ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ความตกต่ำของการศึกษาไทย .. เมื่อครูต้องมาขายตรง

เริ่มโดย ฟานดี้, 13:10 น. 01 ก.พ 54

ฟานดี้

## ความตกต่ำของการศึกษาไทย เมื่อครูต้องมาขายตรง ##
เรียบเรียงจากคอลัมน์ มุมมองบ้านสามย่าน
ของ วิทยา องค์วิริยะพันธ์



มีข้อมูลจาก คนที่อยู่ในแวดวงวิชาการ อาจารย์
ที่สอนในมหาวิทยาลัยเอกชน ในต่างจังหวัด
ข้อมูลลักษณะดังกล่าวมาจากหลายแหล่ง
ทั้งในจังหวัดอุบลราชธานี สุรินทร์ และเพชรบูรณ์

และยังไม่รู้ว่ามีอีกเท่าไหร่ในจังหวัดอื่น
ที่ฟังแล้ว อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

นั่นคือ การที่วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเหล่านั้น
ให้อาจารย์ออกไปโฆษณาหานักเรียนมาสมัครเข้าเรียน

แล้วยังประเมินผลการจ้างงานจากความสำเร็จของการหานักเรียน
มาสมัครได้ถึงยอดจำนวนที่ต้องการเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้น

.........................................................................

โดยจ้างอาจารย์เข้าไปสอน โดยให้เงินเดือนน้อยเมื่อเทียบกับคุณวุฒิ
(ตรงนี้เป็นปัญหาของประเทศไทยมาช้านานแต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข)
และให้ผลตอบแทนในลักษณะ Incentive (ตามยอดขาย)
เหมือนพวก เซลล์ หรือ มาร์เก็ตติ้ง ต่างๆ

สูตรรายได้ของพวกนี้ ก็คือ

Income = Base Salary + Incentive ( ค่าคอมมิสชั่น x ยอดขาย)

ซึ่งผมยอมรับว่า ไม่เคยเห็นในแวดวงวิชาการ หรือ การศึกษา

ด้วยโครงสร้างรายได้แบบนี้ อาจารย์ต้องใช้เวลาที่เหลือไปกับการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนมาสมัครเรียน โดยถึงขั้นว่าให้นักเรียนรีบตกลง
และกรอกใบสมัครรอไว้ เมื่อถึงเวลาจึงค่อยมามอบตัวและลงทะเบียนเรียน
ถ้ามีนักเรียนสมัครเรียนอาจารย์ก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มเติมจากเงินเดือน

และถ้าทำยอดได้ก็จะได้รางวัลเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเลยทีเดียว

แทบไม่แตกต่างจากธุรกิจขายตรง

...............................................................................

ระบบการศึกษาไทยทุกวันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เข้าข่าย
ความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยด้วยเช่นกัน มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง
ได้เลือกออกนอกระบบแล้วเก็บค่าเล่าเรียนในราคาแพง ซึ่งส่งผลอย่างมาก
ต่อคนทำงานเงินเดือนน้อยในการส่งลูกเข้าเรียนหรือจะส่งตัวเองเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป

เพราะด้วยภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเงินที่เหลือแทบจะไม่พอ
เก็บออมมาเป็นค่าเล่าเรียนเลย หากเข้าเรียนได้ก็จะเกิดปัญหาภาระหนี้
ตามมาเพื่อหวังว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะทำให้ตัวเองมีรายได้ดีขึ้น
มาปลดภาระหนี้ได้ต่อไป กองทุน กยศ. ของรัฐบาลเองก็สนับสนุนเงินกู้
แค่ระดับปริญญาตรีเท่านั้น ทุนการศึกษาต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ
จัดมาให้ในการศึกษาขั้นสูงกว่าปริญญาตรีก็ถือได้ว่าน้อยมาก
เมื่อเทียบกับความต้องการของคนด้อยโอกาสเพื่อเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

....................................................................................

คุณภาพการศึกษาจะแย่ลงทุกวันๆ เพราะอาจารย์มัวแต่ใส่ใจกับความมั่นคง
ในหน้าที่การงานของตนโดยการออกหานักเรียนมาสมัครเรียน
มากกว่าจะเพิ่มพูนความรู้หรือทำงานวิจัยเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้
ให้กับชุมชนหรือประเทศชาติ อาจารย์ที่ทนไม่ได้กับวิธีการแบบนี้ก็ลาออกไปกันไม่น้อย
เนื่องจากวิชาชีพครู เป็นอาชีพที่มีความกดดันด้านยอดขายสูง ??


