ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

อดีตไม่หวนคืน

เริ่มโดย ตระกูล, 01:11 น. 06 ก.ค 55

ตระกูล




ทรงพระเจริญ
คฌะรัฐประหารผู้ปกป้องประเทศทั้ง 5

ตำนานตลาดโบ๊เบ๊ฉบับวณิพก

ตำนานตลาดโบ๊เบ๊ฉบับวณิพก


เสี่ยเตียว
เสี่ยเตียววางหาบขายเต้าฮวยอยู่หน้าตลาดโบ๊เบ๊มาหลายปีดีดัก วงศ์ตระกูลของเเกขายเต้าฮวยสืบทอดกันมาหลายชั่วคนที่นี่ นับย้อนขึ้นไปถึงปู่ของปู่ทีเดียว ชื่อเต็มของเเกที่เตี่ยเเกตั้งให้ตอนเกิดคือ "เตียวดา" เเต่มาภายหลัง เเกมีเงินมีทอง มีคนนับหน้าถือตามากมาย จึงพากันเติมคำว่า "เสี่ย" นำหน้าชื่อเเกเป็นการยกย่อง และเพื่อให้กระชับ เรียกง่าย ชาวตลาดเลยตัดคำว่า ดา ออก เหลือเพียง "เสี่ยเตียว" เเทน

ฐานะของเสียเตียวไม่ใช่เป็นเเค่พ่อค้าธรรมดา เเต่เเกเป็นถึงผู้นำทางจิตวิญญาณ/เจ้าพ่อของชาวตลาดไปด้วย พูดได้ว่าเเกสามารถสั่งชาวตลาดให้หันซ้ายหันขวาตามเเกได้

โดยความจริงเเล้ว เเกไม่มีสิทธิ์ในหาบเต้าฮวย เพราะเป็นน้องคนเล็ก พี่ชายของเเกจึงได้ครอบครองไปตามธรรมเนียมสืบทอดเเซ่ เเต่เป็นเพราะเเกมีอาม่าที่ไม่รู้จักสั่งสอนอบรมลูก เสี่ยเตียวอยากได้อะไรก็จะต้องได้ ห้ามขัดใจ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล เเม้เเเต่พี่ชายเเกก็ยังไม่กล้าขัดใจ ความที่รู้กันอยู่ว่าอาม่าคอยถือหางอยู่ อย่างเรื่องหาบเต้าฮวยนี่ก็เช่นกัน เเกอยากได้ครอบครองเป็นนักหนา ยิ่งเห็นคนติดใจเต้าฮวยของพี่ ชมเชยว่าพี่ทำอร่อยกันทั้งตลาด ปล่อยให้เสี่ยเตียวยืนเกาะหาบทำตาปริบๆ เพราะไม่มีใครมาสนใจ เสี่ยเตียวก็ยิ่งอัดเเน่นไปด้วยความคั่งเเค้นเเละน้อยเนื้อต่ำใจ ที่นับวันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นจนควบคุมไม่ได้

วันหนึ่งเเกเห็นพี่นั่งสับปะหงกข้างหาบเต้าฮวย จึงย่องเข้าไปด้านหลัง คว้าเอาก้อนหินที่เขาใช้วางทับหนังสือพิมพ์บนเเผงในตลาด ฟาดหัวพี่เต็มที่ จนกะโหลกแตกสมองกระจายเต็มพื้นตายกลางอากาศ

แต่เมื่อเรื่องถึงโปลิศ เหล่าโปลิศต่างหวาดกลัวอิทธิพลอาเเป๊ะผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ของเสี่ยเตียว จึงช่วยกันบิดเบือนข้อเท็จจริง เเละลงความเห็นคล้องจองกันว่า พี่ชายเสี่ยเตียวตายเพราะอุบัติเหตุ สาเหตุคือนั่งสับปะหงกตกจากเก้าอี้ลงมาหัวฟาดพื้นตายคาที่

เจ๊อ้วน   
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยเตียวก็ได้เเต่งงานกับเจ๊อ้วน ซึ่งเป็นญาติสนิทกัน เพราะตามกฏของตระกูล น้ำขิงสูตรพิเศษประจำตระกูล จะตกไปอยู่ในมือคนนอกตระกูลไม่ได้เด็ดขาด เสี่ยเตียวเเละเจ๊อ้วนสมกันราวผีกับโรง เพราะอุปนิสัยของคนทั้งคู่คล้ายคลึงกัน คือละโมบ โหดเหี้ยม ริษยาอาฆาต บ้ากาม เเละปัญญาทึบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเเปลกประหลาดอะไร เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็มาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันนั่นเอง

ตี๋ใหญ่
เสี่ยเตียวกับเจ๊อ้วนมีลูกเต้าด้วยกัน 4 คน เป็นหญิง 3 เเละชาย 1 ไอ้ตี๋ใหญ่ที่หวังจะให้สืบทอดกิจการขายเต้าฮวยต่อไปนั้น ก็ดันเป็นเด็กปัญญาทึบไม่ผิดพ่อผิดเเม่ เเต่ที่เป็นปัญหาหนักจริงๆก็คือ ไอ้ตี๋ใหญ่มันเป็นคนบ้าดีเดือด ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ตามที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าไบโพล่า วันๆไม่เคยคิดจะเรียนรู้กิจการเพื่อเตรียมเนื้อเตรียมตัวเป็นเถ้าเเก่ต่อจากเตี่ย เเต่ดันชอบสร้างเเต่ความเดือดร้อน ทำตัวเสเพล บ้าผู้หญิงเข้าเส้นเลือด ชอบใจผู้หญิงคนไหน ถ้าเขาไม่เล่นด้วย ก็ข่มขู่ฉุดเอามาสังเวยกามจนได้ เเถมยังชอบรีดไถเงินคนในตลาดเป็นประจำ ทำให้เป็นที่สาบเเช่งเกลียดชังของชาวตลาด ทำตัวเป็นอันธพาลก็ที่หนึ่ง ไม่พอใจใคร ก็กรากเข้าเตะต่อยซ้อมจนปางตาย เเค่นั้นไม่พอ เสือกชอบเอานิ้วจิ้มลูกตาเขาอีกด้วย ทำให้ชาวตลาดหลายรายตาเหล่หรือตาถั่วเพราะไอ้ตี๋ใหญ่คนนี้

