ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

วาทะกรรม"ประธานศาลรัฐธรรมนูญ"

เริ่มโดย ฟานดี้, 16:49 น. 18 เม.ย 55

ฟานดี้

"คนเรามันไม่เคยมีความพอใจในอะไร ทำผิดกฎหมายแล้วก็อ้างว่ากฎหมายนั่นแหละผิด ทำผิดกฎหมายแล้วก็อ้างว่าไม่ใช่ นั่นทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม มีวาทกรรมแปลกๆ เพิ่งเคยเห็น สมมติว่าท่านมีไม้เถื่อนไว้ในครอบครอง ถูกตำรวจจับ ท่านลองไปเถียงตำรวจสิครับ เฮ้ย ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายนะ เพียงแต่กฎหมายมันห้ามมีไม้เถื่อนไว้ในครอบครองเท่านั้น ผมทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามเท่านั้นเอง อย่าจับผมเลย ท่านลองไปเถียงตำรวจดูสิครับ ดูสิว่าตำรวจเขาจะฟังท่านไหม"

นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ,การสัมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ 14 ปี ศาลรัฐธรรมนูญ

ขำเลยก๊าบบ..555

ฟ้าเปลี่ยนสี

 ส.ตากุลิบกุลิบ ผมชื่นชมและชื่นชอบท่านจริงๆครับท่านวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์  ส.ยกน้ิวให้
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

puiey

สนับสนุนคำพูดของท่านด้วยครับ เพราะว่าพวกนั้นมันใช้คำพูดที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอย่างเดียว
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

ถูกผิด

ใช่ครับกฎหมายคือตัวอักษรที่ตราเป็นกฏข้อบังคับของมนุษย์ กฏหมายประเทศเจริญแล้วมีมาเป็นร้อยปีไม่เคยแก้ไขในบทบัญญัติหลักโดยคณะทหาร คณะปฏิวัติใด ๆ  แต่คณะตุลาการของเขาก็ยังคงความยุติธรรมมาได้โดยไม่ทำให้เกียรติยศของตนมัวหมอง

ตรงข้ามกับประเทศด้อยพัฒนาทางปัญญาบางประเทศ แก้กฏหมายแทบทุกปี แก้รัฐธรรมนูญมาจะสามสิบฉบับแล้ว แต่มโนสำนึกในความเที่ยงครงกลับเสื่อมสลายลงไปทุกวัน เหมือนเปลวเทียนที่แทนที่จะให้แสงสว่างชี้ทางให้ผู้ทุกข์ยาก กลัยกัดกินเกียรติยศของตนลงไปเรื่อยๆ จนถึงวันมอดดับเข้าสักวัน...

ถ้าทำได้ดังพูด  แก้ที่ตัวคนพูดเป็นคนแรกครับแล้วค่อยไปสอนคนอื่น...

นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ดูเรื่องพวกนี้แล้วพูดใหม่ซิ
1.วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยผิดกฏหมาย หรือว่ากฏหมายเขียนผิด

การลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญของนายชัช ชลวร และการที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้คัดเลือกนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญมาตรา 204 บัญญัติให้องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยประธานศาลคนหนึ่ง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 8 คน ซึ่งมาจากการแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา โดยคณะตุลาการนี้ประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ตุลาการปกครองสูงสุด 2 คน เป็น 5 คน มีผู้เชี่ยวชาญนิติศาสตร์ 2 คน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรัฐศาสตร์อีก 2 คน รวมเป็น 9 คน ซึ่งพอได้ 9 คนนี้มา ก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง 9 คนนี้จะต้องมาประชุมกันเพื่อเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจึงแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ จากนั้นประธานวุฒิสภาจึงนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการรัฐธรรมนูญ

"หมายความ นาย ก. ที่ได้รับการคัดสรรให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่เดิม ได้ไปเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
ส่วน นาย ข. นาย ค. และ คนอื่นๆ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

"ปัญหาก็คือตอนลาออก จะลาออกอย่างไร
ซึ่งการพ้นจากตำแหน่งนั้น มีบทบัญญัติเอาไว้ในมาตรา 209 ว่า

นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระ ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(1) ตาย
(2) มีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์
(3) ลาออก

