ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

สิวอักเสบ ปัญหาผิวที่ต้องรู้ เกิดจากอะไร ? มีกี่แบบ ? ป้องกันและดูแลอย่างไรให้ถู

เริ่มโดย beautypost, 13:33 น. 04 มี.ค 68

beautypost


    สิวอักเสบ
     
    สิวอักเสบ เป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อยและสร้างความกังวลใจให้กับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะรักษาให้หายแล้ว แต่ก็มักทิ้งรอยสิวไว้เป็นที่ระลึก 
     
    บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสิวอักเสบในทุกแง่มุม ตั้งแต่สาเหตุ ประเภท วิธีการรักษา การป้องกัน และการดูแลตนเอง เพื่อให้คุณมีความเข้าใจและจัดการกับสิวอักเสบได้อย่างถูกต้อง
     


     
    สิวอักเสบ คืออะไร ?
     

    สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือ โรคผิวหนังที่เกิดการอักเสบเรื้อรังบริเวณรูขุมขนและต่อมไขมัน มักพัฒนามาจากสิวอุดตันหรือสิวผด โดยมีแบคทีเรียที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes (P. acnes) เจริญเติบโตอยู่ในตุ่มสิว แบคทีเรียนี้จะดึงดูดเม็ดเลือดขาวเข้ามาในตุ่มสิว ทำให้เกิดการอักเสบ และยังมีเอนไซม์ที่ย่อยน้ำมันในตุ่มสิวให้กลายเป็นกรดไขมัน ซึ่งกระตุ้นการอักเสบเพิ่มเติม
     


     
    สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ
     
    การเกิด สิวอักเสบ มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถแบ่งเป็นปัจจัยภายในและภายนอก ได้แก่
     
    • การอุดตันของรูขุมขน – เมื่อน้ำมัน (sebum) และเซลล์ผิวตายสะสมในรูขุมขน ทำให้เกิดการอุดตัน
    • แบคทีเรีย P. acnes – เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูขุมขน หากมีการสะสมมากเกินไป จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
    • ฮอร์โมนที่แปรปรวน – โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันมากเกินไป มักพบในวัยรุ่น ช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือมีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ
    • ความเครียดและพฤติกรรมการใช้ชีวิต – การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด และการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง ส่งผลให้สิวอักเสบเกิดขึ้นง่ายขึ้น
    • พันธุกรรม – หากพ่อแม่มีประวัติเป็นสิวอักเสบ ลูกมีโอกาสเป็นได้มากขึ้น
    • ความเครียด – กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มการผลิตน้ำมัน
    • อาหาร – อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง นม และผลิตภัณฑ์จากนม อาจกระตุ้นการเกิดสิวในบางคน
    • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม – เครื่องสำอางหรือครีมที่มีส่วนผสมอุดตันรูขุมขน (comedogenic)
    • การบีบหรือแกะสิว – ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้นและแพร่กระจายแบคทีเรีย
    • มลภาวะและสภาพแวดล้อม – ฝุ่น ควัน และมลพิษอาจกระตุ้นการอักเสบของผิว
    • การเสียดสีหรือกดทับ – เช่น จากหมวกกันน็อค หน้ากากอนามัย หรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น
    • ยาบางชนิด – เช่น สเตียรอยด์ ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด หรือยาบางประเภทที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดสิว
    • โรคบางชนิด – เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ที่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนมากเกินไป



     
    สิวอักเสบ มีทั้งหมดกี่แบบ ?
     
    สิวอักเสบ แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะและระดับความรุนแรง โดยสามารถจำแนกออกเป็น 6 ประเภทหลักดังนี้
     



     
    สิวหัวดำ(Blackheads)
     
    สิวหัวดำ เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน เมื่อสัมผัสอากาศ ไขมันที่อุดตันจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้หัวสิวกลายเป็นสีดำ แม้จะไม่ทำให้เกิดการอักเสบมากนัก แต่หากปล่อยไว้นานอาจกลายเป็น สิวอักเสบ ได้ค่ะ
     


     
    สิวหัวขาว (Whiteheads)
     
    สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กสีขาวใต้ผิวหนัง เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนโดยไม่มีการสัมผัสกับอากาศ จึงไม่เกิดออกซิเดชันเหมือนสิวหัวดำ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจพัฒนาเป็น สิวอักเสบ ที่มีอาการบวมแดง
     


     
    สิวหัวหนอง (Pustule)
     
    สิวหัวหนอง เป็น สิวอักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียภายในรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบจนมีหนองสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง มักมีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงที่มีหัวสีขาวหรือเหลือง หากบีบหรือแกะ อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายและทำให้สิวลุกลามมากขึ้นค่ะ
     


     
    สิวตุ่มแดง (Papule)
     
    สิวตุ่มแดง เป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่เกิดจากการอุดตันและติดเชื้อภายในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง ไม่มีหัวสิวชัดเจน เมื่อกดอาจรู้สึกเจ็บ สิวประเภทนี้อาจพัฒนาเป็น สิวหัวหนอง ได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
     


     
    สิวซีสต์ (Acne Cyst)
     
    สิวซีสต์ เป็น สิวอักเสบ ที่มีความรุนแรงสูงสุด เกิดจากการอักเสบลึกในชั้นผิวหนัง มีลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยหนอง อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดมาก หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกไว้บนผิวค่ะ
     


     
    สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก (Nodule)
     
    สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก เป็นสิวที่มีขนาดใหญ่และอยู่ลึกลงไปในชั้นผิว มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ ไม่มีหัวหนอง และมักก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดมาก หากไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาเป็น สิวซีสต์ และทำให้เกิดแผลเป็นถาวร
     


     
    สิวอักเสบรักษากี่วันหาย ?
     