ทางเลือกอีกทางของเสี่ยเตียวก็คือลูกสาวที่เหลือ 3 คน คนโตหรืออีหมวยใหญ่นั้น ไม่เคยสนใจเรื่องการค้า เอาเเต่บ้าเล่นงิ้ว ร้องงิ้วทั้งวัน ส่วนอีหมวยเล็กหรือลูกสาวสุดท้องนั่น ก็คือตัวโคลนนิ่งของไอ้ตี๋ใหญ่ดีๆนี่เอง ผิดเเต่ว่าเป็นเพศหญิง คงเหลืออยู่เพียงคนเดียวที่พอจะใช้งานได้คืออีหมวยกลาง ลูกคนนี้จึงเป็นลูกคนโปรดของเสี่ยเตียวที่หวังฝากผีฝากไข้ เเละเล็งที่จะฝากกิจการเต้าฮวยให้ดำเนินการต่อเเทนไอ้ตี๋ใหญ่

ไอ้ตี๋ใหญ่นั้น ถึงจะปัญญาทึบ เเต่ก็ยังพอมองเกมส์ของเตี่ยออก เลยประกาศดับเครื่องชนเต็มตัว ด้วยถือว่าตัวเองเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฏธรรมเนียมของตระกูล เสี่ยเตียวมองดูเหตุการณ์เเล้ว กลัดกลุ้มจนพูดไม่ออก เคยไล่ให้ไอ้ตี๋ใหญ่ไปตายโหงตายห่า เเต่มันก็ยังเสือกตีหน้าตาย จ้องหาบเต้าฮวยตาเป็นมัน ยิ่งทำให้เสี่ยเตียวเสียวหัวกะโหลกตัวเองขึ้นมาเฉยๆ จนต้องสวมหมวกกันน็อคครอบหัวไว้ทั้งหลับเเละตื่น กลัวจะถูกไอ้ตี๋ฟาดเอาด้วยก้อนหินเเบบประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ซึ่งมันก็คงทำได้ลงคอจริงๆเพราะเลือดเตี่ยมันเเรง

วันหนึ่งเสี่ยเตียวเเกจึงไปปรึกษากับซินเเสท้ายตลาด ซึ่งมีสมญาเรียกกันในตลาดว่าซินเเสถั่วดำ ซินเเสคนนี้นอกจากเป็นคู่ขาสูบฝิ่นของเสี่ยเตียวเเล้ว ยังเป็นชู้รักของเสี่ยเตียวมานานหลายสิบปี ช่วยดูเเลหาบเต้าฮวย ช่วยจัดหานักเลงมาคุ้มกันสูตรเต้าฮวยไม่ให้มือดีที่ไหนมาเเย่งไปทำเต้าฮวยเเข่งเกินหน้า ซึ่งก็ทำได้เรียบร้อย ได้ผลดีมาตลอด เหล่าจับกังถ้วนหน้าในตลาดให้ความเคารพนับถือเเก เเละรับงานไปทำโดยไม่เกี่ยงงอน

หลังจากฟังเรื่องจบ ซินเเสเฒ่าผมขาวทำปากจู๋ ลูบขนที่งอกจากรูหูสลับกันไปมา เเล้วตบเข่าดังฉาดใหญ่ พร้อมเอื้อมไปกระซิบให้เสี่ยเตียวฟังถึงเเผนการ

เสี่ยเตียวกลับถึงบ้าน ก็เรียกตี๋ใหญ่เข้ามาพบ ลูบหน้าลูบหลังจนตี๋ใหญ่ตายใจ เเล้วพูดเสียงขรึมๆขึ้นว่า
"อาตี๋เอ๊ย เตี่ยเองก็เเก่ตัวลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง...ไอ้ซาเต็มเซลจากไขสันหลังของเด็กเเดงๆที่หมอฉีดให้เตี่ยอยู่ เเหม้ มันก็หายากขึ้นทุกวัน อีพวกเเม่ๆมันรู้เเกว ไม่เอาลูกมาคลอดที่โรงหมอในตลาดเรา ไอ๊หยา เเอบไปคลอดกับหมอตำเเยกันหมด อีหลกถัง..." เสี่ยเตียวด่าพึมพัมก่อนหันมาขากเสลดลงพื้นเฉียดเข้าระหว่างขาตี๋ใหญ่ "เตี่ยอยากเห็นลื้อเป็นฝั่งเป็นฝาซะที จะได้มารับช่วงไปจากเตี่ยไง คนมันจะได้เชื่อถือลื้อ เอาเหอะ เตี่ยตัดใจได้เเล้วน่อ เตี่ยไม่รังเกียจพวกอีโรงน้ำชาที่ลื้อไปติดพันเลี้ยว เลือกคนที่ลื้อรักลื้อชอบก็เลี้ยวกัง เอามาใส่ตะกร้าล้างน้ำหลายๆน้ำหน่อย เเล้วก็เปลี่ยนชื่อเเซ่ซะใหม่ เดี๋ยวเตี่ยจะจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนสามวันสามคืน ให้สมเกียรติลูกสะใภ้เสี่ยเตียวเลยน่อ"

