ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

จ.ม.ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยถึง อ.ป๋วย ผู้ล่วงลับไปแล้ว

เริ่มโดย ดูรัฐบาลมันทำ, 15:33 น. 08 ก.ค 55

ดูรัฐบาลมันทำ

จ.ม.ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยถึง อ.ป๋วย ผู้ล่วงลับไปแล้ว
..... พฤษภาคม 2555
เรียน อาจารย์ป๋วยที่เคารพ
ในจดหมายฉบับก่อน ผมได้มีโอกาสเรียนอาจารย์เกี่ยวกับข้อเป็นห่วงของแบงก์ชาติ ด้านการขาดวินัยทางการคลัง ซึ่งมักเป็นสาเหตุให้แบงก์ชาติต้องท้วงติงรัฐบาลคล้ายกับที่อาจารย์เคยประสบ รวมทั้งผมขออนุญาตที่จะเขียนจดหมายถึงอาจารย์อีก

อาจารย์ครับ การใช้จ่ายมากๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการลดแลกแจกแถม หรือที่ได้สัญญากับประชาชนในช่วงเลือกตั้ง ทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณ และมักจะนำมาสู่ข้อเรียกร้องแปลกๆ ต่อแบงก์ชาติ ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างหนึ่งนำมาเรียนให้อาจารย์ทราบในจดหมายฉบับนี้ นั่นก็คือ การโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ
ช่วงปลายปีที่แล้วและต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ มีประเด็นที่สร้างความวิตกกังวล คือการที่มีข่าวว่ารัฐบาลจะโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ มาให้แบงก์ชาติรับภาระแทน ก่อนอื่นผมขอเท้าความให้ทราบว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ มาจากไหน หนี้ดังกล่าวนี้มีที่มาจากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ที่ประเทศเราเกิดปัญหาฟองสบู่และลุกลามสู่ปัญหาระบบสถาบันการเงิน ทำให้รัฐบาลในขณะนั้นต้องเข้ามาแก้ปัญหาด้วยการประกาศค้ำประกันเต็มจำนวนแก่ เจ้าหนี้และผู้ฝากเงิน โดยให้กองทุนฟื้นฟูฯ ทำหน้าที่แทนในการจ่ายคืนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงิน ภาระดังกล่าวทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมากแก่กองทุนฟื้นฟูฯ รัฐบาลจึงได้ตรา พ.ร.ก. ขึ้น 2 ฉบับในปี 2541 และ 2545 ให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินและนำมาใช้ในการจ่ายคืนเจ้าหนี้ และผู้ฝากเงิน ภาระหนี้จากการออกพันธบัตรดังกล่าวนับเป็นหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติสากลดังเช่นที่เกิดขึ้นล่าสุดในยุโรป
การแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจนับเป็นภาระการคลังของประเทศ (fiscalization) เพราะรัฐบาลมีอำนาจเก็บภาษี จึงมีบทบาทนำในการสนับสนุนภาคการเงินในช่วงวิกฤติ โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม เมื่อระบบสถาบันการเงินได้รับความน่าเชื่อถือ เศรษฐกิจก็เดินหน้าได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันต้นเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ปี 2541 และ 2545 มีรวมทั้งหมดประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท
รัฐบาลมีความพยายามที่จะโอนหนี้ดังกล่าวให้มาอยู่กับแบงก์ชาติ โดยได้เสนอหลักการดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เป็นวาระลับ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบมาก่อน โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่าต้องการให้หนี้สาธารณะลดลง และจะทำให้สามารถกู้เงินได้เพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม ทั้งนี้ ครม. มีมติเห็นความจำเป็นของการฟื้นฟูประเทศ แต่ขอให้หน่วยงานปรึกษากัน จึงเข้าใจว่าบางส่วนในรัฐบาลคงมีความเป็นห่วงในประเด็นการโอนหนี้ว่าอาจจะ ก่อให้เกิดอันตรายต่อประเทศเช่นกัน รวมทั้งมีกระแสการคัดค้านจากสาธารณชน
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2554 คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ได้ขอหารือกับ 4 หน่วยงาน คือ (1) คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง (2) ผม ในฐานะผู้ว่าการแบงก์ชาติ (3) คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสภาพัฒน์ และ (4) คุณอัชพร จารุจินดา เลขาธิการกฤษฎีกา ซึ่งผมได้เรียนให้ที่ประชุมทราบว่าการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ มาให้แบงก์ชาติ มีผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างไรบ้าง ทั้งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงิน การบั่นทอนวินัยการคลัง เพราะรัฐบาลอาจกู้เงินได้โดยง่ายแล้วให้แบงก์ชาติโอนเงินเพื่อชำระหนี้แทน เป็นการทำลายเสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและเครดิตเรทติ้งของประเทศ เมื่อประเทศเสียเครดิตแล้ว ความไว้วางใจจากต่างชาติจะน้อยลง ส่งผลต่อการให้เครดิตระหว่างกัน เจ้าหนี้ต่างประเทศอาจคิดดอกเบี้ยแพงขึ้น

