ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

พิษณุโลกเกิด"ไฟระอุใต้พื้นดิน"กินพื้นกว้างชาวบ้านเจ็บ-สัตว์เลี้ยงตาย

เริ่มโดย ฅนสองเล, 15:40 น. 25 เม.ย 55

ฅนสองเล

โดย มติชนออนไลน์ วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 12:06:47 น.

เมื่อวันที่ 25 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ป้องกันและป้องกันสาธารณภัยจังหวัดพิษณุโลก และเจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 3 เข้าตรวจสอบบริเวณหมู่ 9 บ้านเนินตาโนน ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก จุดที่เกิดไฟระอุอยู่ใต้พื้นดินกินพื้นที่กว้าง 100 ตารางวา ริมถนนสายนครไทย-ด่านซ้าย พบซากสุนัขถูกไฟคลอกจนไหม้เกรียม และพบรอยแยกของพื้นดินความลึก 50 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร เมื่อนำเศษไม้และกระดาษโยนลงไปเกิดไฟลุกไหม้ทันที นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้าน 3 คน ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกไฟลวกที่ฝ่าเท้า วัวตาย 1 ตัว รวมทั้งสุนัขและแมว

สำหรับพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นโรงเลื่อย คาดว่าขี้เลื่อยที่ทับถมกันมานาน ประกอบกับอุณหภูมิโลกสูงขึ้น อาจทำให้เกิดการปฏิกิริยาสันดาปจากคลื่นความร้อนกระทบกับขี้เลื่อย จนเกิดประกายไฟ

ล่าสุด เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกะท้าวได้นำเชือกมาล้อมกันพื้นที่ พร้อมเขียนป้ายห้ามเข้าเขตอันตราย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาพิสูจน์ถึงสาเหตุของการเกิดไฟระอุใต้พื้นดินครั้งนี้

ซุปเปอร์ฮีโร่


นายไข่นุ้ย

DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)

เพื่อมวลมนุษยชาติ

ถ้าให้มองอีกมุมนึง คงจะเป็นกลียุคแล้วเป็นแน่ ดังที่ว่า "คนเมืองจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้าเมือง" ขยายความได้ว่า .....
กลียุค (อ่านว่า กะ -ลี-ยุก) มาจากคำภาษาสันสกฤตว่า กลิยุค (อ่านว่า กะ -ลิ-ยุ-คะ) แปลว่า ยุคซึ่งมีชื่อว่ากลี (อ่านว่า กะ -ลี), ยุคที่โชคร้าย, ยุคที่มีแต่การทะเลาะวิวาท ในภาษาสันสกฤต คำว่า กลิ (อ่านว่า กะ -ลิ) ซึ่งกลายมาเป็น กลี ในคำว่า กลียุค เป็นชื่อยุคที่คนอินเดียโบราณเชื่อว่าเป็นยุคสุดท้ายก่อนที่โลกและจักรวาลจะถูกทำลายลง
กลียุคเป็นยุคที่ธรรมะตกต่ำ คนชั่วมีจำนวนมากกว่าคนดี คนดีจึงโชคร้าย เพราะมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็พบแต่คนชั่ว. ในภาษาไทยคำว่า กลียุค มักใช้เป็นคำเปรียบ เรียกช่วงเวลาที่บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะไร้ขื่อแป เช่น ยามที่บ้านเมืองตกอยู่ในกลียุค สุจริตชนก็ต้องอยู่อย่างหวาดผวา.     
คนเมืองจะเข้าป่า : ก็อย่างตามข่าวมีการบุกลุกของพวกนายทุนเพื่อสร้างรีสอร์ทในเขตป่าหวงห้าม
สัตว์ป่าจะเข้าเมือง : อย่างที่เห็นในข่าวอีกนั่นเหละ มีสัตว์ป่าทั้งเลื้อยคลานและทั่วไปหนีจากในป่ามาอาศัยตามบ้านเรือนของคน
คนจะสื่อถึงโลกวิญญาณและเพื่อนต่างดาวมากขึ้น มนุษย์จะไร้อารายธรรม ฉะนั้นผู้ที่เป็นคนดี มีธรรมะในใจให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทจะดีกว่า  ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ

สัญญาณอันตราย

เก็บพลุไว้ในบ้าน อากาศร้อนจัด! บึ้มพังทั้งหลัง
25 เม.ย. 55 20.37 น.    พิมพ์หน้านี้ สนับสนุนเนื้อหา  (+ให้คะแนนบทความ) Cancel Rating12345เปิดอ่าน 2,252 ความคิดเห็น 2
เก็บพลุไว้ในบ้าน อากาศร้อนจัด! บึ้มพังทั้งหลัง
บ้านไม้ 2 ชั้น ในตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายทั้งหลัง ในที่เกิดเหตุพบชิ้นส่วนพลุ และดอกไม้ไฟ ตกกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก และมีผู้บาดเจ็บถูกไฟครอก 1 ราย คือ นายชัยยุทธ วิเศษศรี เจ้าของบ้าน เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล พบว่าร่างกายถูกไฟไหม้ 30 เปอร์เซ็นต์
จากการสอบสวนพบว่า บ้านหลังดังกล่าว นายชัยยุทธ ลักลอบใช้เป็นสถานที่เก็บพลุ และดอกไม้ไฟ เพื่อรับจ้างนำไปจุดตามงานต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งสาเหตุของพลุระเบิดเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เกิดจากสภาพอากาศที่จังหวัดอุดรธานีร้อนจัด อุณหภูมิอยู่ที่ 41 องศาเซลเซียส ทำให้ดินประสิวที่บรรจุอยู่ในพลุเกิดความร้อน และระเบิดขึ้น
สอดคล้องกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงบอกว่า ได้ยินเสียงระเบิดก่อนไฟลุกไหม้ และมีเสียงระเบิดดังติดต่อกัน เคราะห์ดีที่บริเวณเกิดเหตุ อยู่ห่างจากบ้านเรือนประชาชน ไฟจึงไม่ลุกลาม เบื้องต้น นายชัยยุทธ ถูกแจ้งข้อหา ครอบครองพลุ และวัตถุระเบิด โดยไม่ได้รับอนุญาต

ชาวบ้านแตกตื่นถนนระเบิดไม่ทราบสาเหตุ
25 เม.ย. 55 16.05 น.    พิมพ์หน้านี้ สนับสนุนเนื้อหา  (+ให้คะแนนบทความ) Cancel Rating12345เปิดอ่าน 42,351 ความคิดเห็น 71
ชาวบ้านแตกตื่นถนนระเบิดไม่ทราบสาเหตุ
ถนนคอนกรีตใน อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ เกิดระเบิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบหาสาเหตุ
ชาวบ้านบ้านเจริญสุข หมู่ 7 ต.หาดหล้า อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ แตกตื่นเมื่อเสียงระเบิดขึ้นที่ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยชาวบ้านรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน โดยเสียงระเบิดดังไกลกว่า 100 เมตร ถนนเส้นดังกล่าวร้าว 4 เมตร ลึก 15 เซนติเมตร จนเห็นเส้นลวดด้านใน เศษปูนกระจัดกระจายจนสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน เบื้องต้นต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุเพื่อความปลอดภัย

นักธรณีชี้แก๊สมีเทนทำธรณีระอุ ยันไม่ใช่ภูเขาไฟ
25 เม.ย. 55 16.44 น.    พิมพ์หน้านี้ สนับสนุนเนื้อหา  (+ให้คะแนนบทความ) Cancel Rating12345เปิดอ่าน 28,125 ความคิดเห็น 26

นักธรณีชี้แก๊สมีเทนทำธรณีระอุ ยันไม่ใช่ภูเขาไฟ
(25 เม.ย.) นายสมบูรณ์ โฆษิตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรณี เขต 1 (ดูแลพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ) ได้นำเจ้าหน้าที่และเครื่องขุดเจาะเดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก เพื่อไปตรวจสอบพื้นที่ที่เกิดความร้อนใต้พื้นดินจนเกิดไฟลุกไหม้
พร้อมกับยืนยันว่าบริเวณดังกล่าวไม่มีทางเป็นไปได้ว่าเคยเป็นพื้นที่ภูเขาไฟตามที่หลายคนสันนิษฐาน โดยจะต้องนำดินขึ้นมาพิสูจน์คุณสมบัติให้ชัดเจนก่อน เบื้องต้นพบว่า อาจจะเกิดจากแก๊สมีเทน ที่ถูกสะสมภายในชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นแก๊สที่ไร้กลิ่น สามารถเกิดเปลวไฟลุกขึ้นเมื่อมีปฏิกิริยากับขี้เลื่อย ซึ่งตรงกับข้อมูลที่พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นโรงเลื้อยมาก่อน
ขณะที่ด้าน อ.ธนวัฒน์ จารุพงศ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดเผยว่า บริเวณที่เกิดความร้อนอยู่ใต้ดินนั้น เป็นจุดที่อยู่ใกล้กับรอยเลื่อนน้ำปาด ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่ยังมีพลังอยู่ และอาจจะเป็นไปได้ว่าความร้อนใต้ดินที่เกิดขึ้นเกิดการปฏิกิริยาของรอยเลื่อยดังกล่าว
พิษณุโลกตื่น! ธรณีระอุไฟลุกพื้นลวกชาวบ้าน