ทีนี้หากสมมติว่ามีการลาออก ผลของการลาออกจะเกิดผลตามมา คือต้องมีการคัดเลือกคนเข้ามาแทนคนที่ลาออกไป
ซึ่งรัฐธรรมนูญก็กำหนดต่อมาในมาตรา 210 วรรค 2 ให้สรรหาใหม่จากที่มาแต่เดิม เช่น หากคนที่ลาออกมาจากสายศาลฎีกา ศาลฎีกาก็ต้องเลือกคนเข้ามาแทนคนลาออก ถ้ามาจากสายศาลปกครอง ศาลปกครองก็ต้องส่งมา ถ้าสายนิติศาสตร์ก็ต้องมีกรรมการเข้ามาประชุมแล้วคัดเลือกเข้ามาแทนที่

"แต่ไม่มีกรณีที่บอกให้ 'ประธานศาลรัฐธรรมนูญ' ลาออกแล้ว ก็ให้คงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่เลย
ถ้าดูจาก 210 วรรค 2 เวลาที่ลาออก คือ หมายถึงการลาออกจากความเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ลาออกจากความเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ พูดง่ายๆ คือ 

ในระบบที่เราตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญแบบนี้
ประธานศาลจะไม่สามารถลาออกจากตำแหน่งประธานได้ คือ ถ้าจะลาออก ต้องออกไปจากศาลรัฐธรรมนูญเล
เพราะระบบมันวางไว้แบบนี้ แล้วระบบที่วางไว้แบบนี้ก็สอดคล้องกับหลักอยู่
เพราะจะเป็นเรื่องที่ประหลาดมากๆ
ถ้าหากวันหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วอยู่ๆก็ลาออก 
แล้วไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเฉยๆอย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญทำอยู่นี้ จะมาผลัดกันเป็นไม่ได้"

หากการตีความว่า การลาออกนี้เป็นลาออกจากความเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
ผลก็คือ ขณะนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นเหลืออยู่เพียง 8 คน
การที่คุณชัช ชลวรเข้าไปนั่งประชุมด้วย จึงหมายความว่า
มีคนที่ไม่ได้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปนั่งประชุม ปรึกษา หรือพิจารณาอะไร
ซึ่งหากมีมติอะไรออกมา ก็เท่ากับว่า มตินั้นมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย

ลักษณะเช่นนี้มีอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
หรือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คือ
เป็นการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการไปพร้อม
ซึ่งจะต่างจากศาลปกครอง หรือศาลฎีกา ที่มีการโปรดเกล้าฯ ผู้พิพากษาศาลฎีกาในชั้นหนึ่งก่อน และต่อมาหากผู้ใดได้รับเลือก จึงมีการโปรดเกล้าฯประธานอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อถามว่า การตีความเช่นนี้ เป็นปัญหาเรื่องความชอบธรรมที่ได้รับจากการโปรดเกล้าฯ หรือเป็นเรื่องพิธีการมากกว่า คือไหนๆ จะต้องทูลเกล้าเพื่อโปรดเกล้าฯ แล้วทำไปทีเดียวเลย

"เรื่องนี้ไม่ใช่แค่พิธีการ ลองนึกภาพดูว่า หากทำอย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญทำอยู่นี้ คือมีประธานลาออกต่อที่ประชุมตุลาการ พอลาออกก็อนุมัติให้ท่านออก แล้วให้ท่านทำหน้าที่ประธานชั่วคราว หลังจากนั้นก็เลือกคุณวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ขึ้นมาเป็นประธาน แล้วส่งชื่อให้ประธานวุฒิสภานำความโปรดเกล้า

ผมถามว่า โปรดเกล้าฯ คราวนี้ โปรดเกล้าฯใคร เพราะว่าตอนตั้งเข้ามามีโองการโปรดเกล้าฯ คือมีคำสั่งตั้งตามกฎหมาย
แต่ตอนออกนั้นไม่มีคำสั่งออก เพราะตอนตั้งได้ตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา แต่ตอนออกยังไม่มีการให้ออก หมายความว่าตอนที่โปรดเกล้าฯ ต้องโปรดเกล้าเฉพาะคุณวสันต์ สร้อยวิสุทธิ์ขึ้นเป็นประธานศาลคนใหม่ หรือต้องโปรดเกล้าคุณชัช ชลวร ให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกทีด้วยพร้อมกัน"