ความที่ตี๋ใหญ่เป็นคนปัญญาทึบ จึงไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีว่าทำไมอยู่ๆเสี่ยเตียวเกิดใจดีขนาดนี้ เลยรีบเเล่นไปโรงน้ำชา เเจ้งข่าวดีให้อีสีดาราทำประตูเงินประตูทองประจำสำนักให้รับรู้ เเละเตรียมตัวเป็นศรีสะใภ้เถ้าเเก่ผู้ยิ่งใหญ่เเห่งตลาดโบ๊เบ๊โดยทันที

น้ำตาชายชั่ว
หลังจากเข้าพิธีเเต่งงานอย่างใหญ่โต เเละอยู่กินกันได้ไม่นาน อีสีซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อหรูหราเป็น " ศรีรัศมิ์หาย" ไปเรียบร้อยเเล้ว ก็ให้กำเนิดบุตรชายซึ่งทั้งสองยินดีเป็นยิ่งนัก

ตี๋ใหญ่เริ่มพอจะมองเห็นภาพตัวเองนั่งอลังการอยู่หน้าหาบเต้าฮวย สุดเเสนจะปลาบปลื้ม เเต่ทว่าขณะเดียวกัน ก็รู้สึกเเปลกๆกับสถานะการณ์ที่ค่อยๆเปลี่ยนไปนับตั้งเเต่ตัวเองเเต่งงานมา ตี๋ใหญ่เองปกติก็เป็นจอมกักขละ ชอบตีหัวหมาด่าเเม่เจ๊กเป็นประจำ จึงมีคนรุมเกลียดเเละโจมตีอยู่เนืองๆ เเต่กระเเสการโจมตีขณะนี้ไม่ธรรมดา ดูเป็นระบบขึ้น ทั้งเเผ่เป็นวงกว้างเเละทวีความรุนเเรงขึ้นเรื่อยๆ ชนิดไม่ใช่ฝีมือนักด่าสมัครเล่นอย่างอาซิ้มอาเเป๊ะเหมือนแต่ก่อน เเต่เป็นฝีมือในระดับ "มืออาชีพ" มีการวิจัยวางเเผน ตั้งทีมงานสืบค้นข้อมูลกันอย่างไม่ให้ดิ้นหลุด โดยเฉพาะการเเฉปูมหลังของอีศรีฯ ไม่เท่าไหร่ชาวตลาดก็พากันลมจับ เมื่อเห็นรูปเปลือยบัดสีบัดเถลิงของศรีสะใภ้เสี่ยเตียวในท่าสุดยอดต่างๆ เช่นยืนเเหกโก้งโค้ง หรือไม่ก็นอนเเละนั่งถ่างร้อยเเปดสิบองศา รวมทั้งรูปยิ้มสู้กล้องขณะที่กำลังชักคะเย่อกับผู้มีอุปการคุณ ที่ถูกติดประจานไว้ทุกเสาไฟฟ้า เเละรูปนั่งเเหก นอนเเหก ยืนแหกเหล่านั้นก็พัฒนาไปเป็นบัตรใบเล็กๆที่ทำแจกเด็กๆไว้เล่นแลกเปลี่ยนกันเหมือนที่เด็กฝรั่งเล่นแลกเปลี่ยนเบสบอลคาร์ด เเม้เเต่ลูกชายน้อยของตี๋ใหญ่ก็ยังเอามาเล่นที่บ้านอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวตามประสาเด็ก

หลังจากนั่งนอนคิดอยู่หลายวัน ก็ยังคิดไม่ตกว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เเละข้อสำคัญทำไม ตี๋ใหญ่จึงตัดสินใจจ้างบริษัทสืบสวนสอบสวน มาช่วยค้นความจริงเรื่องนี้ เเต่เมื่อตี๋ใหญ่รับรายงานผลสืบสวนเเล้วตี๋ใหญ่ก็เเทบล้มทั้งยืน ไม่อยากเชื่อว่าตัวการใหญ่เรื่องนี้คือ เสี่ยเตียว เตี่ยบังเกิดเกล้าของตัวเอง

เหตุผลทั้งหมดก็คือ ตี๋ใหญ่นั้นมีสิทธิ์ครองหาบเต้าฮวยตามนิตินัย เพราะเป็นลูกชายคนใหญ่ เเต่เสี่ยเตียวเเกไม่ต้องการยกให้ เพราะกลัวว่าจะผลาญสมบัติจนวอด เเกต้องการให้หมวยกลางเป็นผู้ครองหาบ รวมทั้งเงินที่ฝังเอาไว้ จึงได้วางเเผนให้ตี๋ใหญ่หมดสิทธิ์ไปโดยพฤตินัย ด้วยการยุให้ตี๋ใหญ่เเต่งงานกับอีศรีฯ   เพราะยังไงๆก็ไม่มีทางที่ชาวตลาดโบ๊เบ๊จะยอมรับผู้หญิงหยำฉ่าอย่างอีศรีฯ   เพราะถ้าตี๋ใหญ่เป็นผู้ขายเต้าฮวยเเล้วมีอีศรีฯช่วยขายข้างๆ ชาวบ้านคงกินเต้าฮวยไม่ลงเพราะกินเเล้วซวยปาก