มันเริ่มขึ้นแล้ว

อ้างจาก: สัญญาณอันตราย เมื่อ 22:14 น.  25 เม.ย 55
เก็บพลุไว้ในบ้าน อากาศร้อนจัด! บึ้มพังทั้งหลัง
25 เม.ย. 55 20.37 น.    พิมพ์หน้านี้ สนับสนุนเนื้อหา  (+ให้คะแนนบทความ) Cancel Rating12345เปิดอ่าน 2,252 ความคิดเห็น 2
เก็บพลุไว้ในบ้าน อากาศร้อนจัด! บึ้มพังทั้งหลัง
บ้านไม้ 2 ชั้น ในตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายทั้งหลัง ในที่เกิดเหตุพบชิ้นส่วนพลุ และดอกไม้ไฟ ตกกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก และมีผู้บาดเจ็บถูกไฟครอก 1 ราย คือ นายชัยยุทธ วิเศษศรี เจ้าของบ้าน เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล พบว่าร่างกายถูกไฟไหม้ 30 เปอร์เซ็นต์
จากการสอบสวนพบว่า บ้านหลังดังกล่าว นายชัยยุทธ ลักลอบใช้เป็นสถานที่เก็บพลุ และดอกไม้ไฟ เพื่อรับจ้างนำไปจุดตามงานต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งสาเหตุของพลุระเบิดเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เกิดจากสภาพอากาศที่จังหวัดอุดรธานีร้อนจัด อุณหภูมิอยู่ที่ 41 องศาเซลเซียส ทำให้ดินประสิวที่บรรจุอยู่ในพลุเกิดความร้อน และระเบิดขึ้น
สอดคล้องกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงบอกว่า ได้ยินเสียงระเบิดก่อนไฟลุกไหม้ และมีเสียงระเบิดดังติดต่อกัน เคราะห์ดีที่บริเวณเกิดเหตุ อยู่ห่างจากบ้านเรือนประชาชน ไฟจึงไม่ลุกลาม เบื้องต้น นายชัยยุทธ ถูกแจ้งข้อหา ครอบครองพลุ และวัตถุระเบิด โดยไม่ได้รับอนุญาต

ชาวบ้านแตกตื่นถนนระเบิดไม่ทราบสาเหตุ
25 เม.ย. 55 16.05 น.    พิมพ์หน้านี้ สนับสนุนเนื้อหา  (+ให้คะแนนบทความ) Cancel Rating12345เปิดอ่าน 42,351 ความคิดเห็น 71
ชาวบ้านแตกตื่นถนนระเบิดไม่ทราบสาเหตุ
ถนนคอนกรีตใน อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ เกิดระเบิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบหาสาเหตุ
ชาวบ้านบ้านเจริญสุข หมู่ 7 ต.หาดหล้า อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ แตกตื่นเมื่อเสียงระเบิดขึ้นที่ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยชาวบ้านรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน โดยเสียงระเบิดดังไกลกว่า 100 เมตร ถนนเส้นดังกล่าวร้าว 4 เมตร ลึก 15 เซนติเมตร จนเห็นเส้นลวดด้านใน เศษปูนกระจัดกระจายจนสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน เบื้องต้นต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุเพื่อความปลอดภัย

นักธรณีชี้แก๊สมีเทนทำธรณีระอุ ยันไม่ใช่ภูเขาไฟ
25 เม.ย. 55 16.44 น.    พิมพ์หน้านี้ สนับสนุนเนื้อหา  (+ให้คะแนนบทความ) Cancel Rating12345เปิดอ่าน 28,125 ความคิดเห็น 26

นักธรณีชี้แก๊สมีเทนทำธรณีระอุ ยันไม่ใช่ภูเขาไฟ
(25 เม.ย.) นายสมบูรณ์ โฆษิตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรณี เขต 1 (ดูแลพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ) ได้นำเจ้าหน้าที่และเครื่องขุดเจาะเดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก เพื่อไปตรวจสอบพื้นที่ที่เกิดความร้อนใต้พื้นดินจนเกิดไฟลุกไหม้
พร้อมกับยืนยันว่าบริเวณดังกล่าวไม่มีทางเป็นไปได้ว่าเคยเป็นพื้นที่ภูเขาไฟตามที่หลายคนสันนิษฐาน โดยจะต้องนำดินขึ้นมาพิสูจน์คุณสมบัติให้ชัดเจนก่อน เบื้องต้นพบว่า อาจจะเกิดจากแก๊สมีเทน ที่ถูกสะสมภายในชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นแก๊สที่ไร้กลิ่น สามารถเกิดเปลวไฟลุกขึ้นเมื่อมีปฏิกิริยากับขี้เลื่อย ซึ่งตรงกับข้อมูลที่พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นโรงเลื้อยมาก่อน
ขณะที่ด้าน อ.ธนวัฒน์ จารุพงศ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดเผยว่า บริเวณที่เกิดความร้อนอยู่ใต้ดินนั้น เป็นจุดที่อยู่ใกล้กับรอยเลื่อนน้ำปาด ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่ยังมีพลังอยู่ และอาจจะเป็นไปได้ว่าความร้อนใต้ดินที่เกิดขึ้นเกิดการปฏิกิริยาของรอยเลื่อยดังกล่าว
พิษณุโลกตื่น! ธรณีระอุไฟลุกพื้นลวกชาวบ้าน


ส.โอ้โห ส.อืม ส.อ่านหลังสือ

มั่นคงในธรรม

 ความเร็วของจิตต้องเร็วเพื่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดสูงสุด เพื่อรู้เท่าทันกิเลศและพลิกแพลงได้ตลอด แต่ท่านที่พอรับกลิ่นไอแห่งรสพระธรรมแล้วจงไปตามทางของท่านมีความเป็นตัวของตัวเอง เชื่อสัญชาติญาณ สัมผัสที่6 ของตัวเอง ไม่ต้องแคร์สื่อ สนใจกับคำด่านินทาว่ากล่าว หนักแน่นในแนวทางธรรมเอาพระไตรปิฎกเป็นจุดยืนแผนที่นำทาง ถูกด่าหมื่นครั้งก็คุ้ม หากจุดธรรมให้ฝังแน่นแก่ใครซักคนได้เพียงหนึ่งคนจนเข้าสู่ภูมิธรรมได้ ยิ่งกว่าบริจาคเงินหมื่นล้านช่วยเหลือคนยากไร้ทั่วโลก บุญกุศลที่ทำง่ายๆโดยไม่ต้องลงทุนออกตังมีเยอะแยะได้บุญมากกว่ายากเหลือประมาณ อยู่คนเดียวที่บ้านทำอยู่เงียบๆแล้วแผ่เมตตาถึงหมดทั่วไตรภพ พระผู้รู้ไม่บอกกันเลยหรือบอกแล้วแต่มารมาสกัดกั้น ต้องการให้บริจาคทำบุญผ่านเงินอย่างเดียว เป็นทานที่ได้บุญน้อยมากหากเทียบกับหลายวิธีในคำสอน อย่าเสียเงินให้กับบุญจอมปลอมและบุญเพียงน้อยนิดหากเทียบกับวิธีอื่นแต่ยังไงก็ดีกว่าไม่รู้จักการเสียสล่ะ ไม่ต้องเสียเวลากับบุญจอมปลอมกุลีกุจอหาเงินตลอดชีวิตจนรบราแย่งชิงทำบุญผิดวิธีให้คนหวังได้กับเงินคนที่ไม่รู้ บุญได้แน่นอนแต่น้อยมาก  ถ้าเทียบกับข้าว ตวักเดียว ที่ตักบาตรกับพระอรหันต์ของแท้(อรหันต์ยุคป้จจุบันซ่อนจิตยากจะเข้าถึงแน่นอนหากบุญบารมีไม่ถึง) และที่เหนือกว่านั้นมากคือ ทานที่ทำกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ที่มี พุทธ ธรรม สงฆ์ผู้เป็นอริยะเจ้า ครบสมบูรณ์ตามพระรัตนตรัย ซึ่งไม่มีโอกาสแน่นอนสำหรับคนยุคนี้  ส.อ่านหลังสือ ส.ยักคิ้ว

แอตแลนติส

น่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆกับภัยพิบัติยุคปัจจุนัน ถ้าไม่หลงตายเตรียมใจไว้ก่อน ก็ไม่มีอะไรให้กลัวที่สำคัญอย่าได้กลัวแม้ร่างกายหลุดออกเป็นชิ้นๆถูกทรมาณซักแค่ไหน เพราะจิตไม่ได้ตายซักหน่อย ร่างกายธาตุขันธ์5มันคือคุกจองจำจิตดีๆนี่เอง หลงไปยึดติดห่วงหาอาทรก็ฉิปหายตกอบายภูมิอย่างดีก็เป็นสัมภเวสีแน่แท้ จะไปหลงรักบ่าวทำไม ในเมื่อ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ต้องอยู่กับจิตใจทนุบำรุงพัฒนาเอาใจให้อาหารใจพัฒนาจิต(ธรรม)ไปหลงติดหลงรักบ่าวก็ตกเป็นทาสกิเลสอยู่ร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุด อินฟินิตี้ซุปเปอรฺ88888888888นอนขานกับพื้น


