ่งในสมัยพุทธกาล

เริ่มโดย กิมหยง, 22:46 น. 25 ก.พ 55

กิมหยง

ก่อนหน้านี้รู้แต่เพียงนางคือผู้ถวายข้าวมธุปาญาติ
ซึ่งเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้
นับว่าเป็นบุญมากมาย

รู้แต่เพียงนั้น

ไม่เอะใจเลยว่า  เรื่องของนางผู้นี้ ไม่น่าจะธรรมดา

สร้าง & ฟื้นฟู

Ning Zaa


ฟ้าเปลี่ยนสี

 ส-ดีใจ ดูคลิปวีดีโอ ครับผม นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส

http://www.youtube.com/watch?v=xNyaSlHmtl8
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

Ning Zaa


wareerant

สุชาดา เป็นชื่อที่เพราะ และความหมายดี แต่คนสมัยนี้ไม่ใช้ชื่อนี้กันแล้ว เขาว่าเชย

กิมหยง

เรื่องของนางสุชาดา สตรีนางหนึ่งในพระพุทธศาสนา

[attach=1]

         นางสุชาดา เป็นธิดาของเสนียกุฏมพี (กุฏมพี  เศรษฐี, ผู้มีทรัพย์มาก)
ในหมู้บ้านเสนานิคม แห่งตำบนอุรุเวลา
เมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยสาวนางได้ทำพิธีบวงสวงต่อเทพยดาที่สิงสถิต
ณ ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งใกล้บ้านของนาง
โดยได้ตั้งปณิธานความปรารถนาไว้ ๒ ประการ คือ..

  ๑. ขอให้ข้าพเจ้าได้สามีที่มีบุญ มีทรัพยสมบัติ และชาติสกุลเสมอกัน
  ๒. ขอให้ข้าพเจ้ามีบุตรคนแรกเป็นชาย

ถ้าความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้ง ๒ ประการ สำเร็จสมบูรณ์แล้ว
ข้าพเจ้าจะทำพลีกรรมแก่ท่านด้วยของอันมีค่าหนึ่งแสนกหาปณะ


        ครั้นกาลต่อมา ความปรารถาของนางสำเร็จทั้งสองประการ
โดยได้สามีเป็นเศรษฐีมีฐานะเสมอกัน
และได้บุตรคนแรกเป็นชายนามว่า " ยสะ "
นางได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปจนลูกชายแต่งงานแล้ว
จึงปรารภที่จะทำพลีกรรมบวงสรวงสังเวยเทพยดาด้วยข้าวมธปยาสเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ให้นางทาสีสาวใช้ไปปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณโคนต้อนไทรนั้น

แก้บนด้วยข้าวมธุปายาส
 
       ขณะนั้น พระสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์ หลังจากเลิกการทรมานร่างกาย
หันมาเสวยพระกระยาหารหวังจะบำเพ็ญเพียรทางจิต
ประทับนั่งพักผ่อนที่ใต้ต้นไทรนั้น
ผินพระพักตร์ทอดพระเนตรไปทาทิศปราจีน (ตะวันออก)
มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายเป็นปริมณฑลดูงามยิ่งนัก
นางทาสีสาวใช้เห็นแล้วก็ตระหนักแน่ในจิตคิดว่า
คงเป็นเทพยดาเจ้า มานั่งคอยท่ารับเครื่องพลีกรรม
จึงมิได้เข้าไปทำความสอาดดังที่ตั้งใจมา
รีบกลับไปแจ้งแก่นางสุชาดา โดยด่วน

        ฝ่ายนางสุชาดาจึงรีบแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์อันงดงาม
เป็นที่เรียบร้อยแล้วยกถาดข้าวมธุปายาสขึ้นทูลศีรษะ
ออกจากบ้านพร้อมด้วยบริวารไปยังต้นไทรนั้น
ครั้นได้เห็นพระโพธิสัตว์งดงามเช่นนั้น
ก็เกิดโสมนัสยินดีสำคัญว่าเป็นรุกขเทวดามานั่งคอยรับเครื่องพลีกรรม
จึงน้อมนำเข้าไปถวายพร้อมทั้งถาดทองคำ

       เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงรับข้าวมธุปายาสแล้ว
เสด็จไปประทับที่โคนต้นศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตและได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในวันนั้น
หลังจากได้ปนะทับเสวยวิมุติสุข
คือสุขอันเกิดจากการตรัสรู้บริเวณใกล้ ๆ นั้นเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ รวม ๔๕ วัน
แล้วได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระปัจจวัคคีย์
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสี

ลูกชายหาย

       ในที่ไม่ไกลจากป่าอิสิปตนมฤคทาวันมากนัก
ตระกูลครอบครับของนางสุชาดาได้ตั้งอยู่บริเวณนั้น
เพราะตนเป็นตระกูลเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมาก
แต่มีบุตรชายเพียงคนเดียว
จึงเอาอกเอาใจบำรุงบำเรอบุตรด้วยกามคุณ ๕ อย่างพร้อมสรรพ
ด้วยหวังจะให้บุตรชายเป็นทายาทสืบสกุล
ได้สร้างปราสาท ๓ หลัง สำหรับเป็นที่อยู่ใน ๓ ฤดู
อีกทั้งมีสาวงามคอยขับร้องประโคมดนตรีขับกล่อมตลอดเวลา

       คืนหนึ่ง ยสะนอนหลับก่อนบริวารและสาวขับร้อง
ท่ามกลางแสงประทีปส่องสว่างอยู่
บรรดาหญิงนักขับร้องประโคมดนตรีทั้งหลายเห็นยสะนอนหลับแล้วจึงคิดว่า
บัดนี้เจ้านายก็หลับแล้วพวกเราจะขับร้องประโคมดนตรีกันเพื่อประโยชน์อะไร
จึงพากันเอนกายลงนอนหลับใหลไม่ได้สติ