ในการชี้แจงวันนั้น ทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวของอาจารย์ที่ว่า "ใน การที่จะติดต่อกับรัฐบาล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้มีความเชื่อถือ ให้รัฐบาลหรือบุคคลในรัฐบาลเชื่อถือว่า เราไม่ได้เห็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของธนาคารชาติ แต่เห็นประโยชน์ของแผ่นดิน ผู้ว่าการและผู้ใหญ่ในธนาคารชาติจะต้องมีความกล้าหาญพอสมควร คือ ต้องสามารถที่จะพูดขัดได้ ถ้าอะไรที่ไม่ดีแล้วจำเป็นจะต้องพูดได้ ถ้าไม่มีความกล้าพอ อย่าเป็นดีกว่า"
เนื่องจากในการท้วงติง ต้องอาศัยศิลปะและความกล้า เพราะรัฐบาลย่อมมีอำนาจเหนือแบงก์ชาติอยู่แล้ว แต่ในที่สุด ที่ประชุมได้ข้อสรุปตามที่แบงก์ชาติเสนอว่า (1) ต้องไม่มีการพิมพ์เงินใหม่ (2) ต้องไม่ใช้ทุนสำรองเงินตรา และหลักการของรัฐบาลว่าต้องลดภาระงบประมาณ

หลังจากวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่ พอเปิดทำการในวันแรก 4 มกราคม 2555 ผมทราบข่าวว่า กฤษฎีกาส่งร่าง พ.ร.ก. เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. โดยที่แบงก์ชาติไม่ได้รับแจ้งหรือเห็นร่าง พ.ร.ก. ฉบับดังกล่าวก่อน ซึ่งต่างจากพิธีปฏิบัติตามปกติ ในช่วงเย็นวันนั้น มีผู้สื่อข่าวส่ง fax ร่าง พ.ร.ก. มาให้ดู ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น 5 มกราคม สื่อสาธารณะได้ลงร่าง พ.ร.ก. ดังกล่าว ซึ่งเนื้อหาไม่สอดคล้องกับหลักการที่ได้ตกลงกันจากที่ประชุม ผมจึงได้แสดงความเห็นคัดค้านผ่านการให้สัมภาษณ์ โดยเฉพาะมาตรา 7(1) และ 7(3) เกี่ยวกับการกำหนดให้แบงก์ชาตินำส่งกำไรสุทธิไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 และการให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ของแบงก์ชาติตามที่ ครม. กำหนด ส่วนทางคณะศิษย์หลวงตามหาบัวได้แสดงความเห็นคัดค้านในมาตรา 7(2) และ 7(3) เพราะจะกระทบต่อสินทรัพย์ในคลังหลวงหรือทุนสำรองเงินตราด้วย
ในช่วง 10 โมงเช้าวันเดียวกัน รองนายกฯ ได้มาหารือกับผมที่แบงก์ชาติ ผมก็ได้ทักท้วงประเด็นที่จะสร้างความเสียหายต่อประเทศ ซึ่งรองนายกฯ รับว่าไม่มีเจตนาและเห็นพ้องที่จะให้ต้นเงินกู้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ยังอยู่ที่คลัง รวมทั้งตอบรับที่จะแก้ไขมาตรา 7 ในขณะที่ยังคงให้แบงก์ชาติกำหนดเงินนำส่งของธนาคารพาณิชย์เพื่อบริหารจัดการ หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ
นอกจากการแสดงความเห็นท้วงติงด้วยการให้สัมภาษณ์ และการพูดคุยโดยตรงกับรัฐบาลแล้ว ผมเองยังได้ทำหนังสือลงวันที่ 9 มกราคม 2555 ถึงรัฐมนตรีคลัง เพื่อแสดงความเป็นห่วง ดังนี้ (1) การให้แบงก์ชาติรับภาระหนี้สาธารณะแทนรัฐบาลมีผลเท่ากับพิมพ์เงินให้รัฐบาล ใช้ ซึ่งส่งผลเสียต่อประเทศ (2) จะต้องไม่มีการโอนเงินหรือสินทรัพย์ของแบงก์ชาติไปชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ (3) การดำเนินการของกองทุนฟื้นฟูฯ ควรทำในฐานะตัวแทนรัฐบาล (4) หน้าที่กำหนดอัตราเงินนำส่งควรเป็นของกองทุนฟื้นฟูฯ โดยความเห็นชอบของ ครม. และ (5) การนำส่งกำไรสุทธิต้องหักขาดทุนสะสมแล้ว
สื่อสาธารณะได้แสดงความวิตกกังวลต่อเรื่องดังกล่าวอย่างกว้างขวาง บางส่วนสะท้อนในภาพการ์ตูนล้อการเมืองที่ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งผมได้แนบมาให้อาจารย์ดูด้วย แต่ในที่สุด ครม. ก็มีมติอนุมัติร่าง พ.ร.ก.เมื่อวันที่ 10 มกราคม ซึ่งผมเองได้มีโอกาสเห็นร่าง พ.ร.ก. ที่ ครม.อนุมัติ ในช่วงเย็นวันที่ 11 มกราคม ผมเบาใจในระดับหนึ่งที่ไม่เห็นการโอนเงินหรือสินทรัพย์ของแบงก์ชาติปรากฏ อยู่ เท่ากับว่าความพยายามในการท้วงติงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปีก่อน สัมฤทธิผลบ้าง ซึ่งคงจะช่วยลดความเสี่ยงด้านการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการให้แบงก์ชาติโอนเงินหรือสินทรัพย์ไปให้รัฐบาลใช้จ่าย เพราะจะนำมาซึ่งการเสื่อมค่าของเงินตราและค่าครองชีพที่สูงขึ้นดังที่ อาจารย์เคยบันทึกไว้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มเงินนำส่งธนาคารพาณิชย์ว่าเป็น อย่างไร ผมเองได้มีโอกาสพบกับสมาคมธนาคารไทยในวันที่ 12 มกราคม และได้รับทราบข้อกังวลด้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมระหว่างธนาคารพาณิชย์กับ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIS) เพราะ SFIS ไม่มีภาระต้องส่งเงินสมทบทำให้มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการเงินที่ต่ำกว่า และอาจมีผลผลักดันให้ SFIS เข้ามาแข่งขันในเชิงพาณิชย์ ทั้งการเร่งระดมเงินฝาก และการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้รายใหญ่ จนละเลยบทบาทในเชิงพัฒนาซึ่งเป็นหน้าที่หลักของ SFIS เช่น การให้กู้แก่คนมีรายได้น้อย ขาดโอกาส แต่มีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นได้
ผมมีโอกาสหารือกับคุณธีระชัย รัฐมนตรีคลัง ที่เชียงใหม่ช่วงกลางเดือนมกราคม 2555 ซึ่งท่านไม่ค่อยแน่ใจกับการเก็บเงินนำส่งจาก SFIS แต่บอกว่าได้ออกนโยบายให้ SFIS จำกัดบทบาทเชิงพาณิชย์ลงแล้ว ต่อมา ภายหลังการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีคลังจากคุณธีระชัยเป็นคุณกิตติรัตน์ มีการประชุมระหว่างรัฐมนตรีคลัง แบงก์ชาติและสมาคมธนาคารไทยเมื่อวันที่ 30 มกราคม ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่าให้เก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์ในอัตราร้อยละ 0.46 เพื่อชำระคืนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ และอีกร้อยละ 0.01 เพื่อเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก รวมทั้งให้เก็บเงินจาก SFIS ในอัตราที่เท่ากันด้วย
อาจารย์ครับ หากมองย้อนเวลากลับไป ในช่วงปลายปีก่อนที่มีแนวคิดของการโอนหนี้มาให้แบงก์ชาติ เพื่อลดหนี้สาธารณะและจะได้สามารถกู้ได้เพิ่มเติม ผมพยายามเจรจาอธิบายให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าใจว่าการใช้แบงก์ชาติโอน เงินให้รัฐบาลเพื่อใช้หนี้แทน จะส่งผลเสียต่อประเทศอย่างไร
ผมดีใจนะครับว่าในที่สุดคำทัดทานของผมบังเกิดผลอยู่บ้าง สำหรับการแก้ปัญหาที่ให้เก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินนั้น แน่นอนว่าสถาบันการเงินจะมีภาระเพิ่มเติม แต่ผมพยายามที่จะตกลงกันในเรื่องอัตราเงินนำส่งว่าทุกฝ่ายรับได้ และการที่ให้เก็บเงินโดยเสมอภาคกันก็คงช่วยลดผลกระทบข้างเคียงลงได้บ้าง วิธีการเก็บเงินเพื่อชำระหนี้ คงจะใช้เวลานานกว่า 20 ปี แต่ผมมองว่าเป็นหนี้ก้อนใหญ่มาก หากเก็บเงินทีเดียวเยอะๆ ก็คงไม่ไหว จึงต้องใช้วิธีทยอยเก็บเงินเพื่อชำระคืน และ ในอนาคต เมื่อประเทศมีรายได้มากขึ้น สถาบันการเงินเติบโตขึ้น ภาระเงินนำส่งก็จะลดลงไปโดยปริยาย