ทุกศาสนาสอนให้ดี

ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีทั้งนั้น ดีทุกศาสนา ไม่ต้องรู้สึกน้อยใจน้อยหน้า พี่น้องกันทั้งนั้น พุทธ คริส อิสลาม ฯลฯ มันทางเดียวกันภาษาอักขระความรู้สึกกุสโลบายธรรม ทำให้รู้สึกแตกต่าง อยู่ที่ว่าใครจะเลือกจบชั้นไหนตั้งความหวังไว้สูงแค่ไหน เล่นกับสุขวิมานเนรมืตรดั่งใจ หรือ ให้หลุดพ้นไปเลย ก็เหมือนการเรียน จะ จบ ป.ตรี ป.โท ป.เอก แต่ทางโลกมันเก็บใบไม้ทั้งป่า กว่าจะรู้หมดเกิดตายล้านล้านครั้งก็ไม่หมด ทางธรรมมีแผนที่ให้แล้วคือพระไตรปิฎก คือใบไม้กำมือเดียว84000 ต่อให้จบ ป.เอก ดร.100 ใบ สถาบันอันดับต้นๆของโลก ยากจะเทียบชั้นกับ กับ อรหันต์ผู้ทรงภูมิปัญญาทางธรรมในยุคปัจจุบันที่สั่งสมบารมีมาดีแล้ว ไม่ต้องถึง อัครสาวก ของพระพุทธองค์ในยุคแรกๆ ที่คือความจริง ที่ท่านเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่เคยได้ยินจากที่ไหนแน่นอน ส.อ่านหลังสือ 

puiey

ผลพวงจากการกระทำของมนุษย์ต่อธรรมชาติ กำลังกลับมาทำลายมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ หยุดทำลายธรรมชาติกันเถอะ
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

powerphone2522

พิมพ์ข้อความผิดพลาดประการใดขออภัยมาน่ะที่นี้ด้วยครับ

นายไข่นุ้ย

DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)

พระยาธรรมิกราช

การเตรียมจิตวิญญาณ
1. ชำระกรรมให้เบาบาง  โดยหยุดโลภ โกรธ หลง ทำจิตใจให้สงบเบิกบาน  เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก  เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก  ดังนั้นต้องปล่อยวางทำจิตให้เป็นบวก  จะช่วยได้มาก
2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
3. ฝึกการละวาง
4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
5. ฝึกการทำโฆษกรรม  ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร  หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด
การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย
1. ได้ยินเสียงใดให้ละวางเสียงนั้น / รู้เห็นสิ่งใดให้ละวางสิ่งนั้น  ต้องไม่รับรู้  ไม่รับเห็น  ไม่รู้  ไม่ชี้  ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย  หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว  ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป  หากละวางไม่ได้จะเกิดอาการ " ตายก่อนตาย " ( รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ  หรือการตายทั้งเป็น )
2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ต้องมีสติตลอดเวลา
3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้กลัวมากขึ้น  ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวกเกิดความอิ่มเอิบ
4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น
ลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ( ระยะ 2 )
ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ  ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายแลดูหดหู่  สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น  แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ  หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม
เรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น  ขอบอกตามตรงว่าไม่ทราบ  เพราะจริงๆ แล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ.1999  ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้  แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว  ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้...
เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ  ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47  ( ทีแรกคิดว่าไม่มีอะไรเกิดแล้ว  จิตเกือบเผลอปรามาสครูบาอาจารย์ )  แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อยๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาด และอุบัติภัยสงคราม  และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมา ภัยพิบัติจึงจะสงบ
ต่อไปที่จะวิบัติหนักๆ ก็คือ ไต้หวัน  ญี่ปุ่น  ฟิลิปปินส์  อเมริกา ฯลฯ  เคยถามครูบาอาจารย์ว่าไม่เคยมีใครเปลี่ยนได้เลยหรือ  ท่านบอกว่า " ไม่ได้ "  ท่านว่า " ปูยีเว้าก็ปานพระเจ้าเว้านั่นแหละ  ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้  เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น "
สำหรับเมืองไทย  ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัยเพราะฝ่ายรักษาภายในของ กทม. เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว  และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ  จะเป็นเกาะ เป็นแก่งทั้งหมด  เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้เป็นสัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น  ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล 
ผู้ที่ไม่มีหน้าที่และเข้าไม่ถึงระบบธาตุเหล่านี้ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้  ถ้าใครมีจิตที่เอ็กซเรย์ธาตุได้ก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร  อย่างแก้วมังกรและแก้ววิเศษของเทวดาก็อาจเป็นของไร้ค่าในโลกมนุษย์ เพราะความไม่รู้
ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า  แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว  ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ  นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาคแถวลพบุรี  ที่ในไม่ช้า ( ช่วงท้ายๆ ของภัยพิบัติ ) จะลุกขึ้นมา ( ภายใน ) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ  ขณะที่ทหารลิง 18 กองพลที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น   ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนาคตนนี้มีพิษมาก  แค่พลิกตัว พิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงได้  มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก  แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไร
เราค่อนข้างมั่นใจว่าภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจ  และไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง ( ประเทศเดียวกัน )  ท่านไหนขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป  ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอก็คงจะต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง
ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือ  เมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมด  เท่าที่ทราบต่อไปมหาอำนาจอย่างเช่น  อเมริกา  อังกฤษ ฯลฯ  จะต้องมาพึ่งพาไทย  ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย   ซึ่งต่อไปที่แห่งหนึ่งในประเทศไทยจะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนา
ในยุคจักรพรรดิ  ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม  พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลก  อย่างที่พวกยิวเขาคิดจะครองโลกกันนั้นไปไม่ถึงดวงดาวหรอก เพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้ว
เหตุที่เกิดในภาคใต้  ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้  ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆ นั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก  และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วย
ถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิด  ก็จะเข้าใจว่าอย่างอิสลามและคริสต์นั้นเชื้อจิตวิญญาณเดิม หรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ตระกูลต่างๆ  ดังนั้นที่ครูบาอาจารย์ท่านว่าพวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้น  ก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา  และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้  ส่วนในเขตประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ  คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้  ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมามาก  ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น  และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ  และบางครั้งการทำงานจากภายในก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก  แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน  ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก  แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน  ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่รู้ใน  คล้ายๆ กับวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายเหตุผลภายนอก  แต่ไม่เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นเหตุอยู่ภายใน  เป็นต้น  นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆ ก็เลยเกิดความ
ใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไรก็ให้รีบเร่งทำ  หากเมื่อใดที่ผู้ที่เขาได้พรพระอินทร์เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแลพระศาสนา ( ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรารถนาพุทธภูมิ )  ระบบที่เขาทำหน้าที่ภายในเขาก็จะทำงานตามลำดับ  เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีลห้า ศีลแปด ของบุญบารมีที่แต่ละท่านบำเพ็ญเพียรสั่งสมมา
ให้ลองนึกถึงเหตุการณ์คลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า  คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะเป็นแก่ง  และคลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวันหายวับไปได้ในพริบตา  เมื่อไหร่ก็ตามที่นาคใหญ่ทำงานจะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก  หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมาเป็นแค่นาคใหญ่โก่งหลังหรือสะดุ้งเพียงเล็กน้อย  ลองจินตนาการดูว่าหากพวกนาคบางพวกมีหน้าที่ทำฤทธิ์  เพื่อล้างพวกผู้มีศีลธรรมไม่เพียงพอสำหรับอยู่ในยุคพระธรรมบนโลกนี้  ก็จะเหลือคนไม่มากอย่างที่พระสูตรบอกไว้
จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง  สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้  ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้เพราะกรรมเป็นตัวกำหนด  และยุคพระยาธรรมิกราชก็เป็นพุทธประเพณี  เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา  ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์  อย่างในยุคพระเวสสันดร ( ซึ่งเป็นช่วงประมาณกึ่งกลางศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง )  หลังจากพระเวสสันดรได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้ว  หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดยุคพระยาธรรมิกราชหรือยุคพระจักรพรรดิขึ้น  ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดรจะเป็นพระจักรพรรดิในสมัยนั้น  ในยุคร่วมสมัยในปัจจุบันนี้มีบุคคลผู้หนึ่งทำทานบารมีจนได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้วเช่นกัน  ก็พอจะอนุมานได้ว่ายุคพระยาธรรมิกราชนั้นเข้ามาใกล้ปลายจมูกแล้ว
" ประมาท "ต่อไปจะมีพระจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลก  พระยาธรรมิกราชจะคล้ายพระสังฆราช  และจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง จะทำหน้าที่คล้ายกับนายกรัฐมนตรี  ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนานั้นเอง  และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์  อัญญาธรรม  ที่ตามลงมาทำหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง  บางคนก็รู้ตัวแล้ว บางคนก็อาจยังไม่รู้ตัวเอง  ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร  ซึ่งบางท่านจะมีชื่อเสียงในหมู่เทพ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ ฤๅษี มุนี ดาบส ฯลฯ  พวกเขาเหล่านั้นก็รอยุคพระยาธรรมิกราช  แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จักเพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบๆ และลี้ลับ  ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรยๆ ให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น " ดังบ่ดี ดีบ่ดัง "เช่น  เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว  และมีสิ่งของอื่นๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้น