โดยหลักจึงทำไม่ได้
เพราะในเชิงระบบได้ออกแบบมาให้เป็นแบบนี้ คือเป็นประธานแล้วก็เป็นยาวไปเลย คืออยู่ไปจนหมดวาระ หรือตาย หรืออายุครบ 70 ปี หรือไม่ก็ลาออก (จากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

"คือถ้ามีบทบัญญัติ ว่าด้วยการลาออกจากประธานศาลโดยเฉพาะนี่ อันนี้ทำได้เลย
เพราะรัฐธรรมนูญยอมรับให้พ้นตำแหน่งเฉพาะประธานได้
ซึ่งระบบกระบวนการแต่งตั้งก็จะเป็นอีกแบบ
แต่เรื่องการลาออกนี้ไปอยู่ในมาตรา 209 คู่ไปกับการพ้นจากตำแหน่งในกรณีอื่นๆ คือ
เมื่อ (1) ตาย (2) อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ (3) ลาออก
ซึ่งการลาออกนี้ เราอ่านไม่ได้ว่าพ้นตำแหน่งเมื่อตาย ตายจากตำแหน่งประธาน
แล้วให้มาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งการลาออกนี้อยู่ในมาตรานี้  มาตราเดียวกัน จึงต้องตีความไปในแนวทางเดียวกันว่า
ต้องพ้นไปเลย คือลาออกแล้ว
พ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเลย ไม่ใช่พ้นแต่เฉพาะตำแหน่งประธาน"

"ถ้าไม่มองจากบ้านเรา ดูจากแนวของต่างประเทศ
ถ้าเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็ไม่เคยเห็นการลาออกจากตำแหน่งประธาน
แล้วมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญธรรมดา
มันไม่มี ไม่เคยเห็นที่ไหนทำแบบนี้ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ 
เพราะถือว่า ถ้าเป็นแล้วก็คือยาว
เพราะจริงๆ แล้ว การเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นถือว่าสูงสุด
แล้ว ตำแหน่งประธานซึ่งเป็นตำแหน่งในเชิงบริหาร เป็นผู้นำองค์กรซึ่งไม่มีผล คือ
ในบางประเทศตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่านก็มีชื่อเสียง
ได้รับการยอมรับสูงกว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญอีกก็เป็นไปได้ด้วย
เพราะถือว่าเท่ากัน เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกัน

ทีนี้บ้านเรา ผมว่าอาจจะเป็นวิธีคิด เป็นวัฒนธรรมความคิดแบบไทย
เท่าที่ทราบ คล้ายๆ กับว่ามีการตกลงกันก่อนไว้หรือเปล่าว่า
จะอยู่ในตำแหน่งเท่านี้ แล้วจะเปลี่ยนให้คนอื่นขึ้นมาเป็น
ซึ่งหากตีความตามรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่น่าจะถูก"

อย่างไรก็ตาม
เมื่อถามว่าแล้วองค์กรไหนจะมีหน้าที่ทำให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมายนี้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่พิจารณาตีความรัฐธรรมนูญมีปัญหาในข้อกฎหมายเสียเอง

เห็นว่าต้องเป็นประธานวุฒิสภาที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้
"ประธานวุฒิสภาต้องทำความเห็นกลับไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ต้องปรึกษาฝ่ายกฏหมาย เพราะมีหน้าที่ที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ จึงต้องรับผิดชอบในแง่นี้ สมมติว่ากระบวนการไม่ถูกต้องแล้วจะทำอย่างไร ประธานวุฒิสภาก็ต้องมีสิทธิ หากเห็นว่าไม่ถูกต้อง จะให้ประธานวุฒิสภานำขึ้นทูลเกล้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขณะนี้ ความกดดันจะไปอยู่ที่วุฒิสภา อยู่ที่ว่า ประธานวุฒิสภาจะว่าอย่างไร

"นอกจากตัวประธานวุฒิสภาแล้ว อีกองค์กรหนึ่งก็น่าจะเป็นที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะคุณชัชมาจากสายศาลฎีกา 
โดยเหตุที่กรณีนี้มีปัญหาเกี่ยวพันกับอำนาจของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในการเสนอบุคคลมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะฉะนั้นศาลฎีกาอาจจะต้องประชุมกันเพื่อพิเคราะห์ประเด็นนี้ แล้วเสนอความเห็นไปที่ประธานวุฒิสภา" กล่าว

