ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

บทความน่าสนใจ ของ เปลวสีเงิน

เริ่มโดย คัดลอกมา, 13:49 น. 07 มิ.ย 55

คัดลอกมา

คัดลอกมาให้อ่านกัน
ว่าด้วย 'สงครามมหาสยามยุทธ์'

    เปลว สีเงิน

7 June 2555 - 00:00

   เหมือน "ดาวศุกร์" ปาดหน้า "พระอาทิตย์" ในรอบร้อยปีนั่นแหละครับ ที่รัฐบาล-อำนาจบริหาร, กำลังจับมือกับสภาผู้แทนฯ-อำนาจนิติบัญญัติ, ปฏิบัติการ "ปาดหน้า" อำนาจตุลาการ คือศาลรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยเรื่อง ๒ อำนาจระบอบทักษิณ แก้รัฐธรรมนูญหวังตั้ง ส.ส.ร.เขียนใหม่ทั้งฉบับ แต่มีคนไปร้องให้ศาลวินิจฉัยว่า นั่น...ขัดรัฐธรรมนูญและเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ศาลรับไว้วินิจฉัย และแจ้งให้สภาฯ ชะลอการโหวตวาระ ๓ ไว้ก่อน แต่ปรากฏว่า ณ ขณะนี้ พรรครัฐบาล "แข็งอำนาจ" บอกให้ประธานสภาฯ "ไม่ต้องฟังศาล" ลุยไปเลย!
    ผมมันพวก "ละครหลังข่าว" ก็ต้องเล่าเรื่องย่อวันต่อวัน เพื่อแฟนๆ จะได้ตามดูต่อเนื่องอย่างแฮฟคาร์-แฮฟเนชั่น ภาคแรกของเรื่อง "ทักษิณแผ่นดินแดง" นี้ จบไปตอนคนเสื้อแดงแจวเรือส่งพระเอกขึ้นฝั่ง พอขึ้นฝั่งปุ๊บ พระเอกก็ถีบหัวเรือปั๊บ พร้อมตะโกน
    "ข้าจะขึ้นเขา มีรถให้นั่งสบายแล้ว พวกเอ็งจะแบกเรือทะเล่อ-ทะล่าตามข้าไปทำไม มากันทางไหน พวกเอ็งก็ไสหัวกลับกันไปทางนั้นเถอะ...ไป๊"!
    การขึ้นเขา-ของเขาก็คือ ฝันหวานว่า รัฐบาล-รัฐสภาเพื่อไทย ต้องแก้รัฐธรรมนูญแล้วตั้ง ส.ส.ร.เขียนใหม่ทั้งฉบับให้เขาสำเร็จแน่นอน ตามแผน...พอโหวตวาระ ๓ เสร็จ พ.ร.บ.ล้างโทษก็จะเข้าสภาฯ ต่อ นั่นเท่ากับล้มอำนาจสถาบันตุลาการได้สำเร็จ เมื่อล้มได้แล้ว ก็จะรวบทั้ง ๓ อำนาจสูงสุด บรรจุเป็นเนื้อหา
    "อำนาจรวมศูนย์" อยู่ในรัฐธรรมนูญ ฉบับระบอบทักษิณ!
    แต่ปรากฏว่า พอก้าวขึ้นเขาเท่านั้นแหละ ถูก ๗ บั้นท้ายเท้าท่านเปาศาลรัฐธรรมนูญยันกลิ้งโค่โล่ลงไปแอ้งแม้งอยู่ริมตลิ่ง ก็อย่างที่เกริ่นไว้ข้างบน มีคนไปร้องให้วินิจฉัย เมื่อศาลรับไว้วินิจฉัย และแจ้งให้ทางสภาฯ ชะลอการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ไว้ก่อน
    "วิมานทรายทอง" ของทักษิณพังครืนทันที!
    ต้องซมซาน "ด้านหน้า" กลับมาขอใช้บริการเรือแดงอีก เพราะทุกอย่างมันผิดแผนไปหมด สภาฯ เกิดภาวะ "การจราจรติดขัด" พ.ร.บ.ล้างโทษ-คืนเงิน ๔.๖ หมื่นล้าน พลอยแหง็กไปด้วย ตัวประธานสภาฯ "นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ก็กลัวๆ-กล้าๆ โบกรถ-โบกราไม่ถูก
    เข้าทำนอง "คุณผู้หญิงให้เลี้ยวซ้าย-คุณผู้ชายให้เลี้ยวขวา" นั่นแหละ ประธานสมศักดิ์เลยโดดจากเอ้หมึงบอกว่า...ขอเวลาไปทำ "จิตว่าง" ก่อน!
    เรื่องก็มาถึงตรงนี้แหละครับ คือพรุ่งนี้ (๘ มิ.ย.) ประธานสมศักดิ์นัดประชุมรัฐสภา แจ้งว่าไม่มีทั้งวาระจรและวาระโจร เรื่องโหวตวาระ ๓ และเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองพับไว้ก่อน จะประะชุม ๒ สภาว่าด้วยเรื่องมาตรา ๑๙๐