พระยาธรรมิกราช

ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย
สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงทีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
ดูก่อน อานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
คน ในสมัยนั้น ( คือปัจจุบัน ) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฏธรรมชาติไม่พ้น
เริ่มแต่ พระพุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออก(เอเชีย) ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ(ไหม้จริงที่ภาคใต้พระไปบิ ณทบาตรยังไม่ได้เลยแล้วจะกินอะไรละโยม) ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ (เรือดำน้ำ)มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว(เครื่องบินงัย) มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ(ลูกระเบิด) ยักษ์หินที่ถูกสาบ(ภูเขาไฟ)มาเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ
ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลง มาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง
พระธรรมจะเริ่ม เปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิราชโพธิญาณบังเกิด ขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ(ชนบท) จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง 5.000 พระวรรษา
ดู ก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
ผู้ใด ปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคงจึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล

พระยาธรรมิกราช

ดูก่อนอานนท์ เมื่อถึงกึ่งพุทธกาลล่วงไป เมื่อนั้นศาสนาของเราตถาคต เข้าสู่สภาวะความเสื่อมไป เมื่อนั้นจะมี พระยาธรรมิกราช เกิดขึ้นเพือสานต่อรัศมีแห่งธรรมของเราให้ครบถ้วน 5000ปี นั่นก็แสดงว่าพระยาธรรมิกราชเกิดแล้วตั้งแต่ 2500 เป็นต้นไป คำทำนายก็ดูไม่ยากเลย คำทำนายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จะไม่มีผิดเพี้ยนได้เลย ดังนั้นเราจึงเชื่อได้ว่าพระยาธรรมิกราชต้องเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยตัว

ชัยยะพันธ์


เง็กเซียนฮ่องเต้

เหตุแห่ง...ภัยพิบัติ
พระโอวาทเง็กเซียนฮ่องเต้(พระอินทร์)
กล่าวโทษฟ้าดิน......................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ผิดทำนองคลองธรรม................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่..................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต.......................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ปล้นยิงชิงทรัพย์.....................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
พูดโกหกหลอกลวง..................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
มักมากในกาม.......................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เสพสุรา ยาเสพติด...................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ผิดศีล ไม่เกรงกลัวบาป.............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ทำลายศาสนาลบหลู่คำสอน........นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เหยียบย่ำหนังสือธรรมคัมภีร์.......นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ใจดำอำมหิต.........................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้.................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ใช้เล่ห์กลอุบายคดโกง..............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ปลอมแปลงสินค้า....................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ค้าขายเอาเปรียบผู้ซื้อ...............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
หลอกลวงต้มตุ๋น.....................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
พูดหยาบคายด่าพ่อด่าแม่..........นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ทำร้ายผู้มีพระคุณ..................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ใส่ร้ายป้ายสี.........................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
อารมณ์ร้อนโมโหร้าย...............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
วิพากวิจารณ์ติฉินนินทา...........นำมาซึ่งภัยพิบัติ
นอกใจภรรยา คบชู้.................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ยุแยงให้เกิดความแตกแยก........นำมาซึ่งภัยพิบัติ
พี่น้องไม่ปรองดอง..................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
แตกความสามัคคี...................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องคดี.......นำมาซึ่งภัยพิบัติ
หน้าไหว้หลังหลอก..................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ทรยศหักหลัง........................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด.......นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ทุจริตคอรับชั่น......................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
โกงกินรับสินบน.....................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
แย่งชิงอำนาจกันเป็นใหญ่.........นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ประจบสอพลอ.......................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
คอยกลั่นแกล้งจับผิด...............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
นักเลงอันธพาล......................นำมาซึ่่งภัยพิบัติ
รีดไถซ้ำเติมผู้ตกยาก...............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เชิดชูคนรวย รังเกียจคนจน........นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เห็นคนทุกข์ยากไม่ช่วยเหลือ......นำมาซึ่งภัยพิบัติ
แล้งนำใจไร้ความปรานี.............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
อิจฉาริษยา..........................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เห็นคนอื่นได้ดีคิดทำลาย...........นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เกลียดชัง อาฆาตแค้น.............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ทำคุณไสยมนต์ดำ..................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ใช้วิชาอาคมทำลาย................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ตัดไม้ทำลายป่า.....................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ทำลายศาสนสถานโบราณวัตถุ....นำมาซึ่งภัยพิบัติ
กินทิ้งกินขว้าง.......................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ข่มเหงรังแกผู้อ่อนแอ...............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เนรคุณ ไม่สำนึกบุญคุณ............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เสี้ยมสอนให้คนทำผิด..............นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ทำผิดไม่แก้ไข......................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ไม่มีสัมมาคารวะ...................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ไม่ย้อนมองส่องตน.................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
เย่อหยิ่งทะนงตน...................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ประกอบมิจฉาชีพ..................นำมาซึ่งภัยพิบัติ
ที่มา http://www.nakdham.com/webboard/index.php?topic=3165.0

   


ปริศนาธรรมท้าวสักกะ

๑.นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องบอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
- อาหารขาดแคลนทุกข์ยากแสนสาหัส

๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
- เกิดความวุ่นวายมาก

๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
- คนดีไม่มีบทบาท

๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
- เกิดการกดขี่ข่มเหง

๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
- ผู้เป็นใหญ่หมดสิ้นอำนาจ

๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
- ความไว้วางใจหายไป ลอบทำร้ายกันถ้วนหน้า

๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
- ที่พึ่งทางใจไม่มีเหลือ

๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
- ผู้มีศีลธรรมหดหาย ธรรมโดนละเลย

๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
- ความโลภทำให้ผู้คนหลงผิด

๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
- มนุษย์ต่างเรียกร้องสิทธิ์ของตน ก่อเกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้น

๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
- ความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น

๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า
- จิตใจถูกครอบงำด้วยอวิชชา

จริงๆ แล้วมันก็คือวงจรหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ ปริศนาก็น่าจะหมายถึงการนำเสนอในสิ่งที่เป็นภาวะเชื่อมโยงกันไปสู่รูปแบบ หนึ่งของสังคม ที่สุดแล้วความวุ่นวายทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นที่ใจ อุปทานกันขึ้นมา ก่อเกิดอวิชชาและโมหะทั้งหลาย ก่อเรื่องด้วยกิเลศตัณหา ฟูมฟักและก่อตัวเพิ่มขึ้นขยายแผ่ระบบเลยไปจนกระทบกระเทือนเป็นวงกว้าง ถ้าเรื่องพระธรรมมิกราชาเป็นจริงก็ดีนะครับ จะได้ปลุกจิตใจผู้หลงผิดให้ตื่น คนแบบนี้น่าจะทำศึกได้ถูกต้องที่สุด สังหารมารในใจมนุษย์ไม่ได้มุ่งประหารเข่นฆ่าให้สูญเสียชีวิต เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดอันจะเกิดในกลียุคที่คำว่าชนะไม่ได้หมายถึงจำนวน ศพของศัตรู

  ทีแรกหลังจากลองนั่งแก้ปริศนาดูเสร็จแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก แต่คำว่า นกยางเอยทำไมจึงไม่ร้องบอก มันดังอยู่ในหัวจนกระทั่งเห็นจุดบางอย่างที่มองข้ามไป เลยกลับมาย้อนมองดูปริศนาอีกครั้ง จากนั้นจึงเห็นว่าปริศนาได้แฝงอะไรอีกหลายอย่างเอาไว้ ในการแก้เบื้องต้นที่ลงไว้นั้นเป็นการที่มองในลักษณะแปลคำพยากรณ์ผนวกเข้า กับหลักธรรมในเชิงเหตุผลธรรมดาทั่วไป จะกล่าวว่ามันถูกไหมผมก็ว่ามันน่าจะถูกราวๆ 10% แต่พอลองย้อนนึกดูถึงจุดประสงค์ของปริศนามันไม่น่าจะเป็นการมาบอกว่าจะเกิด อย่างนี้ๆ ขึ้นจากเหตุอย่างนี้ๆ และเป็นไปอย่างนี้ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ผู้มีปัญญาและมั่นในธรรมหลายท่านก็พอจะเล็งเห็นได้บ้างเช่น กัน

เมื่อมองโดยลึกๆแล้วจะเห็นว่าปริศนานี่แยกเป็นสามส่วนหลักๆ กล่าวคือ เบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย และจุดประสงค์โดยแท้คาดว่าน่าจะเป็น บอกเตือน โดยคำเตือนนั้นแบ่งเป็น บอกถึงเหตุการณ์ บอกถึงช่วงเวลา บอกถึงปัญหา และบอกถึงหนทางแก้ และแน่นอนว่าปริศนามุ่งเพียงจะบอกเฉพาะบุคคลที่เป็นตัวหมากสำคัญในการแก้ ปัญหานั้นโดยเฉพาะจริงๆ