ตามประเพณีที่สืบทอดกันมา เถ้าเกเนี้ยจะต้องเป็นคนเสริฟเต้าฮวย กรณีของเสี่ยเตียวก็ได้เเก่เจ๊อ้วน เเผงเต้าฮวยนั้น ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ปากทางเข้าตลาด เเละถือเป็นหน้าเป็นตาของชาวตลาดโบ๊เบ๊คนพวกนี้คงยอมไม่ได้ที่จะเห็นอีหยำฉ่าไปลอยหน้าที่นั่น

เเค้นเเสนเเค้นจนน้ำตาชายชั่วไหลรินนองเเก้ม ตี๋ใหญ่เพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่า ทำไมชาวตลาดถึงได้พากันเรียกเขาว่า "ไอ้ทึ่ม"

ตี๋ใหญ่ขบกรามจนเป็นสันนูนพลางกวาดสายตาไปรอบๆมองหาเหยื่อที่จะระบายอารมณ์ อีศรีฯ ซึ่งลอบมองอากัปกริยาของตี๋ใหญ่อยู่เเล้ว พอเห็นตี๋ใหญ่สบตาพลางฉีกขาออกจากกัน ก็บอกได้เลยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น กระหรี่กับการถูกเตะนั้น เป็นของคู่กัน โดนมาเสียจนชำนาญ โดยไม่ต้องรอให้ตี๋ใหญ่ยกเท้า อีศรีฯก็คว้าลูกน้อยโดดเเผลวออกจากห้องเเถวไปทันที

เต๊กเหลี่ยม
ขอย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีมาเเล้ว มีพ่อค้าหาบเร่ชื่อ เต๊กเหลี่ยม ซึ่งรู้จักชอบพอกับตี๋ใหญ่ ไปมาหาสู่เกื้อกูลกันอย่างดี อยู่มาวันหนึ่งเสี่ยเตียวเกิดขัดใจกับผู้จัดการตลาด จึงร่วมมือกับซินเเสถั่วดำ สั่งให้เหล่าจับกัง นำโดย " หัวหน้าจับกังเสื้อคับ" จับตัวผู้จัดการเเล้วบังคับให้ลาออก หลังจากนั้นเหล่าจับกังก็เข้าควบคุมกิจการตลาดทั้งหมดเเทน เต๊กเหลี่ยมรู้ว่าตี๋ใหญ่สนิทสนมกับจับกังเสื้อคับ จึงไปขอร้องตี๋ใหญ่ให้ช่วยติดต่อขอสัมปทานเเผงลอยจากจับกังเสื้อคับ ซึ่งก็ได้มาสมใจปรารถนาของเต๊กเหลี่ยม จากนั้นมากิจการของเต๊กเหลี่ยมก็เจริญเอาๆ จากรวยมาก กลายเป็นรวยชิบหาย รวยกว่าใครๆในตลาด ได้รับการนับหน้าถือตาจนชาวตลาดลงมติเป็นเอกฉันท์ ยกให้เต๊กเหลี่ยมเป็นผู้จัดการตลาดคนใหม่ ซึ่งเต๊กเหลี่ยมก็รับงานด้วยความเต็มใจ ทำงานอย่างสุดความสามารถ เพราะเป็นคนมีหัวคิดดี เเละถ้าลงมือทำอะไรต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ทำให้ชาวตลาดมีกินมีใช้ อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพียงเเต่ว่าเต๊กเหลี่ยมลืมสุภาษิตบทหนึ่งที่ว่าง "จงทำดีเเต่อย่าเด่น จะเป็นภัย"

ก็อย่างที่บอกไว้เเต่เเรกว่าเสี่ยเตียวเเละเจ๊อ้วนมีนิสัยละโมบ ดุร้าย ริษยาอาฆาต ฯลฯ ทั้งสองเฝ้ามองเต๊กเหลี่ยมอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่พอใจ เพราะดูเหมือนความสำคัญของตัวเองค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ วันหนึ่งขณะที่เต๊กเหลี่ยมออกไปติดต่อซื้อขายที่ตลาดต่างเมือง เสี่ยเตียวกับซินเเสถั่วดำ ก็สั่งให้จับกังปิดประตูตลาด ไม่ยอมให้เต๊กเหลี่ยมกลับเข้ามา พร้อมทั้งยึดกะปุกออมสินขนาดใหญ่พิเศษของเต๊กเหลี่ยมหลายใบเอาไว้เป็นตัวประกัน
เต๊กเหลี่ยมพยายามติดต่อออมชอมเพื่อขอกะปุกออมสินคืน เเต่นอกจากไม่ให้คืนเเล้ว เสี่ยเตียวยังทุบกะปุกเเตกไปหลายใบ เย้ยเต๊กเหลี่ยม ทำให้เต๊กเหลี่ยมเเค้นเเทบจะกระอักเลือด

เจ้ก เจ้ก หนอ
ไม้คานซึ่งเคยเป็นลำไม้ไผ่ธรรมดา มาถึงตอนนี้ เสี่ยเตียวสั่งทำอันใหม่พิเศษ คัดเลือกจากไม้เเดง ซึ่งเป็นไม้เนื้อเเข็งเนียน ขัดเเล้วขึ้นเงาวาบ โดยไม่ต้องใช้น้ำยาใดๆทั้งสิ้น เเถมเเกยังลงคาถาด้วยการเขียนตัวเลขขลัง
3 ตัว ไว้บนตัวไม้คานอีกด้วยว่า "เจ้ก เจ้ก หนอ"