2.คณะตุลาการรัฐธรรมนูญถูกแต่งตั้งโดยคนเพียงกลุ่มเดียวที่เป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติปี 2549  ที่มาที่ไปก็ไม่ถูกต้องชอบธรรม ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว ไม่ได้มาจากระบบรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตย แต่มาจากการแต่งตั้งของพวกทหารที่ยึดอำนาจของประชาชน เขาเรียกคุณว่า *ไข่ คมช.*

3.กรณี "คลิปลับ" ที่บันทึกการสนทนาระหว่างตุลาการและเจ้าหน้าที่ศาลบางคนเกี่ยวกับการนำ "ข้อสอบ" ให้คนรู้จักไปอ่าน สุดท้ายจริงเท็จอย่างไรก็ยังคงลึกและลับจนถึงบัดนี้

4.กรณีการตีความไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองคดีเมื่อปลายปี ๒๕๕๓ (คดีเงิน ๒๙ ล้านบาท และคดีเงิน ๒๕๘ ล้านบาท) ซึ่งแม้ศาลเดียวกันจะตัดสินทั้งสองคดีในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ก็ยังลึกลับอยู่ว่าเหตุใดกลับตีความประเด็นเดียวกันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง (ดู http://bit.ly/qLeK63)

แค่นี้ก่อน

ผมโง่

กฎหมายคนธรรมดารู้แค่ไหน ขนาดนักกฎหมายยังมองไม่เหมือนกัน แหละที่สำคัญคนที่รู้กฎหมายจะนำไปใช้ทางไหน ใช้ทางที่ดีมันก็ดี ใช้ในทางที่ชั่วมันก็ชั่ว

ผมกลับโง่กว่า

อ้างจาก: ผมโง่ เมื่อ 19:58 น.  22 เม.ย 55
กฎหมายคนธรรมดารู้แค่ไหน ขนาดนักกฎหมายยังมองไม่เหมือนกัน แหละที่สำคัญคนที่รู้กฎหมายจะนำไปใช้ทางไหน ใช้ทางที่ดีมันก็ดี ใช้ในทางที่ชั่วมันก็ชั่ว

ใช้ทางที่ดีมันก็ดี

ใช้ในทางที่ชั่วมันก็ชั่ว

ผมกลับโง่กว่า

แล้ว จริงๆ กฏหมาย

มัน ดี หรือ ชั่ว ครับ

ใครอธิบายได้บ้าง ?

Darksidemoon

.



...ขาว ว่า ดำ


ดำ ว่า ขาว



...ใครขัดแย้ง..ตาย.. ส.โอ้โห ส.โกรธอย่างแรง

ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่

อ้างจาก: Darksidemoon เมื่อ 10:51 น.  23 เม.ย 55
.



...ขาว ว่า ดำ


ดำ ว่า ขาว



...ใครขัดแย้ง..ตาย.. ส.โอ้โห ส.โกรธอย่างแรง

ที่พูดนี่ ต้องมีปฏิวัติอีก แน่นอน

ผมโง่

 - ในสังคมทุกสังคมไม่ว่าคนหรือสัตว์ มันต้องมีกฎ ระเบียบ กติกา เพราะถ้าไม่มีคงนึกภาพแลวุ่นวายมากหว่านี้แน่นนอน ขนาดมีกฎหมายขอห้ามแล้วไม่ยังไม่ทำตามกฎ ก็ยังวุ่นวาย สรุปถ้าทุกคนทำตามกฎ คงจะวุ่นวายน้อยที่สุด จะไม่วุ่นวายเลยคงอยากเพราะจิตใจของคนไม่เหมือนกัน หรือสิ่งแวคล้อม และสังคมไม่เหมือนกัน
- กฎหมายมีเป็นร้อยๆข้อ ใครอีกศึกษาและจำได้หมด ขนาดนักกฎหมายยังมองไม่เหมือนกัน
- เอาง่ายๆ ถ้ารักษาศีล 5 ข้อ ของพระพุทธเจ้าได้ ผมว่า ความวุ่ยวายลดน้อยลงแน่นอน แต่ว่ายังรักษากันไม่ได้ครับ