ผมดีใจนะครับที่มีโอกาสเขียนเล่าเหตุการณ์ให้อาจารย์ทราบ เพราะอาจารย์คงเคยประสบเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กัน โดยเฉพาะความพยายามในการโอนสินทรัพย์ของแบงก์ชาติ ผมยังจำได้ถึงข้อเขียนที่อาจารย์เคยบันทึกไว้ว่า "เรื่องทุนสำรองนี่ไม่ใช่ของผม และไม่ใช่ของใครในธนาคารชาตินี่ และไม่ใช่ของพวกคุณ ไม่ใช่ของรัฐบาล เป็นของชาติทั้งชาติ และก็เป็นของลูกหลานของเราที่จะมีต่อไป"
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
Tags : ปร๋ะสาร • จ.ม.ถึงอ.ป๋วย


แดงเทียม

สงสัยตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยของท่านประสารคงเป็นได้อีกไม่นาน  ส.หัว ส.หัว ส.หัว ส.หัว ส.หัว ส.หัว


ถูกต้องครับ

อ้างจาก: นานก เมื่อ 02:00 น.  09 ก.ค 55


ที่ประเทศเสียอยู่ทุกวันนี้

ก็อย่างที่คุณเขียนนี่แหละ

สงสารประเทศไทย

สงสารคนไทยที่ไม่รู้ทัน

ตกเป็นเบี้ยล่างคนดีนี้

puiey

โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

ป๋วย อึ๊งฯ


14 กรกฎาคม 2555

เรียน ท่านผู้ว่าการ

        ผมได้รับจดหมาย ฉบับ ไม่ลงวันที่ แต่ใส่เดือนพฤษภาคม 2555 ของท่านเรียบร้อยแล้ว
        เหตุที่ได้รับก็เพราะว่า มีคนเพิ่งจากโลกที่ท่านผู้ว่าการกำลังอาศัยอยู่นั้น เขาอุตส่าห์นำขึ้นไปให้
        ผมได้กล่าวขอบคุณ ผู้ที่นำจดหมายขึ้นไปฝาก เพราะถึงแม้เขาผู้นั้น จะไม่ได้ทำงานที่ธนาคารชาติ แต่ยังมีน้ำจิตน้ำใจงดงาม คิดถึงผู้ที่จากโลกมนุษย์ไปก่อนอย่างผม เมื่อมีโอกาสตามขึ้นไปอยู่ที่เดียวกัน จึงนำข่าวสารจากโลกมนุษย์ ติดไม้ติดมือไปให้ด้วยตามประสามิตรผู้มีน้ำใจต่อกัน

        ผมอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ มานานพอสมควร แต่ยังไม่มีโอกาสได้พบเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารของธนาคารชาติเลย แม้จะพบบางคนที่พบเคยทำงานอยู่ที่วังบางขุนพรหม และได้คุยกันบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พนักงานระดับผู้บริหารของแบงก์ชาติ หากเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย อย่างพวกยามเฝ้าประตู หรือพนักงานเดินเอกสาร เท่านั้น
        ผมเองไม่ทราบว่า บรรดาผู้บริหารแบงก์ชาติ ตายไปแล้ว
ตกไปอยู่ "ภพ" อื่น หรือ "ขุม" ไหนกันหมด!?

        ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับข่าวสาร จากคนในแวดวงธนาคารชาติ แต่ผมยังได้อ่านหนังสือ ของคุณ "วาทตะวัน" ทุกเล่ม เพราะมีผู้นำมาฝากจากโลกมนุษย์ ทั้งยังได้อ่านข้อเขียนของท่านผู้นี้เป็นประจำ ซึ่งผมสันนิษฐานเอาเองว่า
        คงจะมีผู้พริ้นท์บทความ จาก www.vattavan.com แล้วนำไปเผาที่เตาของวัด "เล่งเน่ยยี" ให้ลอยเป็นควัน ส่งถึงผมบนสวรรค์เป็นประจำ จึงมีโอกาสได้อ่านข้อเขียนของคอลัมน์นิสต์ท่านนี้ สม่ำเสมอ มิได้ขาดเลย

        ดังนั้น แม้ผมจะอยู่บนสวรรค์ชั้น 7 ก็จริงอยู่ แต่ได้รับความรู้ใหม่ ทั้งเหตุการณ์และความเป็นไป จากบทความต่างๆของคุณ "วาทตะวัน" อย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องบอกว่า
        น่าสนใจอย่างยิ่ง!
        จึงทำให้ตัวผมเอง ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร และความเป็นไปในบ้านเมืองของเราพอสมควร แต่อีกหน่อยคงสะดวกมากขึ้น เพราะตอนนี้ "พระอินทร์" ซึ่งเป็นมหาเทพ ปกครองสวรรค์ชั้น 7 ท่านกำลังพิจารณา ให้ชาวสวรรค์หรือเทวดาอย่างพวกผม
        มี IPAD ใช้ทั่วกัน!

        พระอินทร์ท่านได้แจ้งกับบรรดาชาวสวรรค์ว่า ปัจจุบันนี้แม้แต่กระทั่งเด็กประถมของเมืองไทย กำลังจะมีอุปกรณ์ชิ้นที่เป็นประโยชน์นี้ ใช้โดยทั่วกันแล้ว ทังยังแจ้งให้ทราบด้วยว่า
        ท่านกำลังหารือกับ มิสเตอร์ สตีฟ จ๊อบ ซึ่งเพิ่งขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นเดียวกับผม จึงเชื่อกันว่า
        อีกไม่นาน นักสื่อสารผู้มาใหม่คนนี้ จะทำให้การรับข่าวสารของชาวสวรรค์ จากโลกมนุษย์ กระทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียคงมีอยู่บ้าง เพราะอาจทำให้เทวดาบางองค์ ที่ได้รับข่าวสารจากโลกแล้ว อาจทำใจไม่ได้ เพราะยังมีกิเลสที่เป็น "เศษกรรม" หลงเหลือปะปนอยู่บ้าง จนถึงคราวต้อง "หมดบุญ" และ...
        กลับไปจุติ บนโลกภพอีกครั้ง ก็เป็นไปได้!
        นี่คือข้อเสียของเทคโนโลยี่ ซึ่งไม่ได้กระทบเพียงมนุษย์เท่านั้น แต่อาจส่งถึงผู้ที่เป็นเทวดา ซึ่งกำลังอยู่เสวยผลบุญ อย่างพวกผม ที่อยู่บนวิมานสถานแห่งนี้ด้วย

        อ่านจดหมายของท่านผู้ว่าฯ แล้ว ต้องบอกกันตรงๆว่า ผมเองไม่ได้รู้สึกเห็นใจ หรือ "เข้าข้าง" ท่านแต่ประการใด
        ทั้งนี้ ก็เพราะ...
        การที่ประเทศไทยของเรา ต้องตกระกำลำบาก เมื่อคราวเศรษฐกิจตกต่ำ ปี พ.ศ.2540 นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยเอง
จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลย
        เหตุผลก็ คือ...
        ความผิดพลาดใหญ่หลวงครั้งนั้น ธนาคารที่ท่านผู้ว่าการ กำลังเป็นผู้นำอยู่ตอนนี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการนำพาชาติไทยไปสู่ความตกต่ำ ถึงขั้นต้องกู้หนี้ยืมสิน จนเปิดโอกาสให้ IMF เข้ามาครอบงำเศรษฐกิจของบ้านเรา
        อย่างกระดิกกระเดี้ยไม่ได้!