       ยสะตื่นขึ้นมากลางดึกเห็นอาการอันวิปริตต่าง ๆ
ของหญิงนักดนตรีเหล่านั้นนอนกันไม่เป็นระเบียบ
บ้างก็นอนบ่นละะเมอเพ้อพึมพำ
บ้างก็นอนกรนดังเสียงกา
บ้างก็เปลือยกายไม่มีผ้าปิด
บ้างก็อ้าปากน้ำลายไหล ฯลฯ
ไม่เป็นที่เจริญจิตเจริญใจดังแต่ก่อน
ภาพเหล่านี้ปรากฏแก่ยสะดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ
เกิดความรู้สึกสลดรันทดใจ
และเบื่อหน่ายรำคาญป็นที่สุด
จึงเดินออกจากห้องเดินพลางบ่นพรางว่า   

" ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ"   

ออกจากห้องลงบันไดเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย
บังเอิญได้เดินไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์เสด็จเดินจงกรมอยู่
ได้สดับเสียงของยสะเดินบ่นมาเช่นนั้น จึงตรัสว่า

   " ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เธอจงเข้ามาที่นี่เราจะแสดงธรรมให้ฟัง"


ยสะจึงถอดรองเท้าแล้วเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์
ได้สดับพระธรรมเทศนาอุนุปุพพิกาถา
และอริยสัจ ๔ จบแล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

ยสะบรรลุพระอรหัตผล

        ฝ่ายทางบ้าน พอรู้ว่าลูกชายหายไปจึงรีบส่งคนออกติดตามทั่วทุกทิศ
บิดาเองก็ออกติดตามด้วย และบังเอิญเดินไปทางป่าอิสิปตนฤคทายวัน
เห็นรองเท้าลูกชายก็จำได้
จึงเข้าไปกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่าเห็นลูกชายมาทางนี้บ้างหรือไม่
พระพุทธองค์ทรงดำริว่า

  "ถ้าพ่อลูกได้เห็นหน้ากันก็จะเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม"

จึงทรงบันดาลด้วยฤทธิ์มิให้พ่อลูกเห็นกัน
ตรัสแก่เศรษฐีว่า

  " ท่านจงนั่งลงก่อนแล้วท่านจะได้เห็นลูกชายของท่าน"


แล้วทรงแสดงอนุปุพพิกา และอริยสัจ ๔   
ให้ท่านเศรษฐีฟัง ส่วนยสะก็ได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อจบลงเศรษฐีได้บรรลุพระโสดาบัน
ส่วนยสะได้บรรลุพระอรหัตผล
พระพุทธองค์ทรงทราบว่ายสะบรรลุพระอรหันต์
ไม่หวนกลับไปครองเพศฆราวาสอีกต่อไปแล้ว
จึงทรงคลายฤทธิ์ให้พ่อลูกได้เห็นกัน
เศรษฐีเห็นยสะลูกชายก็ดีใจ
อ้อนวอนให้กลับบ้าน ด้วยคำว่า

   "ยสะมารดาของเจ้าเศร้าโศกยิ่งนัก เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเข้าเถิด"

แต่พอทราบว่ายสะบรรลุ พระอรหันต์แล้ว
ก็อนุโมทนาและขอแสดงตนเป็นอุบาสก
ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ตลอดชีวิต ได้ชื่อว่า

    " เป็นอุบาสกคนแรก ที่ถึงพระรัตนตรัย"

แล้วกราบทุลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยยสะ
ให้ไปรับอาหารบิณฑบาตที่เรือนของตนในเช้าวันนั้น
เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับอาราธนาแล้ว
จึงกราบทูลลากลับบ้านไปแจ้งแก่ภรรยาและบริวารในบ้านให้จัดเตรียมอาหาร
เพื่อถวายพระบรมศาสดาและยสะ ฝ่ายยสะ
เมื่อบิดากลับไปแล้ว กราบทูลพระพุทธขออุปสมบท
พระพุทธองค์ทรงประทานด้วยพระดำรัสว่า

   " เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด"

โดยไม่มีคำว่า

   " เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ"

เหมือนกับที่ประทานแก่พระปัญจวัคคย์
เพราะว่ายสะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ตั้งแต่ก่อนบวชนั้นเอง
การอุปสมบทแบบนี้เรียกว่า

    " เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

เช้าวันนั้น พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระยสะ
เสด็จไปยังเรือนของเศรษฐีตามคำอาราธนนา
ประทับบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้
มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะได้ช่วยกับถวายภัตตาหาร
เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔
ให้สตรีทั้งสองฟัง

เมื่อจบทั้งเธอสองก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันในพระพุทธศาสนา
แสดงตนเป็นอุบาสิดา ขอถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
เธอทั้งสองได้ชื่อว่า

     " เป็นอุบาสิกาคนแรกหรือรุ่นแรกที่ถึงพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา"

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องนางสุชาดา (มารดาของพระยสะ)
ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า
เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในฝ่ายผู้ถึงพระรัตนตรัยก่อนอุบาสิกาทั้งปวง..

จาก http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/tere14.html
สร้าง & ฟื้นฟู

noy99

 ส.อ่านหลังสือ ส.ใส่แว่นกันแดด
ส.บ๊ายบายฝาก..เว็บญาณทิพย์ด้วยค่ะ www.yantip.com นามแฝง แม่คุณ...พบกันนะคะ ส.ตากุลิบกุลิบ ส.บายใจ ส.แลบลิ้น

กิมหยง

สตรีนางต่อไป นางวิสาขา ดูเหมือนนางจะมีบุญและได้บุญอย่างท้วมท้นเลย
สร้าง & ฟื้นฟู