นกยางเอย ทำไมจึงไม่ร้องบอก นี่คือกุญแจสำคัญดอกแรก ส่วนเหตุที่ว่า เพราะปลามันไม่ออก เป็นกุญแจสำคัญดอกที่สอง ไล่เรียงวงจรปัญหาไปจนถึงกุญแจสำคัญดอกที่สามซึ่งก็คือประโยคสุดท้ายว่า เพราะกบเป็นอาหารข้า

เบื้องต้นปริศนานี้ต้องการสื่อสารถึงนกยางโดย ตรง ดังที่ผู้ตั้งปริศนายิงคำถามแรกใส่ประโยคแรกถึง นกยาง เมื่อมองดีๆจะเห็นว่านกยางคือความหมายแทนบุคคลคนหนึ่ง พอเชื่อมโยงกับตำนานนกยางที่พระพุทธองค์เคยทำนายไว้สมัยที่เกิดเหตุการณ์ลิง ลักขโมยจีวรพระพุทธองค์ไปละเลงด้วยอาจมโคลนดินจนเปื้อนเหลือส่วนสะอาดเพียง ไม่กี่ส่วน จนกระทั่งนกยางขาวสะอาดตัวหนึ่งบินลงมาจับที่หัวลิงและแผดเสียงก้องไปทั่ว ทั้งแปดทิศ พระอานนท์สงสัยในสิ่งที่เกิดจึงทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้กล่าวคำพยากรณ์ไว้ว่า ล่วงเลยนานไปในอนาคตศาสนาของตถาคตจะเสื่อมถอยไป ธรรมแท้จะเลือนหาย ความวุ่นวายจะมีไปรอบทิศ เหลือเพียงส่วนน้อยนิดที่ยังคงศาสนาแห่งตถาคตได้ ดุจดั่งจีวรที่หนีรอดจากอาจมด้วยฝีมือลิง เมื่อถึงกาลนั้นจะมีผู้ตรงในธรรมแห่งตถาคตประกาศก้องธรรมนั้นไปทั่วทั้งแปด ทิศเฉกเช่นนกยางขาว นำพาความสุขสงบและเจริญรุ่งเรืองกลับมาอีกครั้งตราบจนสิ้นยุคสมัยแห่งศาสนา ตถาคต จึงกล่าวได้ว่านกยางในปริศนาน่าจะหมายถึงบุคคลผู้นั้น

เช่น กันกับพระอินท์ผู้ตามหาพระยาธรรมมิกราช พระองค์เองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนกยางคือใคร จึงแต่งปริศนาโดยบรรจุจุดหมายสำคัญไว้ที่ประโยคแรกหวังให้ผู้ที่เป็น นกยาง เมื่อสดับฟังจะได้รำลึกถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นในทันที คำว่านกยางเอยทำไมจึงไม่ร้องบอก จึงน่าจะขยายความได้ว่า ท่านเอยบำเพ็ญความเพียรมานานเท่าใดแล้วหนอ บารมีท่านมีเท่าใดแล้วหนอ กาลนี้เป็นเช่นใดหนอถึงเวลาประกาศธรรมรึยังหนอ ท่านเป็นผู้ทรงมีเมตตากรุณาไหมหนอ ท่านจะพึงทิ้งสัตว์โลกแล้วเสวยวิมุตติแต่เพียงลำพังไหมหนอ แน่นอนว่าคนธรรมดาแม้ขยายความชัดเจนให้ฟังถึงเพียงนี้จิตใจเขาย่อมไม่เข้า ถึง ละเลยเห็นเป็นคำเปล่า แต่หากเป็นผู้ที่ตั้งสัจจะอธิฐานช่วยเหลือสัตว์โลกมาอย่างมั่นคง บำเพ็ญเพียรบารมีมาอย่างเข้มข้น มีบุญญาธิการมากพอที่จะช่วยเหลือสัตว์โลกแล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกเพียงแค่นี้ ย่อมทำให้ระลึกถึงปณิธานแต่เก่าก่อนกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน

นกยาง เอยทำไมจึงไม่ร้องบอก ธรรมดาของนกยางย่อมต้องร้องแต่การที่ถามว่า นกยางเอยทำไมจึงไม่ร้องบอก เหมือนเป็นการย้ำเตือนให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกล่าวคือ ท่านเอย ท่านผู้มีบุญแลปัญญาอันยิ่ง ท่านมีกิจในการขจัดอธรรมเป็นธรรมดา เฉกเช่นนกยางมีกิจอันต้องร้องบอกเป็นธรรมดา ใยท่านจึงยังไม่ยังกิจอันยิ่งเสียบัดนี้เล่า นี่เป็นกุญแจดอกแรก และเมื่อเชื่อมโยงเข้าสู่ประโยคถัดมาก็จะเห็นว่าเป็นการย้ำเตือนมากยิ่งขึ้น ไปอีกกล่าวคือ ในประโยคแรกเมื่อปลุกความระลึกรู้ของนกยางได้แล้ว ปริศนายังบอกเหตุอันน่าสลดเพื่อชี้แจงสิ่งที่กำลังจะเกิด สิ่งที่เกิด เพื่อให้นกยางเล็งเห็นและพิจารณาต่อ
ปลามันไม่ออกคือเรื่องใกล้ตัวนกยางที่สุดอันเป็นเหตุให้นกยางได้เห็นจนเริ่ม ใช้ปัญญาไล่เรียงเหตุการณ์และหาวิธีแก้ แต่ดูปณิธานของนกยางให้ดี หากนกยางผู้นั้นไม่ใช่ผู้เห็นแก่สัตว์โลก นกยางก็พึงทำเพียงแค่ให้ปลามันออก โดยกำจัดหญ้าที่รกเสียดังเป็นไปตามสาเหตุที่วรรคที่สองได้ระบุไว้ ปลามันไม่ออกเพราะหญ้ารก เปรียบเสมือนบอกว่า นกยางเอยเธอพึงเสวยเพียงความสงบสุขเฉพาะหมู่คนที่ใกล้ตัวที่เธอรักหรือ?

นก ยางไม่พึงทำเพียงเพราะขจัดหญ้ารกเพราะนั่นจะหมายถึง วัวต้องตาย! เมื่อเห็นความทุกข์ของวัวที่จะต้องเกิดจากการถางหญ้าให้หมดแล้วนกยางจึงหา วิธีแก้สืบต่อ วัวก็บอกว่าเจ้านายไม่ปล่อย นี่ก็เป็นการชี้ชัดลงไปถึงความผิดธรรมชาติของคนเลี้ยงวัว ตอนนี้นกยางสามารถช่วยทั้งวัวทั้งปลาได้ แต่ในปริศนานกยางกลับไม่ทำ เพราะเล็งเห็นการกำจัดคนเลี้ยงวัวเพื่อปล่อยวัวเสียไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา แต่ตรงจุดนี้กลับทำให้นกยางเล็งเห็นปัญหาเข้าไปอีกขั้นกล่าวคือ ข้าวไม่สุก ข้าวย่อมแสดงความหมายตอกย้ำให้เห็นถึงจุดร่วมสำคัญเหมือนย้อนกลับไปอ่าน ประโยคแรกไล่มาอีกครั้งจะเห็นว่ามีปัญหาเดียวกันคือปากท้อง และเมื่อสังเกตดูในบทถัดๆ ไปจะเริ่มกล่าวถึงความผิดปรกติที่ไม่ได้เกี่ยวกับปากท้อง นั่นแสดงถึงความไม่ธรรมดาของสภาวะธรรมชาติ ไล่มาจนกระทั่งถึงวรรคที่บอกถึงกบเขียดจะเห็นว่าปริศนาได้เชื่อมโยงธรรมชาติ เข้ามาพัวพันกับพฤติกรรมของสัตว์ คล้ายจะสรุปว่าที่ธรรมชาติวิปริตไปนั้นเนื่องด้วยพฤติกรรมของสัตว์ เป็นการมองจากมุมกว้างลงเล็กลงมาหรือมองแบบนอกเข้าในไกลเข้าไปหาใกล้ และสัตว์ที่มีพฤติกรรมผิดไปย่อมเกิดจากความหวาดกลัว เหมือนต้องการบอกว่าสัตว์ทั้งหลายต้องการผู้นำ เป็นการบอกกลายๆ ถึงนกยางว่า นกยางเอย เจ้าจงมาเป็นผู้นำของเหล่าสัตว์เพื่อขจัดความกลัวเสีย แต่นกยางรู้ดีว่าความหวาดกลัวของสัตว์นั้นแท้จริงย่อมเกิดที่ใจ แต่สัตว์ไม่อาจรู้ได้เองเพราะสัตว์ยังอยู่ภายใต้อวิชชา