        ผมต้องขอเตือนท่านผู้ว่าการตรงๆ ว่า หนี้สินของชาติ ในเรื่องกองทุนฟื้นฟู นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน เพราะมีฐานะเป็นตัวการสำคัญยิ่ง ที่ร่วมสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง เหตุเพราะความผิดพลาด ในการต่อสู้ค่าเงินบาทอย่างไม่ระมัดระวัง ขาดความรอบคอบ จนทำให้อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ต้องถูกฟ้องร้องโดยอัยการแผ่นดิน เรียกค่าเสียหายทางแพ่งนับแสนล้านบาท
        นี่คือความอัปยศขององค์กร ที่ท่านผู้ว่าการ กำลังเป็นผู้นำ!

        ดังนั้น ธนาคารชาติจะมาทำนิ่งดูดาย ทิ้งให้หนี้สินดังกล่าว ให้เป็นภาระของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยต้องเจียดเงินงบประมาณที่มีจำกัด มาใช้หนี้เวรหนี้กรรม ที่ธนาคารชาติเป็นตัวการสำคัญ ในการก่อหนี้ทั้งหมดด้วย นั้น
        คงเป็นเรื่อง ไม่ถูกต้องแน่!

        ท่านผู้ว่าการ จะต้องยึดหลักประจำใจว่า ชาติของเราจะเจริญต่อไปในอนาคตได้นั้น ประชาชนคนในชาติ ทุกผู้ ทุกนาม จะต้องเผชิญชะตากรรมของชาติ
        ด้วยความอดทน เด็ดเดี่ยว กล้าหาญร่วมกันทุกคน!
        จึงจะเป็น สิ่งที่ถูกต้อง!!

        ดังนั้น ในเมื่อปัจจุบันนี้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สถานะทางการเงินทางธนาคารแห่งประเทศไทยปัจจุบัน ดูจะมีความมั่นคง มากขึ้น เพราะตั้งแต่ยุคทักษิณฯ เป็นผู้นำประเทศ เขาได้ปลดหนี้สินของชาติ จาก "แอก" ของ IMF และเริ่มสั่งสม "เงินทุนสำรอง" ขึ้นมา ให้แข็งแรงอีกครั้ง จนมีการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ของธนาคารชาติเองว่า
        เงินทุนสำรองระหว่างประเทศปัจจุบัน มีมากกว่า 1 แสน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และมากเป็นอันดับต้นๆของโลก นอกจากจำนวนที่ต้องสำรองตามภาระผูกพัน และความจำเป็นแล้ว คนของธนาคารชาติเอง ได้ออกมาบอกเองว่า ยังเหลือพอที่สามารถนำไปลงทุนหาประโยชน์ได้...
        ไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ...มากกว่าหนี้ของกองทุนฟื้นฟูเสียอีก!

        ฉะนั้น เมื่อบ้านเมืองยังมีความจำเป็นต้องใช้เงิน เพราะต้องเผชิญภัยพิบัติต่างๆ และยามนี้เอง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีความเข้มแข็ง และมีกำลังอยู่พอตัวแล้ว
        จึงสมควรที่ธนาคารชาติ จะรับภาระหนี้สิน ที่ตัวเองมีส่วนก่อขึ้น ด้วยความองอาจกล้าหาญ จึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องทางจริยธรรม ไม่ใช่ "เอาแต่ได้" ถ่ายเดียว จนผู้คนเขานินทาว่า
        บุคลากรในธนาคารแห่งประเทศเทศไทยนั้น กลัวว่าพวกตนจะได้ "สิทธิประโยชน์" จากองค์กรของตัวน้อยลง หรืออย่างไรกันแน่!?

        ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ผมได้จากคอลัมน์ "วาทตะวัน" ชื่อ ธนาคารชาติกับการโอนหนี้ (คนรวยขี้รดกางเกง แต่คนจนซัก!!!) (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=344)
        หากท่านผู้ว่าการสงสัย จะลองเข้าอ่านดูบ้าง ก็คงจะดี เพราะจะเป็นประโยชน์กับท่านแน่ๆ

        ขอเรียน ต่อไปอีกว่า
        จดหมายของท่านผู้ว่าการ ที่มีถึงผมนั้น ต่างจากจดหมายที่ผมเองเคยเขียนถึง จอมพล ถนอม กิตติขจร เพราะตอนที่เขียนจดหมายฉบับนั้น ตัวผมไม่ได้มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว แต่ท่านผู้ว่าการ ได้เขียนจดหมายถึงผมที่ตายจากไปนมนาน ในขณะที่ตัวท่านเอง ยังนั่งป๋อหลออยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
        ผมจึงเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากบอกว่า
        ท่านผู้ว่าการกำลังหาเรื่อง "หลอกด่า" รัฐบาลนายกฯปู
แบบ "กินเปล่า" ซึ่งเป็นการกระทำที่
        ไม่สมควรอย่างยิ่ง!

        ท่านผู้ว่าการ ควรจะสำแดงความเป็นสุภาพบุรุษ แห่งธนาคารชาติ ที่มีความกล้าหาญเพียงพอ ที่จะขอ "เข้าพบ" นายกฯยิ่งลักษณ์ แล้วพูดกับท่านนายกฯ อย่างเปิดอก ด้วยความ ตรงไปตรงมา พร้อมกับอธิบายความ ในเรื่องที่ท่านผู้ว่าการคิดว่า จะเป็นปัญหาของชาติบ้านเมือง ในเรื่องค่าใช้จ่ายของนโยบายประชานิยม ดังที่ท่านผู้ว่าการ แอบเหน็บรัฐบาลเอาไว้ในจดหมาย 

        ผมคิดว่านายกฯยิ่งลักษณ์ ซึ่งผู้คนเลื่องลือว่า เป็นผู้หญิงที่มีอุปนิสัยซื่อสัตย์ นั้น
        คงไม่ขัดข้องแน่ๆ!

