ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

อันตรายจากการกิน “บอแรกซ์”

เริ่มโดย sezkcarn, 15:24 น. 15 มี.ค 65

sezkcarn



ผู้ชำนาญแนะ บอแรกซ์ อันตรายต่อสุขภาพ หลังมีกระแสเสนอแนะให้กินกันเยอะขึ้นในโลกออนไลน์ คนที่รับประทานบอแรกซ์อาจมีอาการอ่อนแรง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นพิษต่อไตและก็สมอง ขึ้นกับปริมาณที่กิน

ในโลกออนไลน์มีการชักชวนให้บริโภค "บอแรกซ์" โดยอ้างคุณประโยชน์ว่าช่วยกระตุ้นฮอร์โมนทางเพศ แล้วก็ดีต่อสุขภาพ แม้กระนั้นในทางวิทยาศาสตร์แล้วก็การแพทย์แล้ว บอแรกซ์เป็นสิ่งให้โทษต่อสถาพทางร่างกาย

ข้อมูลที่ได้รับมาจาก เพจเฟซบุ๊ก อ้อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง by คุณครูเจษฎ์ ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ คุณครูประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงแขนณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็เพจ หมอแล็บแพนด้า ต่างก็กล่าวว่า บอแรกซ์เป็นสารเคมีที่ไม่สมควรที่จะนำมาบริโภคเยอะเกินไป หรือตลอดนานเกินไป และไม่ควรจะเน้นบริโภคในเชิงเป็นอาหารเสริม เพื่อสุขภาพแต่อย่างใด

บอแรกซ์ เป็นยังไง
บอแรกซ์ ชื่อว่า โซเดียมโบเรท (Sodium Borate) หรือที่เราเรียกกันว่าผงกรอบหรือบอแร็ก เป็นสารเคมีที่มีลักษณะเป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสขมน้อย มีชื่ออื่นๆอีก อาทิเช่น บอแร็ก สารข้าวตอกแตก ผงกันบูด จ้องดูแซ เม่งแซ ผงเนื้อนิ่ม

บอแรกซ์ เป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรม ดังเช่นว่า ใช้ทำแก้วเพื่อทำให้ทนความร้อน เป็นสารผสานสำหรับเพื่อการเชื่อมทองคำ รวมทั้งเป็นสารยั้งการก้าวหน้าของเชื้อราในแป้งทาตัว ฯลฯ

อันตรายของบอแรกซ์
มีการนำบอแรกซ์มาใช้ผิดจุดประสงค์โดยนำมาผสมในอาหาร เพื่ออาหารมีความหยุ่นกรอบ คงตัวได้นาน ไม่บูดเสียง่าย อาหารที่พบได้บ่อยว่ามีสารบอแรกซ์ ดังเช่น หมูบด ลูกชิ้น ทอดมัน หมูสด เนื้อสด ไส้กรอก ผลไม้ดอง ทับทิมกรอบ ขนมลอดช่อง ฯลฯ

บอแรกซ์ ทำให้เป็นอันตรายในของกิน (food hazard) จำพวกอันตรายทางเคมี (chemical hazard) เป็นสารเคมีห้ามใช้ในของกิน (prohibit substances) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 151 (พุทธศักราช 2536) เรื่องวัตถุที่ห้ามใช้ในของกิน

พิษของสารบอแรกซ์ เกิดได้สองกรณี คือ

พิษแบบเฉียบพลัน จะมีลักษณะอาการอ้วก อ้วก ผู้ใหญ่ ได้รับสารบอแรกซ์ 15 กรัม รวมทั้ง เด็ก ได้รับ 5 กรัม จะก่อให้คลื่นไส้เป็นเลือดรวมทั้งถึงแก่เสียชีวิตได้ ข้างใน 3-4 ชม.
พิษแบบเรื้อรัง จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวหนังแห้ง เค้าหน้าบวม เยื่อตาอักเสบ รวมทั้งตับไตอักเสบ
ความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ขึ้นกับปริมาณที่กินเข้าไปภายในร่างกาย