ซ้ำร้าย ปริศนายังกล่าวถึงกุญแจดอกสุดท้ายนั่นคือ งู ผู้เป็นตัวก่อเกิดความหวาดกลัว เปรียบเสมือนจุดร่วมที่นกยางต้องกำราบเสีย งู น่าจะหมายถึงกลุ่มผู้สร้างความวุ่นวายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเมื่องูถูกกำจัดเสียแน่นอนว่าปัญหาจบลง ทุกที่ย่อมเต็มไปด้วยความสุขและปรกติอีกครั้ง แต่ปริศนาไม่ได้กล่าวว่ามันจบเพียงแค่นั้นดังประโยคสุดท้าย งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารของข้า ตรงนี้ชี้ให้นกยางรู้ซึ้งถึงกุญแจดอกสุดท้าย การเข่นฆ่างูเสียไม่ใช่ชัยชนะ เพราะอะไร เพราะ งู ย่อมกินกบเขียดเป็นธรรมดา เขาไม่ได้ทำผิด ความผิดจะลงที่งูเหมือนสร้างแพะรับบาปนั่นไม่ได้ งูที่ตายไปย่อมเกิดงูตัวใหม่ขึ้นมาได้ เมื่อจะช่วยต้องช่วยทุกตัวสัตว์ นกยางไม่ใช่ต้องต่อสู้โรมรันกับงู แต่ต้องกำจัดอวิชชาในใจงู เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วย้อนกลับไปอ่านประโยคแรกอีกครั้ง นกยางเอยทำไมจึงไม่ร้องบอก ก็จะได้ว่า ถ้าหากนกยางร้องบอกเสียแต่แรกโดยที่ไม่ต้องมีใครถาม ไม่ต้องกังวลกับปลา งูย่อมลดการทำร้ายกบเขียด ธรรมชาติย่อมเป็นปรกติไม่มีปัญหาเกิดขึ้น พออ่านสรุปโยงทั้งหมด ก็จะได้ใจความว่า

" นกยางเอยจงประกาศธรรมเสีย จงอย่าละทิ้งสัตว์โลก อย่าหวังเพียงความสุขเพียงกลุ่มหรือลำพัง แต่จงยังธรรมให้ปกคลุมไปจนทั่ว"

และเมื่อทำปริศนาให้เป็นไปตามวงจรตรรกะที่น่าจะถูกต้องโดยการเปลี่ยนตำแหน่งคำว่า ไม่ ก็จะได้ผลตรงข้ามอีกนัยหนึ่งว่า

นกยางเฮย ทำไมจึงร้องบอก นกยางว่าปลามันออก
ปลาเฮย ทำไมจึงออก ปลาว่า หญ้ามันไม่รก
หญ้าเฮย ทำไมจึงไม่รก หญ้าว่า วัวมันกิน
วัวเฮย ทำไมกินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาปล่อย
เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าไม่เจ็บมาก
ท้องเฮย ทำไมจึงไม่เจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวสุก
ข้าวเฮย ทำไมจึงสุก ข้าวว่า ไฟมันลุก
ไฟเฮย ทำไมจึงลุก ไฟว่า ฟืนมันไม่เปียก
ฟืนเฮย ทำไมจึงไม่เปียก ฟืนว่า ฝนมันไม่ตกมาก
ฝนเฮย ทำไมจึงไม่ตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันไม่ร้องนัก
กบเขียดเฮย ทำไมจึงไม่ร้องนัก กบเขียดว่า งูมันไม่ไล่กินพวกข้า
งูเฮย ทำไมจึงไม่ไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดไม่เป็นอาหารข้า

ซึ่งปริศนาตรงข้ามนี้น่าจะหมายถึงผลลัพธ์ของการเปลี่ยนจุดร่วมเพียงหนึ่งเพื่อแก้ไขวงจรใหม่ และจุดร่วมสำคัญนี้ก็ไม่ได้หมายถึงอะไรนอกไปจาก การร้องบอกของนกยาง

ความ หมายของปริศนายังแฝงไปด้วยธรรมะ และสามารถนำไปพิจารณาได้อีกหลายมุมตามความเหมาะสมของระดับจิตใจแต่ละ คน เพราะโครงสร้างหลักประกอบด้วยการโยนและรับของเหตุกับผล ความเป็นธรรมดาและความไม่ธรรมดา มองเป็นเชิงการศึกษาเพื่อพยากรณ์ก็ได้ เพราะประกอบไปด้วยรูปแบบพฤติกรรมของธรรมชาติการคาดการณ์โดยแจงเหตุอิงตาม หลักธาตุและศาสตร์แห่งความผันแปร

ทั้งนี้ปริศนาจะไม่มีประโยชน์เลยเมื่อ

1. ผู้อ่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่ผู้แต่งมีจุดประสงค์จะบอกกล่าว
2. กาลเวลายังล่วงไปไม่ถึงวาระอันเหมาะสมที่จะทำให้คำใบ้ของปริศนาสามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
3. จิตของผู้อ่านยังหนาไปด้วยกิเลศและโดนปิดบังจากเหล่ามาร

ยัง มีอีกหลายส่วนที่ปริศนากล่าวถึงและผมไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่แต่โดยรวมน่าจะมี ประมาณนี้ มีนัยแฝงอีกมากเช่นกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องในปริศนาและสิ่งที่ต้องใช้แก้ปัญหา ในปริศนา เหตุการณ์รวมถึงช่วงเวลาอย่างชัดแจ้งและอื่นๆ แต่เชื่อว่าผู้ที่เป็นบุคคลที่ปริศนาต้องการจะบอกถึงเมื่ออ่านแล้วย่อมเข้า ใจทั้งหมดได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน

การที่พระอินท์บอกเอาไว้ว่าคนที่ แก้ปริศนานี้ได้จะเป็นพระยาธรรมิกราชนั้นก็ถูกอยู่ส่วน แต่การที่ท่านไม่ได้ให้คำเฉลยเอาไว้แน่นอนว่ามันไม่จำเป็นต้องเฉลย เพราะผู้ที่จะเป็นพระยาธรรมิกราชนั้นย่อมได้คำตอบด้วยตนเองเป็นแน่ คำตอบของปริศนานี้ไม่ใช่เพียงแค่ว่า รู้ แล้วจะได้เป็นพระยาธรรมิกราช แต่คำตอบของปริศนานี้คือจิตสำนึกของพระยาธรรมิกราชที่จะถูกปลุกขึ้นมาต่าง หาก เขาย่อมเป็นมหาจักรพรรดิเพราะเขาเป็นอยู่แล้ว เขาย่อมได้สมบัติเพราะเป็นของเขาอยู่แล้วไม่ใช่ใครที่ไหนจะมอบให้ พระอินท์ได้มอบรางวัลให้สำหรับผู้ที่แก้ปริศนานี้ไว้ในโลกนานแล้ว บุคคลผู้นั้นจะได้รับตำแหน่งและสมบัติก็ต่อเมื่อเขาตระหนักถึง นกยาง ในตัวของเขาได้ผ่านปริศนานี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะหาคำตอบอีกต่อไปเพราะคำตอบไม่ใช่สักแต่ว่า รู้ ว่า ถูก แล้วนำมาตอบ แต่คำตอบคือ ใช่ และ ต้องทำ เลยต่างหากถึงจะถือว่าเป็นคำตอบของปริศนานี้

ปล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 23, 2011, 06:44:10 PM โดย sivilai » 


ปริศนาธรรมท้าวสักกะ

รวบรวมคำทำนายเกี่ยวกับ 2012 ช่วงกึ่งพุทธกาล และพระศรีอารย์
(ลอกจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะฑูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี พ.ศ.2485)
สาธุ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและใน อนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่
ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
อานันทะ ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี (ซึ่งก็คือช่วงสงครามโลกครั้งที่1-2 นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านทำนายล่วงหน้าเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว) จะเกิดการณ์ร้ายแรง
จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนให้พินาศ จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก
ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาของของตถาคตล่วงเลยไปก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี (ซึ่งก็คือช่วงสงครามโลกครั้งที่1-2) สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้น จะพบแต่ความลำบาก
ทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้ รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทุกทิศ คนในสมัยนั้นจะมี
นิสัยโหด ดุจกำเนิดจากสัตว์ป่า อำมหิตจะรบราฆ่าฟันกันเอง ถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ ผู้ขวนขวาย ในกุศลตามวจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใด
มีความเคารพยำเกรงใน พระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจะเบาบางแต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น

แต่ว่า ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงหาได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้วนั้น

อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังกึ่งพุทธกาล (ซึ่งก็คือช่วงหลัง พ.ศ. 2,500 เป็นต้นไป) จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟัน
ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ สมณะ ซี พราหมณ์ จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก

เริ่มแต่พุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปี เป็นต้นไป (ซึ่งก็คือช่วงหลัง พ.ศ. 2,500 เป็นต้นไป) ไฟจะรุกรามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมชีพรามณ์จะอดอยาก
ยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทธจะชอกซ้ำ สงครามจากทั่วทิศศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลนทั่วแคล้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง
พระเสื้อเมือง ทรงเมือง จะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจ จะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาบเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาทโลก ดินฟ้าอากาศ
จะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเลโลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัท
ไม่ต้องอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพรักธรรมนิยม คนประจบ สอพลอได้รับความเชื่อถือในสังคม ผู้ที่มีศีลธรรม ประพฤติดี ประพฤติชอบ กลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