        พูดถึงเรื่องประชานิยม ที่ท่านผู้ว่าการยกเป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลแล้ว ผมเองทราบถึงโครงการของรัฐบาลพรรค "เพื่อไทย" ที่เคยทำมาในอดีต และบัดนี้ได้กลายเป็นโครงการระดับโลก อย่าง "30 บาทรักษาทุกโรค" ประชาชนคนไทย รวมทั้งคนชาติอื่นๆ เขาแซ่ซ้อง สดุดีกันอึงมี่ หรืออีกตัวอย่างที่เราเห็นกัน คือ "เงินกองทุนหมู่บ้าน" ที่ให้เงินไปหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท (ต่อมาเพิ่มให้อีกหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท) นั้น
        เงินกองทุนดังกล่าว ได้สร้างความ "มั่นคง" ขึ้นในหมู่บ้านห่างไกล ทำให้ผู้คนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ที่อยู่ในหมู่บ้านของตัวเอง เมื่อพวกเขามีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเข้าไปในจังหวัด เพราะกู้ได้ในหมู่บ้าน และเงินกองทุนนี้ ปรากฏชัด ว่า
        มี "หนี้เสีย" น้อยกว่าธนาคารพานิชย์เอกชน ที่ท่านผู้ว่าการเคยเป็นผู้จัดการมาแล้วด้วยซ้ำไป
        และที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ก็คือ
        เงินกองทุนนี้ "ดอกเบี้ย" ได้งอกเงยจนจะท่วมต้นแล้ว สามารถนำย้อนกลับไป เป็นประโยชน์กับหมู่บ้านอีกด้วย!

        โครงการดีๆอย่างนี้ ไอ้พรรคที่ผู้คนเขาลือว่า พวกมันสนับสนุนให้ท่านผู้ว่าการ เข้ามาสู่ตำแหน่งสูงสุดในธนาคารแห่งประเทศไทยได้ นั้น
        ไอ้คนพวกนี้ มันไม่รู้จักคิด "ดีแต่พูด" อย่างเดียว ถึงเวลาทำ กลับทำไม่เป็น พอขึ้นมาเป็นรัฐบาล ดันมีแต่เรื่องคอรัปชั่นท่วมหูท่วมหู คนที่ขึ้นมาบนสวรรค์รุ่นหลังๆ เขาก่นด่าให้ฟัง จนหูของผม ชาแล้วชาอีก
        จึงขอให้ท่านผู้ว่าการ ได้รับทราบเอาไว้ด้วยว่า

        อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ตามข่าวลือ ว่า เมื่อท่านผู้ว่าการเกษียณจากธนาคารชาติแล้ว พรรคดักดานที่เคยสนับสนุนท่านมาก่อน จะเอาท่านผู้ว่าการไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะตำแหน่งนี้ "อีตาโย่ง" คนได้แม่ม่ายเป็นเมีย จองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แถมตอนนี้ มันยังยึดตำแหน่ง "รัฐมนตรีคลังง่าว" ใน "คณะรัฐมนตรีง่าว" ของพรรคดักดาน เอาไว้แล้วด้วยซ้ำ!
        ดังนั้น ท่านผู้ว่าการจะไปแซงคิวนายคนนี้ ขึ้นไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
        ...คงเป็นไม่ได้หรอกครับ!!

        การที่ท่านผู้ว่าการ ส่งจดหมายไปออเซาะผมถึงสวรรค์ชั้น 7 ในทำนองฟ้องว่า รัฐบาลนายกปูฯ จะผลาญเงินงบประมาณ แต่เมื่อต้นเดือน ก.ค.นี้เอง กลับเพิ่งมีข่าว นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า
        เศรษฐกิจไทยในยุครัฐบาลปัจจุบัน ขณะนี้ยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากได้รับเม็ดเงิน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงหลังอุทกภัย โดยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ทั้งภาคการผลิต และการบริโภคภายในประเทศ
        ดังนั้น เรื่องที่ท่านผู้ว่าการ สาธยายมาในจดหมายให้ผมฟัง ไม่น่าจะตรงกับความจริง ที่เป็นอยู่กระมัง!? 

        การที่ท่านผู้ว่าการ เอาแต่ต่อว่าต่อขาน รัฐบาลนายกฯปู
ว่า ใช้เงินมากมายไปในเรื่องประชานิยม แต่กลับมีข่าวปรากฏออกมาตามสื่อ ว่า
        รถประจำตำแหน่งของท่านผู้ว่าฯ เอง ยังมีราคาสูงจนน่าตกใจ และเป็นที่กล่าวขวัญกันให้อื้ออึง คือ รถยนต์ยี่ห้อ Mercedes-Benz รุ่น E250 CGI เกียร์อัตโนมัติ
        รถคันดังกล่าว ราคา 12,012,645 บาท (สิบสองล้านหนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสี่สิบห้าบาทถ้วน)
        ชาวสวรรค์ที่เขารู้เข้า ถึงกับวิพากษ์วิจารณ์กันว่า รถที่ท่านผู้ว่าการนั่งได้อย่างสบายตูด โดยไม่กระเทือน "หูรูด" จนถึงขั้นริดสีดวงทวารหนักต้องร้าวราน นั้น
        ราคาสูงกว่ารถของพระราชวงศ์ หลายประเทศในโลกมนุษย์ เสียด้วยซ้ำไป!
        ดังนั้น การจะเขียนจดหมาย มา "อ้อล้อ" เพื่อให้ผมไปเห็นใจท่านผู้ว่าการ คงไม่สำเร็จหรอกครับ!!