    "สัจจะไม่มีในหมู่โจร" ก็จริง แต่นี่เป็นท่านผู้ทรงเกียรติพูด ฝ่ายพันธมิตรฯ ฝ่ายเสื้อหลากสี ฝ่ายสายล่อฟ้า เขาเชื่อจึงบอกว่า งั้นก็...จะไม่ออกมาทำหน้าที่ปราบโจร "ปล้นบ้าน-ชิงเมือง"
    แต่ฝ่าย นปช.เสื้อแดงคงเป็นแฟนหนังขายยากลางแปลง กลัวฝ่ายตรงข้ามจะมาแย่งที่หน้าจอ นางแดงเฒ่าหลงยุคจึงเกณฑ์สมุนมาจับจองพื้นที่รอบสภาฯ "กันท่า" ไว้ตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่!
    เนื้อความตามท้องเรื่องต่อจากวานนี้ ณ บัดนี้ ก็จะเป็นตอน "สงคราม ๕ รุม ๑" โปรดติดตามกันได้ตามอัธยาศัยว่า ลงท้ายแล้ว คลื่นลมจะสงบ หรือจะก่อตัวเป็นมรสุมใหญ่ นำไปสู่สงครามที่เรียกว่า "มหาสยามยุทธ" ข้ามเดือน-ข้ามปี "หลายภาค"
    ไปจบเอาตอนปลายปี ๒๕๕๘ โน่น?
    ฝ่าย ๕ ก็คือ ฝ่ายรัฐบาลที่ผนึกกับฝ่ายรัฐสภา ที่ทำท่าจะ "แหกด่าน" ศาลรัฐธรรมนูญ อยู่รอมร่อ อยู่ที่ว่าจะปั่นหัวประธานสมศักดิ์ให้ห้าว "สั่งลุย" เพื่อทักษิณได้ขนาดไหน เพราะนายพีรพันธุ์ พาลุสุข กูรูเพื่อไทย พูดเป็นนัยๆ ว่า ๘ มิ.ย.นี้
    "ตามระเบียบข้อบังคับ แม้ว่าจะไม่มีการบรรจุเรื่องในระเบียบวาระการประชุม แต่หากภายหลังที่ทางประธานสภาฯ ได้แจ้งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมแล้ว จำเป็นต้องเปิดให้สมาชิกรัฐสภาหารือและถกเถียงในประเด็นคำสั่งศาลว่า ทางรัฐสภาต้องปฏิบัติตามหรือไม่
    โดยหลักการ หากมีการโต้แย้งและเห็นว่าคำสั่งของศาลไม่มีผลผูกพัน หรือมีอำนาจเหนือการทำหน้าที่ของสภาฯ แล้ว การจะลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามนั้น ก็ต้องมีผู้เสนอต่อที่ประชุมเป็นญัตติที่ให้ที่ประชุมลงมติชี้ขาดอีกครั้งว่า จะให้ลงมติร่างรัฐธรรมนูญวาระสามหรือไม่ วันไหน อย่างไรบ้าง
    แม้ว่าอำนาจการบรรจุเรื่องเข้าสู่วาระจะเป็นอำนาจตรงของประธานรัฐสภา แต่ หากมีสมาชิกเสนอญัตติด่วนด้วยปากเปล่า ที่ประชุมก็ไม่สามารถเลี่ยงที่จะไม่พิจารณาได้.........."
    เห็นมั้ย...ไว้ใจได้ซะที่ไหนว่าจะไม่มีการโหวต แถม ๒ ขั้วอำนาจนี้ยังได้อีก ๓ กำลังหนุนกลายๆ ก็ยิ่งวางใจได้ยาก คือทั้งจาก "นายอัชพร จารุจินดา" เลขาฯ กฤษฎีกา ที่ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า
    "..........เรื่องนี้คงจะท้ากันไม่ได้ แต่จะต้องพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล และให้ทำยังไงกันต่อไป เรื่องคาราคาซังกันอยู่แบบนี้ คนหนึ่งต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญก็กังวลใจว่า ถ้ามีคนมาสั่งไม่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมได้หรือไม่ ก็ต้องหารือกัน ความเห็นยังแตกต่างกันอยู่ ซึ่งต้องดูในรายละเอียด เพราะเรื่องนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และไม่เคยเกิดขึ้นในโลก"
    และอีกกำลัง จากสำนักงานอัยการสูงสุด นายอรรถพล ใหญ่สว่าง รองอัยการสูงสุด ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง บอกว่า ตอนบ่ายโมงวันนี้ (๗ มิ.ย)