พักหลังมานี้เสี่ยเตียว กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เพราะเเกโกรธที่เห็นผู้คนในตลาด เริ่มเอาใจออกห่างจากเเก ใครพูดจาไม่ถูกหู ไม่พินอบพิเทาเเกเท่าที่ควร จะโดนเเกฟาดเอาด้วยไม้คานลงอักขระสามตัว ขนาดโดนเบาะๆยังต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มถึง 6-7 ปี พวกที่โดนจังๆ ไม่ต้องพูดถึง บางคนเเค่เดินผ่านไม้คาน ที่เเกวางไว้ข้างๆตัวตลอดเวลา ยังรู้สึกหนาวขึ้นมาซะเฉยๆ

ขมิ้นกับปูน
หลังจากเสี่ยเตียวไล่เต๊กเหลี่ยมออกไปจากตลาดเเล้ว ก็เกิดการเเบ่งเเยกในหมู่ชาวตลาดโบ๊เบ๊ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันเเละกัน ทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ ความเลว ความชั่วของไอ้ตี๋ใหญ่ ซึ่งทั้งสองฝ่ายด่าผสมกันได้ด้วยความสามัคคีกลมเกลียว ไม่มีการขัดคอ ฝ่ายนิยมเต๊กเหลี่ยมเเละไม่เห็นด้วยกับเสี่ยเตียว มีจำนวนมากกว่า เพราะเห็นชัดๆว่า การกระทำของเสี่ยเตียวไม่เเฟร์ ส่วนพวกที่เห็นด้วยกับเสี่ยเตียว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกดูดฝิ่นกินกัญชา เป็นพวกขาประจำโรงฝิ่น เเละเหล่ากุ๊ยจับกังในตลาด คนพวกนี้ดูดฝิ่นกันจนตัวเหลือง โดยเฉพาะใบหน้านั้นเหลืองเหมือนคนเป็นดีซ่าน ไม่ผิดกับเสี่ยเตียว

ไอ้พวกหน้าเหลืองเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกสันดาลอันธพาล ชอบเเอบทำร้ายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับมัน คนที่หน้าเเละตัวไม่เหลือง จึงถูกทำร้ายเป็นประจำ บ่อยครั้งที่พวกนิยมเสี่ยเตียว เเต่ไม่สูบฝิ่นกินกัญชา ก็พลอยโดนเล่นงานไปด้วย ไอ้พวกที่ไม่สูบฝิ่นก็เลยต้องพากันทาหน้าด้วยขมิ้น จะได้ดูกลมกลืนไปกับพวกติดฝิ่น จะได้เเยกได้ง่ายว่าใครเป็นใคร

เฮียลายหลุด
ฝ่ายพวกนิยมเต๊กเหลี่ยม นำโดยเฮียลายหลุด เห็นฝ่ายตรงข้ามทาหน้าด้วยขมิ้น จึงให้ความเห็นว่า เมื่อเราเป็นอริกับพวกมัน พวกมันทาหน้าด้วยขมิ้น เราก็ควรจะทาหน้าด้วยปูนเเดง ตามคำพังเพยที่ใช้เปรียบเปรยว่า ไม่ถูกกันเหมือนขมิ้นกับปูน จากนั้นมาฝ่ายนิยมเต๊กเหลี่ยมก็พากันทาหน้าด้วยปูนเเดง เเละเรียกขานพวกตนว่า "ชาวปูนเเดง" เป็นต้นมา

ดรีมทีม
ฝ่ายตี๋ใหญ่ซึ่งเกาะติดเหตุการณ์มาโดยตลอด เห็นได้โอกาสจึงรีบเข้าเสียบทันที โดยการเเอบไปพบกับเต๊กเหลี่ยม และยื่นข้อเสนอว่า ในฐานะที่เต๊กเหลี่ยมมีผู้คนในตลาดสนับสนุนมากมาย ถ้าเต๊กเหลี่ยมช่วยเหลือให้ตี๋ใหญ่ได้ครองหาบเต้าฮวยเเล้ว ตี๋ใหญ่จะยึดเอากิจการของก๊วนนักเลงที่คุมตลาดอยู่ในขณะนั้น และของขาใหญ่ 17 คนบวกกับของไอ้ซินเเสถั่วดำ เอามาเเบ่งกับเต๊กเหลี่ยมเเบบ "ห้าสิบ-ห้าสิบ"

เต๊กเหลี่ยมได้ฟังเเล้วก็เเกล้งตีหน้าขรึม ทั้งๆที่อยากจะกระโดดขึ้นลงเเล้วชูกำปั้นพลางร้อง "เยส-เยส-เยส "
สักสิบครั้ง แต่เกรงว่าจะเสียบุคลิก เต๊กเหลี่ยมเเทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าคนเเบบตี๋ใหญ่ จะพูดจาได้ไพเราะหูขนาดนี้ "ห้าสิบ-ห้าสิบ" ยังก้องกังวานอยู่ในรูหู นี่คือการยิงด้วยกระสุนนัดเดียว เเต่ได้นกถึงสองตัว นกตัวเเรกคือการที่ตนได้มีโอกาสตอบเเทนบุญคุณตี๋ใหญ่ ผู้ที่ได้ช่วยให้เต๊กเหลี่ยมพ่อค้าหาบเร่ กลายมาเป็นเสี่ยของเสี่ย เสี่ยที่เสี่ยด้วยกันยังต้องก้มหัวให้ นกตัวที่สองซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ คือธุรกิจต่างๆที่บริวารของเสี่ยเตียวกำลังครอบครองอยู่ในขณะนี้ ลำพังเเค่เเผงลอยเเผงเดียวที่เต๊กเหลี่ยมเคยครอบครองอยู่ ยังทำให้เต๊กเหลี่ยมร่ำรวยได้ขนาดนี้ เเล้วถ้าได้ครอบครองเเผงลอยครึ่งหนึ่งของตลาดเล่า โหย...ไม่อยากจะคิด