        สุดท้าย ต้องขอขอบคุณ สำหรับจดหมายที่มีถึงผม แต่การที่ท่านผู้ว่าการ เขียนจดหมายแบบคร่ำครวญ รำพึงรำพันไร้สาระ แถมยังออกแนว Drama จนเกินเหตุ

        ต้องขอบอกกัน อย่างตรงไปตรงมา ว่า ไม่อยากอ่านอย่างนี้ เพราะ...

        มันไม่ถูกกับ "อัธยาศัย" ของผมเลยจริงๆ!!!

                                                ด้วยความปรารถนาดี

                                                      ป๋วย อึ๊งฯ

.......

นอกเรื่อง ท้ายบท
สำหรับผู้ที่โพสต์แสดงความเห็น(http://vattavan.com/detail.php?cont_id=374)
มีดังต่อไปนี้ ครับ...

ความคิดเห็นที่ 1   
ความโลภไม่เข้าใครออกใคร มันเกาะกินไปทุกสาขาอาชีพ แม้แต่ผู้ทรงศีลหรือคนในวงการแพทย์บางรายแพ้การยั่วยวนของกิเลส สมัยก่อนยังมีการลงแขกทำนา ไม่ต้องว่าจ้าง เป็นการช่วยเหลือกันในชุมชน สมัยนี้ต้องจ้างทุกอย่าง ความมีน้ำใจลดลง สื่อมวลชนก็ส่งเสริมกันแต่เรื่องบริโภคนิยม ต้องช่วยกันนำคุณธรรมกลับคืนมาครับ
โดยคุณ หมีรักษา

ความคิดเห็นที่ 2   
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการโกงบ้านกินเมืองของนักการเมืองขี้ฉ้อ...ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดครับ...คนไทยเดี๋ยวนี้ไม่โง่นะครับ...ไม่หลงรักจนหัวปักหัวปำ ใครผิดก็ว่ากันตามผิด ส่วนเรื่องหมอก็ด้วย ควรกวาดบ้านเอาฝุ่นผงตัวสกปรกออกมาทิ้ง วงการของพวกท่านจะได้เป็นที่เชิดชูของสังคมอย่างแท้จริง
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันไม่ป่วย

ความคิดเห็นที่ 3   
กำลังจะแซวอาจารย์อยู่พอดีว่าทำไมไม่ intrend เลยเพราะไปเขียนเรื่องหมอชนบทเสียนี่ พออ่านจบจึงพบความจริงว่า หวะสันต์ เอํยเดีํยวเจออาจารย์ วาทฯ แน่ ( คราวนี้ออกมาไม่เป็นไปตามมาตรา 68 แล้ว) ผมคนหนึ่งพร้อจะออกมาต่อสู้ ตายเป็นตาย ยอมไม่ได้จริงๆ ฟังพวกฝ่ายผู้ร้องถามพยานแล้วแทบจะเอามือชกโทรทัศน์ให้พังไปเลย ยียวน กลับไปกลับมา เหมือนสืบพยานในศาลยุติความ....เลย ศาลก็แสนจะดีแหมขอสำเนาคำให้การเพื่อแถลงปิดคดีเป็นเอกสารก็ให้ด้วยความยินดี โดยอ้างว่าจะส่งศาลเย็นวันพุูธ แล้วศาลจะอ่านวันพฤหัสบดี วันศุกร์บ่าย 2 อ่านตัดสิน(ผิดแน่)เลย แต่ที่น่าสงสัยศาลอายุก็มากแล้วจะใช้เวลาเพียง 1 วันอ่านทำความเห็นทันหรือท่าน เพราะสืบพยานทั้ง 2 ฝ่ายใช้เวลา 2 วัน เอกสารไม่ตำกว่า 300 หน้า น่าคิดนะ หรือคณะท่านหวะ.. มีธงคำตัดสินแล้ว แต่อย่างไรก็ตามจะออกมาแบบไหนก็ช่าง ผมไม่ยอมรับรูเพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ครับ ท่าน หวะส..
โดยคุณ suaksai@thaimail.com

ความคิดเห็นที่ 4   
ไม่น่าเชื่อครับว่า ปัจจุบันความก้าวหน้าของตุลากการไทย สูตร ค.ม.ช.จะพิจารณาคดีเรื่องที่ยังไม่เกิดได้ ผมตั้งใจจะส่งลูกหลานเรียนกฏหมาย เปลี่ยนใจแล้วครับ ผมจะให้ไปเรียนวิชาโหราศาสตร์แทนครับ
โดยคุณ narong subsangar

ความคิดเห็นที่ 5   
นิสัยขโมยถ้ารู่วาเจ้าของเขารู้มันจะทำเป็นนิ่งทำไมรู้ไม่ชี้เหมือนไม่เคยขี้ขโมยถ้าเขาเผลอมันก็เหมือนเดิม(ทำ....เหมือนเดิม)
โดยคุณ บัวบาน 

ความคิดเห็นที่ 6   
เกราะป้องกันรัฐบาลนายกปูที่แข็งแกร่งอีกอย่างหนึ่งคือผลงานและการบริหารที่ปราศจากทุจริตคอรัปชั่น ขณะนี้ยังไม่เห็นพรรคแสบหยิบเรื่องงบค่าเสื่อมและการแจกเครื่องมือแพทย์ให้ รพ. ต่าง ๆ มาฉก-กัด น่าสงสัยอยู่ ไม่ช้าไม่นานคงจะมีการชี้แจง ไว้คอยดูตอนนั้นว่ารัฐบาลใสสะอาดเพียงใด ภาวนาว่าขอให้ไม่มีมูลเถิด คงไม่ต้องผิดหวังกับรัฐบาลนี้ที่ดูดี แต่ประพฤติไม่ต่างจากพรรคแสบเลย ??? รออ่านข้อเขียนเกี่ยวกับการแสดงของคณะลิเกเฒ่าด้วยใจจดจ่อครับ โดยคุณ เป็นห่วง 