พระธรรมจะเริ่มเปล่งรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อ มีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์
ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง 5,000 พระวัสสา

ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อยมาก คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ
นับว่าเป็นกรรมของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศิล 5 ประการ เจริญเมตตาภารนา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดดรู้จักพอ
ไม่โป้ปดคตโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจปฏิบัติตน ตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในกึ่งพุทธกาล "

*ในไม่ช้านี้โลกของเราอาจจะกำลังเผชิญกับ สงคราม หรือ ภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งต้องร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่1-2 เป็นแน่ เพราะคำทำนายของพระพุทธเจ้า
ไม่เป็นอื่นแน่นอน ไหนจะปัญหาเรื่องนิวเคลียร์ในอิหร่าน และเกาหลีเหนือ ไหนจะปัญหาเรื่องโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากอย่างน่าตกใจ หมู่เกาะจำนวนมากจมอยู่
ใต้ทะเลไปแล้ว ชายฝั่งหลายๆประเทศโดนน้ำทะเลกัดเซาะลึกเข้ามาในแผ่นดินยาวนับสิบๆกิโลเมตร พายุที่รุนแรงขึ้นและมาถี่ขึ้น แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยผิดปกติ สึนามิ การเกยตื้นของปลาวาฬ
และโลมาถี่ขึ้น (อาจจะมีความผิดปกติใต้ท้องทะเล เช่น เปลือกแผ่นดินเคลื่อน) นกแพนกวินตายพร้อมๆกัน 1,500 ตัวที่ประเทศชิลี (อาจจะมีความผิดปกติของอากาศที่ร้อนขึ้น) ฯลฯ
มันช่างมาตรงกับคำทำนายอย่างไม่น่าเชื่อ*

"สงครามหรือภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในยุคนี้ จากการที่ผมได้ศึกษาและรวบรวมคำทำนายของคำภีร์ต่างๆ และคำภีร์ในศาสนาอื่นๆ พอจะประมวลเวลา
ที่จะเกิดได้คร่าวๆ ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม พอจะสรุปได้ว่าเหตุการน่าจะเกิดขึ้นไม่เกิน พ.ศ. 2560 เป็นแน่แท้"

ภัยพิบัติของอรหันต์จี้กง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ* (พระอรหันต์จี้กง)

ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะได้นำมาให้อ่านต่อไปนี้ ได้มาจากหนังสือเรื่อง " สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ " ซึ่งท่านผู้ใช้นามปากกาว่า "ศุภนิมิต"
ได้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาจีนอีกทีหนึ่ง สาระของเรื่องได้ถ่ายทอดจากการรับรู้ของเด็กหญิงผู้วิเศษชื่อ "เทียนไฉ" ที่ประเทศมาเลเซีย
โดยการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจากการถอดจิตขึ้นไปสู่โลกเบื้องบนไปรู้ไปเห็นมาหลายครั้งหลายหนของเธอดังนี้



เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า: วันที่ฟ้าดินมืดมิด

1. ก่อนหน้า " เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า " วันฟ้าดินมืดมิดสองสามวัน บรรยาการของโลกดูสงบเงียบไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเงียบสงัด
ก่อนพายุฝนจะกระหน่ำมักเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉานและกลายเป็นสีเทาขาว
จนกระทั่งมืดมิดลง ลมมหาประลัยทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และ สัตว์ทั้งหมดให้กลายเป็นจุณมหาจุณในพริบตา

2. โลกทั้งโลกตกอยู่ในความืดมิด จนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใดๆ ทั้งสิ้น พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่าง
ใช้การไม่ได้ผล ต่อจากนั้นก็เกิดพายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดไม่ขาดสาย ห่าฝนเมฆสีแดงจะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตกอยู่ใน
ความมืดมิดของรัตติกาล นานถึงสี่สิบเก้าวัน

3. มีเพียงโคมไฟสามดวงในพุทธสถานเท่านั้นที่ให้แสงสว่างได้ รอบนอกสถานธรรม ได้ถูกห่อหุ้มปกป้องด้วยรัศมีสีม่วงโดยทั่ว เมื่อนั้นคนที่บำเพ็ญ
โดยแท้จริง และคนดีที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจ ชักนำให้เข้ามาหลบภัยในพุทธสถาน ในที่นั้น หากมีธรรมอธิการผู้อาวุโส
(เฉียนเหยิน) หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมอยู่ด้วยก็อาจจะช่วยชี้ธรรมให้คนเหล่านั้น คนที่มีกุศลบารมีสูงก็จะรู้แจ้งในทันที และนั่นอาจจะเป็นแสงอาทิตย์
ลำสุดท้ายที่จะโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคขาวก็ว่าได้ คนที่ไม่เคยร่วมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดมาก่อนเลย เกรงว่าจะต้องตายด้วยภัยพิบัติทันทีเลยทีเดียว
ถึงแม้จะรอดพ้นไปได้แต่วิถีอนุตตรธรรมก็สิ้นสุดวาระการถ่ายทอดเสียแล้ว

4. ส่งเสริมให้ญาติธรรมทั้งหลาย สร้างพุทธสถานกันให้มาก ๆ แม้จะมีไว้เพียงเพื่อตนเองจะได้กราบไหว้เช้าเย็นก็ยังดี เพื่อให้ทุกบ้านเป็นสถานแห่งพุทธ
สมดังพุทธปณิธานโดยเร็ว เมื่อถึง "วันสุดท้ายฯ" พุทธสถานจะได้เป็นที่หลบภัยของสาธารณชนให้มาก ๆ เพราะพุทธสถานจะเป็นเสมือน "เมืองในม่านเมฆ"
สำหรับผู้ใฝ่ธรรม

5. สภาพโลกภายนอกของพุทธสถาน คือ ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยก เจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งหลายที่เป็นหนี้ติดค้างกันมาถึงหกหมื่นปีมาแล้ว จะลุกฮือกัน
ออกมาเอาชีวิต วิญญาณทวงหนี้กัน แม้ผู้คนจะพ้นจากมหันตภัย แต่ก็อาจต้องตายด้วยเจ้ากรรมนายเวร สภาพนั้นจึงเป็นมหาโหด มหาวิปโยค เสียงร่ำไห้กู่ร้อง
ครวญคราง เสียงผีสาง เทพพรหม ระงมก้องไปทั่วเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

6. เหล่าภูตสางนางไม้ในป่าเขาในบาดาล เหล่าพญามารอสูรทั้งหลายก็จะแปลงกายเป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิ์สัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง
หรือพระอริยเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สำแดงอิทธิปาฎิหาริย์ เรียกลมเรียกฝนเสกหว่านเมล็ดถั่วให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ จะอวดอ้างศักดานุภาพว่าจะสามารถพา
ผู้คนให้พ้นจากลมมหาประลัย มุ่งคืนไปยังสุทธาวาสเบื้องบนได้

สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ปฎิบัติธรรมโดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตอย่างเช่นเดิม อย่าได้โลภ หลงตามไปเป็นอันขาด
พอขยับใจไขว้เขวแม้เพียงขณะจิตหลงติดตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป ดังคำที่ว่า " ใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ำเสียก่อนเมื่อตอนสาย "
จะขึ้นหรือลงจึงอยู่ที่หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ ที่แอบอ้างว่าเป็นพระบรรพธรรมาจารย์ มาเก็บงานธรรมอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงมารเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าแปลก

ต่อเมื่อวันที่มหันตภัยเกิดขึ้นแล้วนั่นแหละจะน่ากลัว เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงพระองค์ต่างมุ่งอยู่แต่งาน ช่วยคนให้พ้นจากภัยพิบัติไม่มีเวลาจะมาแสดงอิทธิ
ปาฎิหาริย์ล่อใจใครให้กราบไหว้ได้เช่นนั้น พระพุทธะตรัสไว้ว่า " แรงแห่งมารหาญกล้ากว่าพุทธะ " พระอาจารย์จี้กงก็กล่าวว่า " พระอาจารย์ปลอมมีอิทธิปาฎิหาริย์
แกร่งกล้ากว่า พระอาจารย์จริงเสียอีก หวังว่าหญิงชายทั้งหลายจะได้ร่วมกันบำเพ็ญธรรม อย่าลืม อย่าลืม คนที่บำเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้นหากจะสงบ
ใจพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม" จะเห็นใบหน้าสีเขียวเขี้ยวโง้งของปีศาจในร่างของพุทธะได้โดยไม่ต้องเทียบเคียง

7. วันที่ทรมานที่สุด จะมีสองช่วงคือ ช่วงที่หนึ่ง วันที่ 24, 25, 26, ของช่วง "เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน" เพราช่วงนั้นอาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจจะยังอดทนต่อ
ความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะทรมานมาก ช่วงที่สอง ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 50 ถึง 70 เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายจะถูกเคลือบด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี
ซากศพเกลื่อนกลาด คนเคราะห์ดีที่ยังมีชีวิตอยู่จะยังต้องทำหน้าที่ฝังศพ คนที่กินเจจะมีกำลังอยู่ได้ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคำเตือนไว้นานมาแล้วว่า " หลังจากมหันตภัยกวาดล้างโลกนี้กลายสภาพเป็นตมไปแล้ว จะเหลือแต่พระอรหันต์เดินดินไม่กินเนื้อสัตว์ "
เป็นคำเตือนที่ชัดเจนแน่นอนที่สุดทีเดียว