สงคราม 91 ศพ
ค่ากระสุนยิงนกหรือต้นทุนนั้นนับว่าต่ำมาก เพียงค่าเช่าเวที ค่าอาหารวันละ 3 มื้อ เทียบกับผลประโยชน์ต่างๆอันมหาศาลที่เต๊กเหลี่ยมจะได้รับ โดยไม่ต้องชักลูกคิดออกมาดีดให้เสียเวลา เต๊กเหลี่ยมสั่งระดมพล "ชาวปูนเเดง" ทันที พร้อมทั้งประกาศกร้าวว่าจะกลับมานำทัพ ถ้ามีเลือดของชาวปูนเเดงตกถึงพื้นเเม้เเต่หยดเดียว เต๊กเหลี่ยมย้ำหนักเเน่นถึงเรื่องความเสมอภาค เสรีภาพ เเละภารดรภาพ

หลังจากประท้วงและประทะติดต่อกันเป็นเวลาพอสมควร เสี่ยเตียวก็ยอมให้ชาวปูนเเดงเข้ามาเป็นผู้บริหารตลาด มีเจ๊นกเเก้วน้องสาวของเต๊กเหลี่ยมดำรงตำแหน่งผู้จัดการ แต่ยังเกี่ยงงอนไม่ยอมให้เต๊กเหลี่ยมกลับเข้ามา คณะผู้บริหารยังทำอะไรมากไม่ได้ เพราะโดนเสี่ยวเตียวเเละพรรคพวกเตะตัดขาเพื่อให้เสียเครดิตตลอดเวลา เเต่สิ่งที่ชาวปูนเเดงข้องใจที่สุดคือ ในการประท้วงเพื่อให้เต๊กเหลี่ยมกลับเข้ามามีอำนาจ พวกปูนเเดงโดนเหล่าจับกังฆ่าตายไป 91 ศพ บาดเจ็บ เเละถูกจับขังในเล้าหมูหลังตลาดอีกนับไม่ถ้วน   เเต่เต๊กเหลี่ยมกับพวกก็ทำเฉยเมย โดยเฉพาะ เต๊กเหลี่ยมที่สัญญาว่าจะกลับมา ถ้ามีเลือดเพียงหยดเดียวตกพื้นนั้น จนบัดนี้เเม้เเต่เงาของเต๊กเหลี่ยมก็ยังไม่มีใครเคยเห็น ซึ่งพอๆกันกับความเสมอภาค เสรีภาพ เเละภารดรภาพ ที่ไม่มีใครรู้ว่าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน

เจ๊นกเเก้ว
หลังจากผู้ต้องหารายหนึ่งตายคาเล้าหมูเพราะทนความเหม็นไม่ไหว ชาวปูนเเดงจึงออกมาเรียกร้องขอให้ปลดปล่อยผู้ต้องขัง เเละยึดไม้คานมาเสียจากเสี่ยเตียว เเต่ เจ๊นกเเก้วน้องสาวคนสวยของเต๊กเหลี่ยมในฐานะผู้จัดการ กลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อไย แถมลอยหน้าว่าจะยังไม่ทำอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องยึดไม้คาน เพราะมีเรื่องด่วนอื่นๆจ่อรออยู่ให้ทำ เช่นวันนี้จะต้องไปรำฟ้อนเล็บในงานรดน้ำดำหัวของซินเเส ส่วนพรุ่งนี้ก็ต้องไปลองชุดราตรีทางมะพร้าวที่จะเเต่งไปปรากฏตัวในงานซาไกรำลึก ซึ่งจัดโดยคณะชุมชนชาวซาไก
เจ๊นกเเก้ว เธอเป็นคนรักสวยรักงาม ชอบเเต่งเเฟชั่นประจำชุมชนต่างๆที่ทำมาหากินอยู่ในตลาด เช่น ชุมชนมอญ ชุมชนชาวแม้ว ชุมชนกะเหรี่ยง เป็นต้น เจ๊แกชอบแต่งตัวสวย เดินนวยนาด ยิ้มหวานสู้กล้อง จนหลายคนตั้งสมญาให้เเกว่า " เจ๊บาบี้"

