ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด‘ทรงตัว’ ที่33.32บาทต่อดอลลาร์

เริ่มโดย deam205, 14:53 น. 20 ส.ค 64

deam205



นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้(20ส.ค.) ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.35 บาทต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้ามองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.30-33.45 บาทต่อดอลลาร์

ในส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าหนัก แต่เงินบาทกลับไม่ได้อ่อนค่าตามไปมาก ซึ่งเรามองว่า มาจากแรงขายเงินดอลลาร์จากโฟลว์การทำธุรกรรมของผู้ส่งออกบางส่วน รวมถึง การขายทำกำไรสถานะ Shorts ค่าเงินบาทของผู้เล่นในตลาด หลังจากที่ผู้เล่นบางส่วนเริ่มมองว่า สถานการณ์การระบาดในไทยใกล้จะถึงจุดเลวร้ายสุด

อย่างไรก็ดี เราคงมองว่าค่าเงินบาทยังมีโอกาสผันผวนและอ่อนค่าลงจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 รวมถึงโมเมนตัมขาขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ยังมีอยู่จากทั้งความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และแนวโน้มการทยอยลดคิวอีในปีนี้ของเฟด ซึ่งเรามองว่าประเด็นเฟดทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องหรือลดคิวอี อาจส่งผลต่อการจัดพอร์ตของนักลงทุน ทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจทยอยลดการลงทุนในภูมิภาค EM Asia ชั่วคราว เนื่องจากอาจกลัวผลกระทบจากการประกาศปรับลดคิวอีของเฟดจะเหมือนเหตุการณ์ QE Taper Tantrum ในปี 2013

ทั้งนี้ แนวต้านของค่าเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเชื่อว่า ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ต่างรอคอยที่โซนดังกล่าวเพื่อทยอยขายเงินดอลลาร์ ชณะที่ แนวรับสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจเห็นผู้นำเข้า ทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ได้ หากระหว่างวันค่าเงินบาทมีการแข็งค่าเข้าใกล้โซนดังกล่าว (Buy on Dip) ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบที่กว้าง จึงทำให้ หากมีโฟลว์การทำธุรกรรมขนานใหญ่เข้ามา อาจกดดันให้ค่าเงินผันผวนสูงระหว่างวันได้

ผู้เล่นในตลาดการเงินยังคงถูกกดดันจากทั้งความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 รวมถึงแนวโน้มเฟดทยอยลดคิวอีในปีนี้ ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าทยอยเทขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง สินทรัพย์ในธีม Reopening & Cyclical plays กดดันให้ ทั้งหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ต่างปรับตัวลดลงหนัก ในขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น บอนด์ รวมถึง เงินดอลลาร์ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้

ในฝั่งสหรัฐฯ แนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ลดลงสู่ระดับ 3.48 แสนราย น้อยกว่าที่ตลาดมองไว้ที่ 3.63 แสนราย ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนให้ตลาดมองว่า เฟดมีแนวโน้มทยอยลดคิวอีได้ในปีนี้ หากตลาดแรงงานฟื้นตัวดีขึ้นตามความต้องการของเฟด ซึ่ง "รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด" ได้กดดันบรรยากาศการลงทุนให้อยู่ในโหมดระมัดระวังตัว ส่งผลให้ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงออกมาโดยเฉพาะ หุ้นในธีม Cyclical กดดันให้ ดัชนี Downjones ปิดตลาดลดลงกว่า -0.19% นอกจากนี้ ภาวะตลาดระมัดระวังตัว ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงกว่า 2bps สู่ระดับ 1.24% หนุนให้ หุ้นในกลุ่มเทคฯ ต่างปรับตัวขึ้น ช่วยให้ ดัชนี S&P500 รวมถึง ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดตลาด +0.13% และ +0.11% ตามลำดับ

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับฐานหนักกว่า -1.54% ตามแรงขายทำกำไร หุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย Kerings -9.5%, Louis Vuitton -6.4% กลุ่มยานยนต์ Daimler -3.4%, BMW -3.1% รวมถึง หุ้นกลุ่มการเงิน BNP Paribas -2.7%, Santander -2.7% ขณะที่ มีเพียงหุ้นในกลุ่มเทคฯ อย่าง Adyen +5.8% ที่สามารถปรับตัวขึ้นสวนตลาดจากแนวโน้มผลกำไรแข็งแกร่งและแรงหนุนจากบอนด์ยีลด์ที่อยู่ในระดับต่ำ

ทางด้านตลาดค่าเงิน โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงได้รับแรงหนุนจากความต้องการหลุมหลบภัยความผันผวนในตลาด (Safe Haven asset) ส่งผลให้เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) เดินหน้าปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 93.57 จุด นับเป็นการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่สูงที่สุดในรอบ 9 เดือนกดดันให้ สกุลเงินหลัก อาทิ เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.168 ดอลลาร์ต่อยูโร ซึ่งเราคงมุมมองว่า เงินยูโรที่ระดับดังกล่าว เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากปัญหาการระบาดของเดลต้าในยุโรปไม่ได้มีความน่ากังวลมากนัก และเศรษฐกิจก็พร้อมจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น ดังนั้น หากนักลงทุนหรือผู้ประกอบการมีภาระต้องแลกซื้อเงินยูโร ก็สามารถเริ่มพิจารณาทยอยซื้อเงินยูโรได้เนื่องจากเงินยูโรได้อ่อนค่าลงมาในโซนแนวรับสำคัญแล้ว

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก โดยในฝั่งประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจกดดันให้ตลาดเข้าสู่สภาวะปิดรับความเสี่ยง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยิ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มสถานะถือครองเงินดอลลาร์เพื่อหลบความผันผวนชั่วคราวได้

นอกเหนือจากประเด็นสถานการณ์การระบาดของเดลต้าทั่วโลก ในฝั่งยุโรป ตลาดประเมินว่า การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของชาวอังกฤษมากนัก โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) อาจโตถึง +5.8%y/y ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งการฟื้นตัวต่อเนื่องของการบริโภคนั้นหนุนโดยการเดินหน้าเปิดประเทศ ไปพร้อมกับเร่งคุมสถานการณ์การระบาด ผ่านการเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก และ การเร่งแจกจ่ายวัคซีนประสิทธิภาพสูง