บอแรกซ์ มีสาระไหม
จากที่มีการอ้างสรรพคุณของบอแรกซ์ว่าใช้ผสมกับสารเคมีตัวอื่นๆเพื่อใช้ผลิตยาหยอดตา รวมถึงยาลดอาการปวดบวม ซึ่งล้วนแต่ใช้ด้านนอกร่างกาย แม้กระนั้นเวลาเดียวกัน หลายข้อที่อ้างถึงว่ารับประทานบอแรกซ์แล้วได้ประโยชน์นั้น (ยกตัวอย่างเช่น คุ้มครองปกป้องโรคไขข้อ จัดการกับปัญหาฮอร์โมนเพศ) ทาง Lybrate เพจสุขภาพของประเทศอินเดีย อ้างอิงจากตำราเรียนยาจีน รวมทั้งแบบเรียนยาประเทศอินเดียโบราณที่ชื่อว่า คัมภีร์อายุรเวท AYURVEDA โดยอ้างถึงบทความเรื่อง Utilization of Borax In The PharmaceuticoTherapeutics of Ayurveda in India พิมพ์ในนิตยสาร Indian Journal of History of Science (นิตยสารประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ของอินเดีย) ซึ่งบทความนี้เรียบเรียงหัวข้อการนำเอาบอแรกซ์มาใช้ในสมัยอินเดียโบราณกว่า 5 พันปีก่อนไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าสามารถนำมาใช้ได้ผลจริง ด้วยหลักฐานด้านการแพทย์ในตอนนี้

ในเวลาที่ รายละเอียดบทความส่วนที่พูดถึงเรื่องผลกระทบและอาการแพ้ของบอแรกซ์นั้น ทางเพจได้อ้างถึงบทความเรื่อง Toxicologic studies on borax and boric acid. จากนิตยสาร Toxicology and applied pharmacology ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์ด้านพิษวิทยาและก็เภสัชศาสตร์ ที่มีความน่าไว้วางใจใช้ได้ และตรงกับองค์ความรู้ทั่วๆไปในตอนนี้ที่เรามี ว่าบอแรกซ์เกิดอันตรายอย่างไรบ้าง

ซึ่งทางเพจ Lybrate เอง ก็สรุปเนื้อหาเกี่ยวกับผลกระทบของบอแรกซ์ไว้ว่า "โดยทั่วไปแล้วไม่แนะนำให้บริโภคบอแรกซ์เข้าไป แล้วการใช้ข้างนอกนั้น ก็กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความระคายต่อผิวได้ไพเราะเพราะพริ้งมันมีความเป็นด่างสูง ยังมีรายงานอีกด้วยถึงผลจากการลบต่อระบบขยายพันธุ์และการเติบโตของทารกในครรภ์ และยังไม่ชี้แนะให้ใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอีกด้วย เพราะว่ามันเป็นไปได้ที่จะทำให้ไตทำงานเปลี่ยนไปจากปรกติจากการที่บอแรกซ์สะสมภายในร่างกาย พิษของบอแรกซ์ยังสามารถทำให้มีการเกิดความเมื่อยล้าและอาเจียน ฯลฯ"

เพราะฉะนั้น โดยรวมแล้ว การกล่าวอ้างว่าบอแรกซ์มีประโยชน์ต่อร่างกายกระทั่งเอามาเป็นกระแสความเชื่อกันนั้น ส่วนใหญ่ก็คืออ้างตามศาสตร์การแพทย์ประเทศอินเดียโบราณ ไม่ใช่กรรมวิธีใช้เป็นยา ตามความรู้ด้านการแพทย์ของพวกเราในปัจจุบันแต่อย่างไร แล้วก็ยังเสี่ยงส่งผลข้างๆต่อร่างกายด้วย

อ่านบทความอื่นๆ