จุดประสงค์อันแท้จริงของการเรียกชุมนุม
จุดประสงค์ 2 ข้อที่เต๊กเหลี่ยมลงทุนปลุกปั่นให้ผู้คนออกมาชุมนุมคือ
1) เต๊กเหลี่ยมต้องการได้กะปุกออมสินคืนจากเสี่ยเตียว ขณะเจรจาอยู่นี้จึงไม่ต้องการทำอะไรทั้งสิ้นที่จะไปกระทบกระเทือนถึงเสี่ยเตียว เพราะตัวการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั่งฆ่าคน เเอบสั่งปล่อยน้ำจากคลองเเสนเเสบเข้ามาท่วมตลาดเพื่อเเกล้งให้คนเกลียดเจ๊นกเเก้ว เรื่องกักขังคนในเล้าหมูหลังตลาด ฯลฯ คือคนๆเดียวกันหมด นั่นก็คือเสี่ยเตียว เรื่องที่ชาวปูนเเดงออกมาเรียกร้องจากตนนั้น เต๊กเหลี่ยมไม่สนใจเพราะถือว่าได้เลี้ยงดูปูเสื่อชาวปูนเเดง มีข้าวให้กิน มีส้วมให้ขับถ่าย มีจำอวดต่างๆให้ดู ดีกว่านอนอยู่บ้านเป็นไหนๆ ก็ถือว่าเป็นการเเลกเปลี่ยนที่เหมาะสมเเล้ว ไม่มีการติดหนี้บุญคุณซึ่งกันเเละกัน ส่วนพวกที่ตายไป เเละติดคุกอยู่นั้น ถือว่าเป็นความซวย ความสะเพร่าที่ไม่รู้จักดูฤกษ์ดูยามก่อนที่จะก้าวออกจากบ้าน
2) เต๊กเหลี่ยมต้องการที่จะกลับเข้ามามีอำนาจ เพื่อจะได้หนุนให้ตี๋ใหญ่ได้ครอบครองหาบเต้าฮวย เเละผลประโยชน์ในตลาดทั้งหมด ห้าสิบ-ห้าสิบ อย่างที่ตกลงกันไว้ ฉะนั้นไม้คานจะต้องคงอยู่ จะไม่ยอมให้ชาวปูนเเดง หรือกลุ่มใดริบเอาไปได้อย่างเด็ดขาด เพราะ ไม้คานนั้นนอกจากจะเอาไว้คุ้มครองตี๋ใหญ่เเล้ว ยังเอาไว้คุ้มครองหุ้นส่วนคนสำคัญของตี๋ใหญ่ด้วย เเละเขาคนนั้นก็คือ...เต๊กเหลี่ยม!

ตัดสวาท
มาถึงวันนี้ เต๊กเหลี่ยมเห็นว่าทุกอย่างเริ่มลงตัว เเกจึงคว้าพู่กันมาเขียนสารถึงชาวปูนเเดงมีความว่า

"พี่น้องชาวปูนเเดงที่รัก

ก่อนอื่นเฮียต้องขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ได้ติดตาม เเละเป็นกำลังใจให้เฮียตลอดมา โดยเฉพาะการที่พี่น้องช่วยเเบกเฮียขึ้นบ่า ดำน้ำลุยไฟพาเฮียมาจนถึงจุดหมายปลายทาง หลายคนได้เสียชีวิต และบาดเจ็บ ขอให้พี่น้องอย่าได้เสียใจ พี่น้องต้องรู้จักเสียสละ ถือว่าพวกเขาได้ทำเพื่อเฮีย เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขเเละความมั่งคั่งของเฮีย ส่วนพี่น้องที่ยังถูกขังอยู่ในเล้าหมูก็โปรดอย่าเสียกำลังใจ ให้ทนเอาหน่อย อีกไม่นานก็คงตาย

จดหมายฉบับนี้ เป็นฉบับสุดท้ายที่เฮียจะเขียนถึงพี่น้อง เราคงต้องเเยกทางกัน ณ. บัดนี้ เพราะภาระกิจที่เฮียให้พี่น้องทำนั้น ยุติลงเเล้ว ขอให้พระถังซัมจั๋งจงคุ้มครองพี่น้องทุกคน
จากเฮีย
ลงชื่อ   เต๊กเหลี่ยม"

ข้องจิต   
เมื่อพี่น้องชาวปูนเเดงได้มาอ่านจดหมายเต๊กเหลี่ยม ที่มีคนมาเเปะติดไว้ที่ผนังส้วมท้ายตลาด หลายคนถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง หลายคนกัดฟันกรอดๆ หลายคนที่ลูกผัวเเละพี่น้องเสียชีวิต ถึงกับร้องไห้โฮ เเค้นสุดเเค้น มือทั้งสองไม่ว่างเพราะต้องใช้ปาดน้ำตาที่ไหลพรากๆ ก็ใช้หัวเเม่เท้าเขียนลงบนดิน มีใจความว่า

"อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด   ยังไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"

บัดนี้คนทั้งตลาดต่างโจษขานกันอื้ออึง ถึงเรื่องจดหมายฉบับนี้ ฝ่ายพวกหน้าเหลืองถึงกับหัวร่อกันกลิ้งไปมา ชาวปูนเเดงจำต้องเดินก้มหน้าด้วยความอายเเละความเเค้น เฮียลายหลุด จึงเรียกประชุมชาวปูนเเดงเพื่อหยั่งเสียง เเละต้องการรู้ว่าชาวปูนเเดงต้องการทำอย่างไรต่อไปเมื่อเรื่องเข้ามาถึงจุดนี้เเล้ว ผลของการประชุม ชาวปูนแดงมีมติให้จัดตัวแทนไปพบกับเต๊กเหลี่ยม เพื่อที่จะพูดจาให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย

ความฝันอันสูงสุด
บ่ายวันรุ่งขึ้น เต๊กเหลี่ยมนุ่งกางเกงขาก๊วยออกมานั่งยองๆหน้าบ้าน เขารู้สึกสบายอกสบายใจ คิดถึงงานใหญ่ที่เพิ่งทำเสร็จลงไปพลางปล่อยให้ลมโกรกเข้าในกางเกง เย็นสบายหายเหนอะหนะ เสียงเพลงงิ้วจากเรื่องจอมใจจักรพรรดิ กระซิบเบาๆออกมาจากกล่องเสียงตามสาย กลิ่นหูฉลามบนเตาโชยมากรุ่นๆจนรู้สึกหิวข้าว เต๊กเหลี่ยมหัวเราะหึๆ เช้านี้เขาเชิญพวกเพื่อนบ้านแถวนี้ให้มาช่วยทำหูฉลาม   มีคนมาช่วยกันหลายคน ขยันขันแข็ง ช่วยกันตัดไม้ ฝ่าฟืน ก่อไฟ หั่นสับเเละปรุงหูฉลามจนเสร็จ อีกไม่นานคงจะนุ่มได้ที่ หูฉลามหม้อใหญ่กินสิบชาติก็ไม่หมด เเต่เขาไม่จำเป็นต้องเเบ่งให้ใคร เพราะเขาเชิญพวกเพื่อนบ้านให้กลับไปหมดเเล้ว คนเหล่านั้นมองหน้าเขางงๆ จนเขาต้องอธิบายให้ฟังว่า ที่เชิญมาน่ะ เชิญมาให้ช่วยทำ ไม่ได้เชิญมาให้ช่วยกิน เฮ้อ...ไม่เห็นน่าที่จะงงอะไร

ขณะกำลังคิดเพลินๆอย่างมีความสุข ตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มชาวปูนเเดง สีหน้าเคร่งเครียด กำลังมุ่งหน้ามาที่บ้านของตน

"ไอ๊หยา" เต๊กเหลี่ยมร้องพลางดีดตัวขึ้นยืน กลับหลังหันหมายจะวิ่งขึ้นไปหลบบนเล่าเต๊ง เเต่ช้าไปกว่าเฮียลายหลุด ซึ่งกระโดดตะปบขอบกางเกงขาก๊วยของเต๊กเหลี่ยมเอาไว้ได้ เมื่อเห็นเเรงดึงของเต๊กเหลี่ยมที่จะวิ่งขึ้นเล่าเต๊ง กับเเรงฉุดของเฮียลายหลุดที่จะให้อยู่กับที่ ชาวปูนเเดงก็พอจะเดาออกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น รีบปิดตาพลางร้องกันอื้ออึง เต๊กเหลี่ยมทั้งอายทั้งโกรธ เเต่จำต้องฝืนใจกัดฟัน หยุดอยู่กับที่ แล้วหันกลับมาสู้หน้าชาวปูนเเดง เเต่ยังไม่ทันได้ตั้งหลัก ก็ถูกชาวปูนเเดงคนหนึ่ง ยิงคำถามเข้าใส่ทันที

"ในจดหมายที่เฮียเขียนไปถึงพวกเราเมื่อวานนี้ว่า...เรามาถึงจุดหมายปลายทางเเล้วน่ะ...หมายความว่าอย่างไร เพราะเท่าที่พวกเรารู้ เรายังมาไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำไป เเล้วก็ไอ้ความเสมอภาค เสรีภาพ เเละภารดรภาพ ที่เฮียคุยเอาไว้ เฮียเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนตอนนี้ "

อารมณ์อันเเสนสุนทรีย์เมื่อครู่หายไปเรียบ ตอนนี้เต๊กเหลี่ยมกลับมีความรู้สึกอยากฆ่าคนเเทน หลังจากนับหนึ่งถึงสิบอยู่หลายเที่ยวเพื่อสะกดอารมณ์ เต๊กเหลี่ยมก็ตะคอกกลับไปว่า

"อั๊วเคยบอกพวกลื้อเรอะว่าอั๊วเป็นนักปฏิวัติ........." พูดจบเขาก็ใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าอกเฮียลายหลุด จนแกต้องถอยกรูดไปตั้งหลักอยู่ด้านหลัง เเล้วเต๊กเหลี่ยมก็ก้าวเข้ามาประชิด ถลึงตาใส่ตัวเเทนชาวปูนเเดง ไล่ไปทีละคนๆ จนหลายคนรีบหลบสายตาเต๊กเหลี่ยมวูบวาบ

"พวกลื้อ พูดเอง เออเอง เอาทั้งนั้น.......อั๊วไม่เคยพูดสักคำ " ตัวเเทนปูนเเดงหลายคนมองหน้ากันงงๆแล้วส่ายหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ยืนพูดอยู่นี่ คือ "เต๊กเหลี่ยม" ผู้ที่พวกเขารู้จักเเละนับถือ มันน่าจะเป็นศรีธนญชัยเสียมากกว่า!

"ฮ่าย" เต๊กเหลี่ยมยังไม่หายโกรธ ตะโกนเสียงดังจนน้ำลายเเตกกระจายเป็นฝอย ยกมือขึ้นเหนือหัวปัดไปมาพร้อมกับส่ายหน้า "....โง่ตายห่า...อั๊วไม่อยากเป็นหรอกโว้ย ไอ้นักปฏิวัติ น่ะ.." เขายังส่ายหน้าไม่หยุดจนตัวเริ่มเซไปเซมา ตัวเเทนฯหลายคนรีบวิ่งเข้าไปประคอง กลัวว่าแกจะเป็นลมหัวฟาดพื้นตายเสียก่อน

เต๊กเหลี่ยมสูดลมหายใจลึก กระเเอม ทำตาลอย พลางพูดเสียงกระซิบเหมือนกำลังละเมอว่า

"อั๊วไม่อยากเป็น เช กูวาร่า...อั๊วอยากเป็น บิล เกต ว่ะ"