    "..........คณะกรรมการจะประชุมกันเพื่อพิจารณาเอกสารที่ได้จากคำร้อง และที่ได้ขอเพิ่มเติมจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในการประชุมหากอัยการได้เอกสารครบถ้วน ก็สามารถมีความเห็นเสนอนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดได้ทันทีว่า จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 68 ได้หรือไม่ หรือคำร้องไม่มีมูลข้อเท็จจริง ที่จะเกิดการกระทำที่จะให้ยื่นคำร้องได้ตามมาตรา 68..........."
    และกำลังหนุนที่สาม "นายวิทูร พุ่มหิรัญ" เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร "ฟันธง" ตรงใจรัฐบาล-รัฐสภาเพื่อไทย ว่า
    "...............คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวมิได้ปรากฏตามลักษณะที่มาตรา 216 ของรัฐธรรมนูญกำหนด จึง ไม่เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อันมีผลผูกพันรัฐสภา รวมถึงคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งต่อเลขาธิการสภาผู้แทนฯ ให้แจ้งประธานรัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน มิใช่เป็นการออกคำสั่งต่อประธานรัฐสภาหรือรัฐสภา"
    ฉะนั้น ๘ มิ.ย.นี้ ท่านลืมได้ แต่พลาดไม่ได้ ต้องตื่นมาเกาะหน้าจอกันแต่เช้าเชียวว่า รัฐสภาระบอบทักษิณจะกล้า "หัก" อำนาจศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ และที่ว่าไม่มีโหวตวาระ ๓ ไม่มีเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองนั้น โบราณว่า "วางใจคน จะจนใจตัวเอง"
    เพราะ "แรงยุ" ให้สมศักดิ์ "ตายเดี่ยว" มันเยอะน่ะ!
    ประเด็นที่น่า "ลุ้นระทึก" วันนี้ (๗ มิ.ย.) ผมอยากให้เงี่ยหูฟัง ไม่เย็นนี้ ก็พรุ่งนี้ คอยฟังว่า อัยการจะมีความเห็นส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือยกคำร้องเพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า...ไม่มีมูลตามที่ผู้ยื่นคำร้องกล่าวหา
    ถ้ามีความเห็นส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก็จบไป แต่ถ้าอัยการสูงสุดบอกว่า "ยกคำร้อง" เพราะพิจารณาแล้วไม่มีมูล
    ตรงนี้ ๒ อำนาจ "ขัดกัน" ความมันจะบังเกิดทันที...พี่น้อง!
    เพราะจะเกิดสงคราม "เขตแดนอำนาจ" ระหว่างอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ กับอำนาจอัยการสูงสุด ซึ่งเรื่องเดียวกัน แต่มีวินิจฉัยไม่ตรงกัน และนั่น...จะนำไปสู่ความยุ่งยาก-สับสนทั้งสังคมการบ้าน และสังคมการเมือง เรื่อง "ดาวศุกร์ปาดหน้าพระอาทิตย์" นั่นเชียว
    ทราบฝ่าย ๕ ไปแล้ว ก็มาดูฝ่าย ๑ ใน "สงคราม ๕ ต่อ ๑" บ้าง ๑ นั้นก็คือ ฝ่าย "ศาลรัฐธรรมนูญ" มือเดียวค้ำแผ่นดิน เมื่อวาน ท่านวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ออกมาทำความเข้าใจที่ตรงกันอีกครั้ง ท่านกล่าวท่ามเสียงตบมือเกรียวหน้าจอว่า