    ระยะเวลาที่ สิวอักเสบ จะหายขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประเภทของสิว วิธีการรักษา และพฤติกรรมการดูแลผิวของแต่ละคน โดยปกติแล้ว สิวอักเสบ สามารถใช้เวลาหายแตกต่างกันดังนี้
     
    • สิวหัวขาว (Whiteheads) และสิวหัวดำ (Blackheads) – ใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ในการยุบตัว หากใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือ AHA/BHA จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
    • สิวตุ่มแดง (Papule) และสิวหัวหนอง (Pustule) – โดยทั่วไป สิวตุ่มแดง ใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน กว่าจะยุบลง สิวหัวหนอง มักใช้เวลานานขึ้น ประมาณ 10-14 วัน โดยสามารถใช้ยาแต้มสิวที่มี Benzoyl Peroxide หรือ กรดอะเซลาอิก (Azelaic Acid) เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
    • สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก (Nodule) และสิวซีสต์ (Acne Cyst) – สิวประเภทนี้มีความรุนแรงสูง มักใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนกว่าจะหาย บางรายอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน หากไม่มีการรักษาที่เหมาะสม การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หรือการฉีด Steroid Injection โดยแพทย์ อาจช่วยลดการอักเสบได้เร็วขึ้น

    ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการหายของ สิวอักเสบ ได้แก่ การดูแลผิว ให้สะอาด การรักษาที่ถูกต้อง ไลฟ์สไตล์และโภชนาการ ที่เหมาะสม และ หลีกเลี่ยงการบีบสิว เพื่อลดการอักเสบและรอยแผลเป็นค่ะ 
     
    หากสิวไม่ดีขึ้นใน 2-3 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมค่ะ
     


     
    แนวทางการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันการเกิดสิวอักเสบ
     
    การป้องกัน สิวอักเสบ ทำได้โดยการปรับพฤติกรรมและดูแลผิวอย่างเหมาะสม ดังนี้
     
    1. ล้างหน้าอย่างถูกวิธี
     

    ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยคลีนเซอร์อ่อนโยนที่เหมาะกับสภาพผิว ไม่ล้างบ่อยเกินไปเพราะจะกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น ใช้น้ำอุ่น เช็ดหน้าเบาๆ และล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้าทุกครั้ง อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายเพื่อลดโอกาสเกิดการอุดตันรูขุมขน 
     
    2. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน
     
    ควรเลือกเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ระบุว่า non-comedogenic หรือ ไม่อุดตันรูขุมขน เพื่อลดโอกาสที่รูขุมขนจะถูกอุดตันและเกิดสิวอักเสบ รวมถึง
     
    • ใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ แม้จะมีผิวมัน เพราะการขาดความชุ่มชื้นจะกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid (BHA) ช่วยขจัดเซลล์ผิวตายและลดการอุดตัน
    • ใช้ Benzoyl peroxide ช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
    • ใช้ Niacinamide ช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมัน
    • ใช้ Retinol หรือ Retinoids ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว (ควรใช้ตามคำแนะนำแพทย์)


    นอกจากนี้ ควรใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันรอยดำจากสิว และที่สำคัญอย่าลืมล้างเครื่องสำอางก่อนนอนทุกครั้ง ไม่ควรนอนทั้งที่ยังแต่งหน้าอยู่
     
    3. การบริโภคอาหารและดูแลโภชนาการ
     
    ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม ลดการบริโภคนมวัวกระตุ้นสิว เพิ่มผักและผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุบำรุงผิว รวมถึงอาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาทะเล อโวคาโด ถั่ว ซึ่งช่วยลดการอักเสบได้
     
    4. การใส่ใจไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตประจำวัน
     
    เปลี่ยนปลอกหมอนทุก 1-2 สัปดาห์ ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ ลดความเครียดด้วยการออกกำลังกายหรือเทคนิคการผ่อนคลาย นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น และออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
     
    5. ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวตามคำแนะนำจากแพทย์
     
    หากสิวอักเสบเป็นปัญหาที่รุนแรงหรือเรื้อรัง ห้ามบีบหรือแกะสิวเด็ดขาด ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาทา หรือยารับประทานที่ช่วยควบคุมการเกิดสิว
     
    หากปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสเกิด สิวอักเสบ และทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นค่ะ 
     


     
    สรุปเรื่องสิวอักเสบ และวิธีดูแลผิวให้ห่างไกลสิว
     
    สิวอักเสบ เป็นปัญหาผิวที่สามารถป้องกันได้ถ้าเรารู้สาเหตุและใส่ใจในการดูแลตัวเอง การปฏิบัติตามวิธีป้องกันง่ายๆ เช่น การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม, การจัดการความเครียด, และการพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยลดโอกาสที่สิวอักเสบจะเกิดขึ้นและรักษาผิวหน้าของคุณให้อยู่ในสภาพดีเสมอ อย่าลืมดูแลผิวด้วยความใส่ใจเพื่อให้สุขภาพผิวของคุณสวยงามและไร้สิวค่ะ[/list][/list]