เมื่อมองจากยอดขายเป็นหลัก ทำให้อัตราหมุนเวียนอาจารย์เข้าใหม่มีอยู่ตลอดเวลา
(ซึ่งไม่ส่งผลดีกับ การพัฒนาทักษะการสอน และความชำนาญในวิชาชีพ)

.........................................................................................

ภายใต้ค่านิยมที่เหลื่อมล้ำกันระหว่างเมืองหลวงกับต่างจังหวัด
ทำให้คนแห่ เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้มีแนวโน้ม
ที่จะได้ความรู้และโอกาสในการทำงานที่ดีกว่า

ในที่สุดแล้ววิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่มีคุณภาพ
ก็จะกลายเป็นแหล่งเก็บตก นักเรียนที่พลาดโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ
อาจารย์ที่สอนก็ไม่ได้ใส่ใจกับการสอนเนื่องจากต้องหารายได้

ทำให้ผลกระทบทั้งหมดจะตกอยู่กับสังคมหรือชุมชน
แทนที่จะมีสถาบันพัฒนาประชากร ของท้องถิ่น กระจายโอกาส
ทางการศึกษา ให้กับคนทั้งประเทศ ในมาตรฐานใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตามทุกวันนี้มหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงบางแห่ง
ก็เปิดหลักสูตรหาเงินเก็บค่าเล่าเรียนแพงแถมประกาศว่า

"จ่ายครบจบแน่"

ทำให้เป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพการศึกษาของประเทศที่ตกต่ำลงทุกวัน
นั่นเป็นเพราะรายได้หรือผลตอบแทนเป็นประเด็นแรกที่ทุกคนให้ความสำคัญ
ซึ่งในระยะสั้นทำให้มหาวิทยาลัยและอาจารย์มีรายได้เพิ่มขึ้น
แต่ในระยะยาวแล้วเป็นผลเสียต่อประเทศชาติอย่างชัดเจน

ผมเห็นบางมหาวิทยาลัย ไม่มีแม้แต่คณะบริหารธุรกิจ หรือ วิทยาการจัดการ
แต่ปั้นหลักสูตร MBA ออกมาขายได้เกร่อ มีห้องเรียนอยู่ใจกลางเมือง
แถวๆ ถนนสีลม ด้วยโครงสร้างบุคคลากร ที่เพียงแค่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ
(แต่ค่าเช่าพื้นที่ใจกลางย่านธุรกิจ แพงกว่าค่าบุคคลากรไม่รู้กี่เท่า)

..............................................................................................

เมื่อถึงจุดนี้ เราคงหลีกเลี่ยงระบบตลาดเสรีของการศึกษาไม่ได้
วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเอกชนที่เพิ่งเปิดใหม่ก็ควรจัดตั้งแผนกประชาสัมพันธ์
หรือการตลาดขึ้นมาโดยตรง แทนการให้อาจารย์ต้องออกไปหานักเรียนเอง


เพราะถ้าหากเรามองว่าสถาบันการศึกษาเอกชนคือธุรกิจทั่วไป

ครูอาจารย์ก็คือฝ่ายผลิต

มีหน้าที่ ผลิตนักเรียนผลิตบัณฑิตที่มีความรู้มากพอที่จะออกไปทำงาน
ได้อย่างดีมีประสิทธิภาพเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
(ซึ่งสร้าง มูลค่าทางการตลาดให้กับ สถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตออกมา)

ถ้าหากให้ฝ่ายผลิตต้องมาทำการตลาดเองด้วย
ก็จะทำให้เวลาที่จะค้นคว้าวิจัยเพื่อให้สินค้ามีคุณภาพสูงขึ้นก็ต้องหายไป

ในที่สุดก็จะผลิตสินค้าที่คุณภาพต่ำออกมา
ผู้บริโภคสินค้า ก็จะไม่สนใจใช้บริการ สินค้าภายใต้แบรนด์สถาบันการศึกษานั้น
และหันไปเลือกสถาบันอื่นที่มีคุณภาพสูงกว่าแทน

แม้ว่าวิธีนี้อาจจะดูง่ายไปสักหน่อย แต่ก็เป็นวิธีการที่ชัดเจน
และมหาวิทยาลัยทั่วโลกทำกัน

เห็นได้จากการที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
ตั้งองค์การที่เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศทั้งหมด
หรือในนามของรัฐบาลเข้ามาประชาสัมพันธ์ในประเทศไทยเรา
จัดงานอีเวนท์หาคนไทยไปเรียนนอกอยู่เนืองๆ

แน่นอนว่าย่อมเป็นวิธีการที่ดีกว่าการให้อาจารย์ต้อง
ไปหานักเรียนมาสมัครเรียนแน่นอน
_________________