    ".........คำร้องของผู้ร้องที่กล่าวอ้างว่า การแก้รัฐธรรมนูญทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการรับเรื่องไว้พิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไว้ไต่สวน จะทำให้ทราบว่ามีการกระทำดังกล่าวจริงหรือไม่ ซึ่งไม่ต่างจากการไต่สวนในคดีอื่นๆ
    ส่วนการที่อัยการสูงสุดรับคำร้องไว้พิจารณา เพื่อที่จะส่งต่อให้ศาลธรรมนูญวินิจฉัยต่อนั้น หากตีความตามนี้ก็ไม่ต่างจากอัยการสูงสุดเป็นไปรษณีย์ เมื่อรับเรื่องจากพนักงานสอบสวนก็ส่งต่อ และถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ให้อัยการสูงสุดทำหน้าที่ได้เพียงเท่านี้ก็ไปเป็นไปรษณีย์ดีกว่า
    แม้ศาลรัฐธรรมนูญทำหนังสือแจ้งไปยังรัฐสภาแล้ว แต่ถ้าหากสภาฯ ยังพิจาณาผ่านร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 ก็ถือเป็นเรื่องของสภาฯ เราคงไม่ไปก้าวล่วง เขาไม่รอคำวินิจฉัยก็เป็นเรื่องของเขา จะตัดสินใจอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไปรับผิดชอบกันเอง
    ศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติทำหน้าที่ของตนเองอย่างระมัดระวัง ไม่มีใครชี้นำ เราระวังในการเข้าไปแตะต้องอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ เพราะเราทั้ง ๙ คนไม่ใช่มนุษย์ทองคำ เราไม่มีอำนาจอื่นใด นอกจากทำตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้เท่านั้น ไม่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ และหากไม่มีมาตรา ๖๘ เราก็ทำอะไรไม่ได้
    ที่ผ่านมา ได้พิจารณาข้อกฎหมายที่รัฐบาลออกมาอย่างเที่ยงธรรม เช่น การพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณ ซึ่งไม่มีใครทราบว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร และส่วนมากถ้ามีเจตนาไม่ส่อไปในทุจริต ศาลรัฐธรรมนูญก็พิจารณาให้ผ่านทุกครั้ง การพิจารณารับคำร้องจะดูที่ประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก
    กรณีที่เกิดขึ้น หากศาลรัฐธรรมนูญเพิกเฉยก็จะกลายเป็นช่างเขา หากจะล้มเลิกและเปลี่ยนแปลงการปกครองได้หรือไม่ อีกทั้งในขั้นนี้ก็ยังไม่มีการตัดสิน ไม่มีการวินิจฉัย ซึ่งหากการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญจะทำให้สภาฯ เลื่อนการลงมติออกไปเดือนกว่าๆ ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าเรียกให้ทั้งสองฝ่ายยื่นคำชี้แจงภายในวันที่ ๕-๖ ก.ค.นี้ ถ้ากระบวนการไต่สวนเสร็จสิ้น ภายใน ๑ สัปดาห์ก็จะลงมติได้
    ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองของใคร หรือฝ่ายใด ถ้าบอกว่าอำมาตย์กำลังใช้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ ก็ต้องถามว่าใครคืออำมาตย์ และใครเป็นหัวหน้าอำมาตย์ ถามหน่อย เพราะหัวหน้าอำมาตย์ตัวจริงในที่นี้หมายถึงนายกรัฐมนตรี เพราะมีอำนาจสูงสุดในประเทศ"
    สงคราม "มหาสยามยุทธ์" เพิ่งเริ่ม อย่านอนหลับกดแต่ Like โปรดเตรียมออกไปใช้สิทธิ์กันด้วยเน้อ.

wareerant

ละครหลังข่าว ยังไม่เข้มข้นเท่านี้ มาม่าต้มยำกุ้งน้ำข้น ยังไม่ข้นเท่านี้ ประชาธิปไตยแบบหลอก ๆ ของไทย จะไปได้แค่ไหน ติดตามชมกัน