ความคิดเห็นที่ 7   
จะช่วยจับตาดูกระทรวงสาธารณสุขอีกแรง สงสัยไอ้เรื่องซื้ออุปกรณ์การแพทย์เหมือนกัน เพราะทำงานเกี่ยวกับบัญชีจึงค่อนข้างจะรู้ราคาอุปกรณ์ทางการแพทย์ อยู่บ้าง และพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ตามรพ. น่าสงสัยมาก บางรายชิ่งไม่จ่ายเงินเฉยๆ บอกว่าเบิกไม่ได้ ให้ทำเป็นการบริจาคแล้วกัน หนี้สูญยั๊วะเยี้ยะ
โดยคุณ kaw

ความคิดเห็นที่ 8   
คุณหมอในบ้านเมืองเราที่ดีๆ มีความห่วงใยและเต็มใจรักษาพยาบาลคนป่วยไข้ตามวิชาแพทย์มีอยู่มากมาย / ยกเว้นไอ้หมอเวรเฮงซวย - ตุลย์ + วรงค์ 2 ตัวนี้ ไม่อยากจะเรียกว่า"หมอ" ให้เป็นเสนียดต่อวงการแพทย์เลยครับ
โดยคุณ คนร้อยเอ็ด

ความคิดเห็นที่ 9   
I think the health budget is justified all , both the prices and the items they bought ,eg dental unit costs about 400 grands , and emergency generators etc .
โดยคุณ dam.gunners@hotmail.com

ความคิดเห็นที่ 10   
1. น่าปลื้มใจที่ครั้งหนึ่งมีนายกฯ คนหนึ่งเห็นถึงความทุกข์ร้อนของคนยากจนและพยายามดับความทุกข์ร้อนนั้นในขณะที่ตนมีอำนาจ แต่น่าเศร้าใจที่สมัยหนึ่งมีนายโยกโย้กตัวหนึ่งพยายามทำตัวเป็นกิ้งก่าคลานจากมืออีแอบไปยืนผงกหัวอยู่บนขอนปลักขิกผุๆ ที่ปิดทองไว้ตรงหัว แล้วมองแต่ความทุกข์ร้อนของพวกที่ทำให้ตนเองได้รับผลประโยชน์ และพยายามกลบเกลื่อนสิ่งดีๆ ที่เคยมีมาเพียงเพื่อให้คนยากจนลืมนายกฯ คนนั้น (แต่บังเอิญคนยากคนจนถึงแม้จะความรู้การศึกษาน้อยก็ไม่เคยลืมบุญคุณเหมือนอย่างที่นายโยกโย้กตัวนั้นไม่มี... อ้อ... มีเหมือนกัน มันไม่ลืมบุญคุณอีแอบที่กล้าดีตั้งมันเป็นนายโยกโย้กจนกลายเป็นขี้ปากของสังคมโลกและเป็นที่สง่างามของครอบครัว) ซึ่งคนทั้งเมืองยกย่องว่านายโยกโย้กตัวนี้ได้รับเกียรติเป็นถึง "หมีหน้าฮ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก" ของครอบครัวและอีแอบ น่าภูมิใจแทนพ่อแม่ลูกเมียมันเสียนี่กระไร 2. ส่วนพวกสัตว์ประหลาดในสำนักเนชั่วที่มันมีแค่ดีกรีจบสูง แต่อายุสมองไม่ได้สูงตามปริญญาที่อาจจะซื้อหามา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความรู้ต่ำแบบไม่น่าจะเอามาใช้ประโยชน์ ทุกวันนี้ก็ไม่เคยใช้บริการข้อมูลอะไรจากสำนักนี้อยู่แล้ว ทั้งที่ซ่องสำนักงานใหญ่ และในที่สาธารณะที่หลับหูหลับตาจ้างพวกสัตว์ประหลาดไปเห่าให้ "คน" ฟัง (เพราะรู้ว่าสะตอเบอแหลตั้งแต่เจ้าของยันพวกเก็บขี้ในส้วม) 3. เห็นด้วยกับท่านวาทตะวันว่ากลุ่มหมอที่ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นๆ ของงบประมาณแผ่นดิน ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นๆ ข้างๆ ตัวพวกท่านที่สุดจะฉาวโฉ่ให้หมดไปด้วย ของใกล้ตัวแต่ทำเป็นไม่ได้กลิ่น อย่างนี้ก็ไม่น่าจะโสภาเท่าไรนัก อย่าทำตัวเป็นแค่เครื่องมือทางเมืองให้กับบางกลุ่มบางพวกจนลืมตรวจสอบพวกเดียวกัน เหมือนองค์กรในระบอบประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศ ที่อำนาจตุลาการลอยตัวเป็นเทวดาอยู่เหนือกฎหมาย กล้าทำลายอำนาจนิติบัญญัติและบริหารได้แบบล้ำเส้น โดยที่ตัวเองไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และไม่เคยตรวจสอบพวกเดียวกันเอง เสมือนแมลงสาบไม่แทะกินแมลงสาบพวกเดียวกัน

puiey

โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