8. หลังการกวาดล้างแล้ว ก็จะเป็นการสร้างบ้านเมืองใหม่ มนุษย์จะเริ่มเบิกดิถี ด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือมีคุณธรรมและมีคุณสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อจดจำบทเรียนที่ได้รับ
จากภัยพิบัติ ปรัชญาความคิดของท่านบรมครูขงจื้อและเมิ่งจื้อ จะเป็นที่เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลื่อซึ่งกันและกัน จะเป็นปฎิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน

9. พระศรีอาริยเมตไตรย จะเสด็จสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในศุภวาระนี้ จะทรงเปิดเผยให้เห็นฉากสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์ ของพระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทาน
อริยฐานะตามลำดับมรรคผลบุญกุศล จากนี้โลกแห่งสันติสุขเยี่ยงสมัยพระเจ้า "เหย่าซุ่น" หรือโลกพระศรีอาริย์ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนี้



*สถานที่เกิดเหตุมหันตภัย*
วันที่ 30 มกราคม เวลาเช้า 9.00 น. อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ (เทียนไฉ) ก็ได้ถอดจิตติดตามพระอาจารย์จี้กง ไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไปดังนี้



ขณะนั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึกใหญ่ ๆ ที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิดและแสงไฟโชติช่วงได้พังคลืนลงมาทั้งหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ต้นไม้
ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคน ล้มระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แล้วเธอก็ได้เห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่ง ตรงกลางเป็นพุทธสถาน
บ้านเรือนที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถานและภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีม่วงพ้นภัยโดยทั่วกัน ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไป
แต่เป็นคนที่มีจิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยในพุทธสถานด้วย

โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าหรือดวงไฟจากสิ่งใดเลย สายฟ้าแลบพร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้าแต่ละหยดมีน้ำหนัก
เหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด เหมือนยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูน เหล็กกล้าและทุกอย่างแต่ที่น่าอัศจรรย์คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มันจะสลายตัวหายไป
จนหมดสิ้น ในตำหนักพระมีพระพุทธประทีป 3 ดวง บนแท่นบูชาสาดส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว

ไม่นานต่อมาเธอก็ได้เห็นพื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไป ผีนรกทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคนดูกระเหี้ยนกระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขาก็
ฉุดกระชากตัวลงไป ในร่องลึกใต้ดินโดยทันทีโดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ เป็นภาวะที่ผีคร่ำครวญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้องโดยแท้สยองขวัญยิ่งนัก พระอาจารย์จี้กงบอกหนูเอี้ยนอี่ว่า นั่นคือการ
หักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา

ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเหมือนกัน แผ่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ำ และเหมือนบ้านเก่า ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้น
มีไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ำและเหมือนน้ำมันผุดขึ้นจนล้นออกมา ฟองเหล่านั้นมีสีแดงเรื่อ ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเลย บนผนังบ้านติดยันต์เต็มไปหมด
ดูอึมครึมน่ากลัว พระอาจารย์จี้กงบอกว่า ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม เป็นถ้ำมารที่ปีศาจมารร้ายจำแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ ไม่นานนักเธอก็เห็นพระศรีอาริย์ปลอม
ลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวเราะร่าร้องเรียกผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมและคนทั้งหลาย ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัยในพุทธสถานที่แท้จริงว่า ให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้
อีกทั้งแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคน ให้พ้นจากการทำลายของฝนพิษได้

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญธรรมที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระ ภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ยกระดับและมอบหมายตำแหน่งงานธรรมชั้นสูงให้ ใครก็ตามที่หลงเชื่อ
ตามไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป โดยแท้จริงแล้ว คนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นคนที่บำเพ็ญธรรมจงพึงระวังตัวให้รอบคอบทีเดียว



*ภาพเมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย*

ในหนังสือ " สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาส " ศุภนิมิตถอดความไว้ว่า:- เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2531 เวลา 17.10 น. เด็กหญิง "เทียนไฉ" ถอดจิตออกจากร่างติดตาม
พระอรหันต์จี้กงขึ้นไปเหนือเมฆ มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าสภาพอันน่าเวทนาเมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น มีดังนี้



ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง หัวระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศเกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้นมันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมด
ชั่วพริบตา พร้อมกับเสียงดังกัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากระเบิด ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลายบาดเจ็บและล้มตายลงนับจำนวนไม่ถ้วน
ทุกหนทุกแห่งเห็นแต่ภาพน่าอนาถ กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดำรูปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้นให้ความรู้สึกอึดอัด
เหมือนกำลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับความเสียหายกว้างไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร

ส่วนกัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่านกระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อ เรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้า
เป็นที่น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นสีแดงคล้ำแล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันใด
ก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และดำมืด

ถึงตอนนั้นแม้จะชูมือขึ้นตรงหน้า ก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ก็มองไม่เห็นกัน พระอาจารย์จี้กงตรัสไว้ว่านั่นคือ " เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน " อันยาวนานที่รัตติกาลมา
สู่โลก เวลาอันน่าสะพรึงกลัวกำลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้



*วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณ*

พระอาจารย์จี้กงพาหนูน้อยเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:- แม้จะผ่านช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนานและน่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด ต่อมาจึงค่อย ๆ
สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน มีแต่หัวขาด แขนขาด ขาขาด หรือตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลยโลหิตสีดำคล้ำนองไหลมารวมกัน จนเหมือนแม่น้ำเลือดกลิ่น
เหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน พูดได้ว่ามันคือนรกในเมืองมนุษย์จริง ๆ ไม่นานต่อมา แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถานก็ค่อย ๆ จางไป ญาติธรรมทั้งหลายพากันออกมาภายนอกได้แล้ว
โลกทั้งโลกเงียบสงัด สัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้มีเพียงประเภทเดียว คือสัตว์ที่กินหญ้าหรือกินพืชผักเป็นอาหาร คือ กระต่าย แกะ วัว ควาย และม้าเท่านั้น จากนี้คือความทุกข์ยากหลังจาก
วันเกิดมหันตภัย



*วันที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ*

คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพราะทุกหนแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ทนต่อความอดอยากไม่ได้
ผู้ที่กินเจเฉพาะวันหรือไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้ ภายในร่างกายของเขายังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านั้นจะฉีกเนื้อกระต่าย แกะ วัว
ควาย หรือม้ากินดิบ ๆ ได้ แต่ไม่นานต่อมาเขาก็จะต้องตายเพราะสารพิษ พระอาจารย์จี้กงได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่คนที่กินเจเท่านั้นที่จะอยู่รอดจากความอดอยาก หลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง ๆ



*วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง พระอาจารย์จี้กงได้โปรดนำหนูเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป*

ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยกเป็นทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนองก็แห้งลงและซึมลงไปในดิน ทุกอย่าง
ที่เห็นมีแต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา และน่าอนาถใจ คนถือศีลกินเจทั้งหลาย เริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ำทิพย์
ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้นก็ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา จะไม่กล้าเดินออกไปนอกตำหนักพระเลยแม้สักก้าวเดียว

*วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง หนูน้อยเอี้ยนอี๋ก็ติดตามพระอาจารย์จี้กงไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ฉากสุดท้ายต่อไป*

ขณะนั้น ทั้งการเก็บฝังและเก็บเผาซากศพจะแล้วเสร็จไปส่วนเสียส่วนใหญ่ แสงสีม่วงนอกจากจะปกป้องรอบ ๆ อาณาบริเวณพุทธสถานแล้ว ยังรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้า และสิ่งปลูกสร้างในวงรอบ
รัศมีอีกด้วย ส่วนรอบนอกนั้นราพณาสูรไม่เหลืออะไรเลย ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดถูกทำลายหมดสิ้น และใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย

จากนั้นฟ้าดินก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตามปรกติ ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลม มีฝน แม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไหลล่อง ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัย
หลบฝน และเริ่มงานทำไร่ไถนากันอย่างขะมักเขม้น เช้าก็ออกไปทำนา เย็นก็กลับมาบ้าน ชีวิตแม้จะไม่ว่างทางแรงกายแต่ก็มั่นคงเป็นสุขใจ ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกัน
และกัน ไม่มีการวิวาทบาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของชีวิต และเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามเหมือนโลกใหม่โดยแท้

(แหล่งที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดย รหัสญาณ สำนักพิมพ์ ลานอโศก เพรส กรุ๊ป ISBN:9748346285)

ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ชื่อ:
การยืนยัน:
กรุณาเว้นช่องนี้ว่างไว้:
พิมพ์คำว่า กิมหยง ลงในคำตอบ:
shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง