ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เปิดกรุต้นตำนานเทวดาอารักษ์ประจำถิ่น “ทวดงู” (animism : sacred snake) ที่สงขลา

เริ่มโดย four, 07:28 น. 19 ส.ค 51

four

เปิดกรุต้นตำนานเทวดาอารักษ์ประจำถิ่น  "ทวดงู" (animism  :  sacred snake)

               

"ความเชื่อ" (belief) คือรูปแบบของความคิดอีกรูปแบบหนึ่ง  เป็นประเภทคิดแบบยึดมั่นถือมั่นหรือเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าน่าที่จะเป็นเฉกเช่นนั้น  หากความเชื่อดังกล่าวเชื่อกันมากๆเข้าก็จะถูกยกระดับเป็น "คตินิยม" ซึ่งหมายถึงแบบอย่างทางความคิด ความเชื่ออันมีวิธีการคิดร่วมกันในแนวทางเดียวกันของคนหมู่มาก เห็นพ้องต้องกันโดยองค์รวม  กล่าวกันว่ารากเหง้าของความเชื่อนั้นต่างฝังอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว
               รากเหง้าทางความเชื่อในระยะเเรกเริ่มเดิมทีมนุษย์ล้วนเชื่อกันว่ามีดวงวิญญาณแฝงเร้นสถิตอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นในต้นไม้ ก้อนหิน แม่น้ำ สัตว์ หรือแม้แต่ป่าเขาก็ล้วนมีดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งกรอบแนวคิดและความเชื่อดังกล่าวมีลักษณะสอดคล้องสัมพันธ์กันในรูปของ "วิญญาณนิยม" (animism) หรือ "คติถือผีสางเทวดา"  อันหมายถึงความเชื่อที่ว่ารูปวัตถุบางสิ่งบางอย่างมีชีวิต ต่อมาดวงวิญญาณเหล่านี้ได้รับการยกระดับหรือยกสถานะให้สูงขึ้นเป็นผีฟ้า หรือเทวดา กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพสักการบูชาสืบเนื่องมาจวบจนปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่อย่างมากมาย
                "ทวด" (tuad) หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในหมู่ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอันเรียกตนเองว่า "ไทยสยาม" ดังมีความเชื่อร่วมกันว่า "ทวด" เป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พ่อ แม่ ของปู่ย่าตายาย บรรพชน หรือผู้มีบุญวาสนาที่ล่วงลับดับสูญไปแล้ว และรวมถึงเทวดากึ่งสัตว์ ประเภทพญาสัตว์ อันมีลักษณะพิเศษที่สง่าและน่ายำเกรงกว่าบรรดาสัตว์สามัญปกติโดยทั่วไป มีความเชื่อร่วมกันว่าหากเซ่นสรวงบูชาแก่ทวดแล้วจะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและได้รับความคุ้มครองตามมา แต่หากมีการลบหลู่ดูหมิ่นก็จะได้รับโทษ ผลเสีย รวมถึงความวิบัติตามมาในไม่ช้า
                ทวดในวัฒนธรรมทางความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้มีปรากฏให้ได้พบเห็นอยู่อย่างมากมาย  อาทิ  ทวดในรูปคน  ทวดในรูปต้นไม้  ทวดไร้รูป  นอกจากนี้ยังปรากฏทวดในรูปสัตว์ อันเป็นทวดที่เชื่อกันว่าดำรงตนอยู่ในรูปแบบ  "กึ่งเทวดากึ่งสัตว์"  เป็นพญาสัตว์มีความสามารถและเดชานุภาพให้คุณและให้โทษได้  เช่น ทวดงู  ทวดจระเข้  ทวดช้าง  และทวดเสือ  เป็นต้น
               กล่าวกันว่า "ทวด" เปรียบได้ดั่งเทวดาอารักษ์ประจำถิ่น ซึ่งมีฤทธิ์ อำนาจ สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้ใดก็ได้ ซึ่งในเรื่องนี้ เอมอร  บุญช่วย  ได้ศึกษาไว้พอที่จะสรุปได้ว่า  ทวด  หมายถึง ดวงวิญญาณอันมีเดชานุภาพสูง ต้องมีการปฏิบัติบูชาเอาใจจึงจะให้คุณ และให้โทษหากมีการล่วงละเมิด ทวด แบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
                1. ทวดที่เชื่อว่าเป็นรูปคน เช่น ทวดคำแก้ว ตำบลสะทิ้งหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นต้น
                2. ทวดที่เชื่อว่าไม่มีรูป  เช่น ทวดสระโพธิ์ ตำบลเชิงแส  อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา เป็นต้น
                3. ทวดที่เชื่อว่าเป็นรูปสัตว์ เช่น ทวดแหลมจาก(ทวดจระเข้) ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์  จังหวัดสงขลา  และทวดตาหลวงรอง(ทวดงู  หรือ งูทวด)ตำบลสะทิ้งหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นต้น(เอมอร  บุญช่วย.2544  :  93)

                รูปแบบความเชื่อในเรื่อง "ทวด ที่เชื่อว่าเป็นรูปสัตว์" หรือ "ทวด ในรูปสัตว์" ถือกันว่าเป็นรูปแบบทางความเชื่ออีกรูปแบบหนึ่ง ที่กล่าวกันว่ามีเทวดาอารักษ์ประจำถิ่นในรูปสัตว์ชนิดต่างๆคอยป้องปกรักษาอยู่ซึ่งในเรื่องนี้ สมบัติ  พลายน้อย  ได้แสดงทรรศนะเอาไว้ว่า  ในการศึกษาประวัติของมนุษยชาติและพงศวดารของมนุษย์ต่างๆ  เรามักจะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ในสมัยโบราณนั้นล้วนมีความสัมพันธ์กับสัตว์มาอย่างใกล้ชิดมาก  บางชาตินับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า  บางชาตินับถือสัตว์เป็นต้นตระกูลของตน  ความเชื่ออันนี้ได้สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานแม้ในเวลานี้ก็ยังมีคนเชื่อถือกันอยู่(สมบัติ  พลายน้อย.2541  :  3)
                ดังที่กล่าวมาว่า  "บางชาตินับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า" นี้เองอาจเข้าเค้ากับคติความเชื่อในรูปแบบที่ว่ามีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในสัตว์หรือสิ่งที่ตนนับถือ สอดคล้องกับที่ 
สุจิตรา  อ่อนค้อม  ได้ศึกษาไว้สรุปได้ว่า  การเข้าใจและถือว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสิ่งที่ตนนับถือ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้ใหญ่ ภูเขา เป็นต้น เป็นความเชื่อที่มีมาก่อนยุคพระเวทในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กล่าวกันว่าเป็นลักษณะของ "วิญญาณนิยม" (animism) วิญญาณเช่นนี้เองที่สามารถจะให้คุณให้โทษแก่มนุษย์ได้(สุจิตรา  อ่อนค้อม.2542  :  13)
รูปแบบความเชื่อในเรื่อง "ทวด ที่เชื่อว่าเป็นรูปสัตว์" หรือ "ทวด ในรูปสัตว์" ถือกันว่าเป็นรูปแบบทางความเชื่ออีกรูปแบบหนึ่ง ที่กล่าวกันว่ามีเทวดาอารักษ์ประจำถิ่นในรูปสัตว์ชนิดต่างๆคอยป้องปกรักษาอยู่ซึ่งในเรื่องนี้ สมบัติ  พลายน้อย  ได้แสดงทรรศนะเอาไว้ว่า  ในการศึกษาประวัติของมนุษยชาติและพงศวดารของมนุษย์ต่างๆ  เรามักจะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ในสมัยโบราณนั้นล้วนมีความสัมพันธ์กับสัตว์มาอย่างใกล้ชิดมาก  บางชาตินับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า  บางชาตินับถือสัตว์เป็นต้นตระกูลของตน  ความเชื่ออันนี้ได้สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานแม้ในเวลานี้ก็ยังมีคนเชื่อถือกันอยู่(สมบัติ  พลายน้อย.2541  :  3)
                ดังที่กล่าวมาว่า  "บางชาตินับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า" นี้เองอาจเข้าเค้ากับคติความเชื่อในรูปแบบที่ว่ามีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในสัตว์หรือสิ่งที่ตนนับถือ สอดคล้องกับที่ 
สุจิตรา  อ่อนค้อม  ได้ศึกษาไว้สรุปได้ว่า  การเข้าใจและถือว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสิ่งที่ตนนับถือ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้ใหญ่ ภูเขา เป็นต้น เป็นความเชื่อที่มีมาก่อนยุคพระเวทในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กล่าวกันว่าเป็นลักษณะของ "วิญญาณนิยม" (animism) วิญญาณเช่นนี้เองที่สามารถจะให้คุณให้โทษแก่มนุษย์ได้(สุจิตรา  อ่อนค้อม.2542  :  13)
                "ทวดงู"  (sacred snake)  เป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้วที่มนุษย์ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาบนพื้นพิภพแห่งนี้พร้อมๆกันกับความเชื่ออันมีรากฐานมาแต่ครั้งกาลก่อนว่า "งู" เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์อันมีมาพร้อมกับโลก ดังนั้นแล้วจึงไม่ผิดแปลกแต่ประการใดเลยที่จะปรากฏพบตำนาน พงศาวดาร หรือนิทานพื้นบ้านของชนชาติต่างๆปรากฏมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวข้องกับงูอย่างแพร่หลาย  ในทางตอนใต้ของประเทศไทย และในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียเองก็ปรากฏความเชื่อเรื่องงูอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งนั่นก็คือเรื่องของ "ทวดงู" หรือ "งูทวด"  ที่ซึ่งทวดงูนี้เองก็คืองูใหญ่ในอีกรูปลักษณะหนึ่งอันถือเป็นความเชื่อเฉพาะของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย อันมีบริบททางความคิดความเชื่อร่วมกันว่าเป็น "งูศักดิ์สิทธิ์"  หรือ
"sacred snake"  ทวดงู จึงเป็นดั่งกระแสธารทางความคิดความเชื่ออันมีบริบทในแนวทางคิดร่วมกันเข้าใจตรงกันของกลุ่มชนทั้ง 2 อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

                ทวดงู คืออะไร?  ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกงูว่า "snake"  แต่ "งู" ในที่นี้เป็นมากกว่างูธรรมดาสามัญโดยปกติทั่วไป  ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้เรียกว่า "ทวดงู"  หรือ "งูทวด"  บ้างก็เรียกกันว่า "งูเจ้าที่"  หรือ "งูเจ้า"  และอธิบายตรงกันว่าเป็น "งูศักดิ์สิทธิ์"  (sacred snake)  มีรูปแบบทางความเชื่อที่คล้ายกันของชาวไทยถิ่นใต้ และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย อันเรียกตนเองว่า "ไทยสยาม"  กล่าวร่วมกันว่า งูทวดคืองูศักดิ์สิทธิ์อันถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากดวงวิญญาณของบรรพชนอันประกอบกรรมดีหรือกรรมขาวเอาไว้อย่างแรงกล้าในภพก่อน ประกอบกับมีความเป็นห่วงลูกหลาน  วงศ์ตระกูล  รวมถึงคนในรุ่นต่อมา พอดวงวิญญาณดังกล่าวมาเกิดในชาติใหม่ภพใหม่ ด้วยความผูกพันรวมถึงบุญกุศลที่ได้สร้างไว้จึงดลบันดาลให้เกิดเป็นทวดงู คอยเฝ้าดูแลปกป้องคุ้มครองคนในรุ่นต่อๆมา หรือเผ่าพันธุ์ของตนให้บังเกิดแต่ความสุข สงบ และเจริญรุ่งเรืองสืบไปในวันข้างหน้า  ซึ่งความเชื่อที่ว่า "ทวดงู คือดวงวิญญาณของบรรพชน" นี้เองจึงเข้าเค้ากับลักษณะการแบ่งจำพวกของผี หรือดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ว่าด้วยการเซ่นสังเวยบูชาว่า  ผีที่เป็นดวงวิญญาณบรรพบุรุษ หรือบรรพชนอันล่วงลับดับสูญไปแล้วก่อให้เกิดการเซ่นสังเวยบูชา ให้เรียกว่า "คติบูชาผีบรรพบุรุษ"  (ancestor  worship) ซึ่งคติบูชาผีบรรพบุรุษหรือผีบรรพชนนี้มีอยู่ในทุกประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยเองก็มีอยู่โดยทั่วทุกภาค 
                ทางภาคเหนือ    เรียกว่า  "ผีปู่ย่า" 
                ทางภาคกลาง    เรียกว่า  "ผีปู่ย่าตายาย"
                ทางภาคอีสาน   เรียกว่า  "ผีปู่ตา"
                ทางภาคใต้        เรียกว่า  "ผีตายาย"
             
                แม้นไทยสยามในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียเองก็เรียก "ผีตายาย" เช่นเดียวกันที่ว่า ทวดงู  หรืองูทวด  คืองูบรรพชนอันมีหน้าที่ในการป้องปกลูกหลานในรุ่นต่อมา
เป็นงูศักดิ์สิทธิ์ที่จักเนรมิตสิ่งต่างๆให้ได้สมดั่งใจมุ่งหวังแต่มีข้อแม้ว่าคนผู้นั้นจะต้องหมั่นสร้างกรรมดี และนับถือพระพุทธศาสนาเท่านั้น
                อนึ่ง ในเรื่องการถือกำเนิดของ "ทวดงู"  นี้เองผู้เขียนเคยเดินทางไปสอบถามจากทรรศนะนักวิชาการท่านหนึ่งคือ  ท่าน ผศ. จำเริญ  แสงดวงแข  อาจารย์สอนวิชาภาษาไทย และไทยคดีศึกษา  มหาวิทยาลัยทักษิณ  ท่านได้แสดงทรรศนะเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า  "ทวดงู หรืองูทวด นี้เป็นความเชื่อที่มีมานานแล้ว  เชื่อกันว่าทวดงู เป็นงูศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำการเซ่นสรวงบูชาเอาใจจึงจะเป็นคุณ  แต่หากกระทำการลบหลู่ดูหมิ่นก็จะได้รับผลเสียตามมา  ทวดงูเกิดขึ้นมาจากดวงวิญญาณของบรรพชนจริงหรืออันนี้ไม่สามารถทราบได้แน่ชัด  แต่ที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่ากันว่าทวดงู เป็น อจินไตย  คือเกิดขึ้นเอง  และมีมานานแล้ว"
                ลักษณะของทวดงูที่สำคัญ  เชื่อกันว่าทวดงูมีลักษณะที่สำคัญๆ 7 ประการด้วยกันดังนี้คือ
1.ทวดงู   คืองูจงอางขนาดใหญ่   ซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่างูจงอางในแบบปกติธรรมดามาก
2.ทวดงู ส่วนใหญ่มีสีดำ  แต่บางจำพวกก็แสดงสีที่ไม่แน่นอน อาทิ สีขาว  สีแดง  สีน้ำตาล บ้างก็ปรากฏเป็นลายพาดดั่งงูจงอางปกติสามัญ  เป็นต้น
3.ทวดงู  ส่วนใหญ่มีหงอนเป็นรูปเปลวเพลิงสีแดงสดตั้งอยู่บริเวณตรงกลางหัว
4.ทวดงู  มีดวงตาสีแดงเพลิงอันบ่งบอกถึงพลังอำนาจ
5.ทวดงู  มีปากและลิ้นเป็นสีแดง
6.ทวดงู  มีปลายหางเป็นสีแดงเพลิง  เช่นเดียวกับหงอนแดงบนกลางหัว
ทวดงู  ตนที่มีอายุมากจะมีเครางอกออกมาบริเวณใต้คางด้วย
อายุของทวดงู  เชื่อกันว่าทวดงูมีอายุน้อยกว่าพญาเต่า  และพญามังกรในความเชื่อของชาวจีน  รวมทั้งทวดงูจะยังมีอายุมิอาจเทียบได้กับพญานาคอันเป็นงูใหญ่ในตำนานทางพระพุทธศาสนา  และด้วยความเชื่อที่ว่าทวดงูถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจาก "อจินไตย"  จึงกล่าวกันอีกเรื่องหนึ่งว่า อายุของทวดงูนั้นจะเพิ่มและทวีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีการแตกดับหรือสูญสลายหายไปแต่ประการใด จะเรียกว่าเป็นอมตะก็คงไม่ผิด  กล่าวคือ เมื่อเกิดเป็นทวดงูแล้วจะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก คือจะยังคงรักษารูปลักษณ์ของความเป็นทวดงูไปตลอดกาลไม่มีวันหมดสิ้น  ส่วนสิ่งที่จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าทวดงูตนดังกล่าวมีอายุมากหรือน้อยเพียงใดนั้น เชื่อกันว่าสามารถดูได้จากความใหญ่โตของหงอนแดงบริเวณกลางส่วนหัว หรือหากทวดงูมีอายุมากจริงๆแล้วจะมีเครางอกออกมาใต้คางด้วย เป็นต้น
                ตำนานการได้พิษของทวดงู  มีกล่าวเอาไว้ในหนังสือ "นิทานพื้นบ้านภาคใต้"  ซึ่งเขียนโดย สนิท  บุญฤทธิ์  มีใจความตอนหนึ่งบอกเล่าถึงตำนานการได้พิษของทวดงูเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า  เมื่อครั้งที่นางพญางูเหลือมยังเป็นเพียงสัตว์ชนิดเดียวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกอยู่นั้น  ครั้งหนึ่งนางพญางูเหลือมได้ไปใช้พิษทำร้าย "นายอ้ายไม่ตาย"  เข้าเนื่องด้วยนายอ้ายไม่ตาย ได้ไปขโมยไข่ของนางงูมาต้มกินจนหมดสิ้น   ระหว่างทางที่นางพญางูเลื้อยกลับรังนั้นได้ยินชาวบ้าน 2 ข้างทางบอกเล่ากันอย่างหนาหูว่า "นางพญางูเหลือมกัดนายอ้ายไม่ตาย"   นางงูแค้นจัดและหมดอาลัยในพิษที่เคยร้ายกาจว่าบัดนี้ไร้ซึ่งอำนาจแล้ว  นางงูจึงไปคายพิษทิ้งเสียในแม่น้ำว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่จะเก็บพิษที่ฆ่าใครไม่ได้ไว้กับตน  คราวนี้แหล่ะที่บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายต่างเข้ามารุมแย่งพิษของนางพญางูเหลือมกันเพื่อเอาไว้ใช้เป็น  "พิษประจำตน"  เชื่อกันว่าในครั้งนั้นเองที่เหล่างูจงอางได้เลื้อยมาถึงบริเวณคายพิษเป็นกลุ่มแรก และดูดพิษเหล่านั้นมาเป็นพิษประจำตนจนหนำใจ จึงมีความเชื่อกันอยู่เรื่องหนึ่งที่ว่างูจงอาง(ทวดงู)เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกเนื่องจากมาสูบพิษได้เป็นตนแรกนั่นเอง  อนึ่ง ส่วนนางพญางูเหลือมกลับมารู้เอาทีหลังว่ามนุษย์ที่ตนใช้พิษทำร้ายนั้นตายตั้งแต่ตอนที่นางกัดลงไปแผลแรกแล้ว   แต่เขาชื่อ "นายอ้ายไม่ตาย"  เนื่องด้วยในวัยเด็กเขาป่วยเป็นโรคร้ายใครๆก็ว่าเขาต้องตายแน่  แต่เขารอดตายมาได้  เพื่อนๆและชาวบ้านจึงเรียกชื่อเขาว่า "นายอ้ายไม่ตาย"  เป็นการเสียรู้ครั้งสำคัญของนางพญางูเหลือมที่บัดนี้ไร้ซึ่งพิษร้ายเสียเเล้ว  รู้ดังนั้นแล้วก็เสียใจเป็นยิ่งจึงดำรงชีวิตอยู่อย่างเหงาหงอยเศร้าซึม ชอบอยู่อย่างเงียบสงบรอคอยแต่ดักสัตว์โชคร้ายที่เดินผ่านมาใกล้ตัวเพราะความที่ไม่มีพิษนั่นเอง(สนิท  บุญฤทธิ์.2544  :  61-67)
                ตำนานเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับทวดงู  ตำนาน(legend) หมายถึงเรื่องราวอันมีมานมนาน และเล่าขานสืบทอดต่อๆกันมา โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเข้าทำนองประวัติศาสตร์  ประวัติต่างๆ  ที่ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มเติมเสริมแต่งเนื้อเรื่องในบางตอนอันคาบเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เข้าไปด้วยเพื่อตอบสนองความเชื่อ และพลังศรัทธาในตำนานบทนั้นๆ  อาทิ ความเชื่อในเรื่องพญามังกรของชาวจีน ความเชื่อในเรื่องพญานาค ของชาวอินเดีย  ชาวลาว  และชาวไทย เป็นต้น  ซึ่งในตำนานเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับทวดงูก็ปรากฏพบว่าเกิดรูปแบบทางความคิด  รูปแบบทางความเชื่อที่ซึ่งแพร่หลายในสังคมของชาวไทยถิ่นใต้ และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในทิศทางที่สอดคล้องสัมพันธ์กันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง ผู้เขียนจึงใคร่ขอนำเสนอรูปแบบทางความคิด รูปแบบทางความเชื่อในตำนานเล่าขานเกี่ยวกับทวดงู ที่ซึ่งแพร่สะพัดในสังคมของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียไว้เพื่อสำหรับเป็นกรณีศึกษาแก่ท่านผู้สนใจสักเล็กน้อย  ดังต่อไปนี้
ทวดงูที่เกาะแตน  เป็นความเชื่อของชาวบ้านเกาะแตน  ตำบลตลิ่งงาม  อำเภอเกาะสมุย  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  มีเล่าไว้ว่าชาวบ้านที่บ้านเกาะแตนแห่งนี้ล้วนเชื่อว่า ณ  ที่ดินบริเวณเกาะแตนนี้มีเจ้าที่ผู้ป้องปกเป็นพญางูขนาดใหญ่  ชาวบ้านและคนเก่าคนแก่ในหมู่บ้านเรียกท่านว่า  "งูเจ้าที่"  หรือ  "ทวดงู"  มีลักษณะเป็นงูบองหลาขนาดใหญ่(งูบอง  คือ งูจงอางขนาดวัยรุ่น  งูบองหลา  คือ งูจงอางขนาดใหญ่)ใครต้องการอะไรก็ให้มาทำการ "บน" กับท่านแล้วจะได้สมดั่งใจหมายนอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่ว่า "งูเจ้าที่ของที่นี่เกลียดสุนัขมาก  และไม่มีสุนัขตัวไหนสามารถมีชีวิตอยู่ในบริเวณที่เจ้าที่งูปกครองได้เกิน 7 วันจะต้องล้มตายลงจนหมดสิ้น"  ดังตำนานเล่าขานไว้ว่าครั้งหนึ่งมีพ่อค้าชาวจีนล่องเรือสำเภาลำใหญ่แวะเข้ามาเติมเสบียง  ณ  บ้านเกาะแตน  บนเรือสำเภานั้นมีสุนัขดำเป็นจำนวนมาก(ชาวจีนนิยมเอาสุนัขดำติดเรือไว้สำหรับปรุงอาหารทานแก้หนาว)งูเจ้าที่เกาะแตนไม่พอใจจึงว่ายน้ำและกระโจนขึ้นเรือสำเภา  ขึ้นมาถึงก็นอนขดตัวอยู่ไม่ยอมหนีหายไปไหนจนเจ้าของเรือต้องไปสอบถามจากชาวบ้านรู้ว่าเป็นงูเจ้าที่จึงกระทำการเซ่นไหว้ขอขมา  งูใหญ่จึงยอมเลื้อยลงจากเรือและว่ายน้ำหายไปในทะเลท้ายเกาะแตน 
                ทวดงูพ่อตาหลวงรอง  เป็นความเชื่อของชาวบ้านสทิ้งหม้อ  ตำบลสทิ้งหม้อ  อำเภอสิงหนคร  จังหวัดสงขลา  เชื่อและเคารพบูชาว่า "ทวดงูพ่อตาหลวงรอง"  หรือ  "ทวดตารอง" เป็นเทวดาอารักษ์ประจำหมู่บ้านที่คอยช่วยป้องปกรักษาบ้านสทิ้งหม้อ ให้ปกติสุขตราบปัจจุบัน ดังมีเล่าเอาไว้เป็นตำนานว่า แต่เดิมท่านตาหลวงรองเป็นพระธุดงค์เดินทางมาจากทางภาคเหนือ ท่านได้ปักกรดลงบริเวณที่เป็นวัดโลการามในปัจจุบันจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน  บริเวณที่ท่านมรณภาพปรากฏมีชาวบ้านเห็นพญางูขนาดใหญ่สีขาว  ลำตัวเท่ากับลำต้นตาล  มีหงอนแดงตรงกลางหัวนอนขดตัวอยู่ในบริเวณที่ท่านตาหลวงรองมรณภาพ  จึงล้วนเชื่อว่าท่านตาหลวงรองได้กลายสภาพเป็น "ทวดงู" ไปเสียแล้ว  ใครต้องการอะไรก็ขอให้มาทำการ "บน" กับท่านก็จะได้ดั่งใจหมาย  อนึ่ง  ต่อมาราวปี พ.ศ. 2529 ได้มีการสร้างรูปเคารพบูชาของท่านตาหลวงรองขึ้น  เป็นรูปทวดงูพ่อตาหลวงรองขนาดใหญ่อยู่บนฐานปูนสูงจากพื้นราว 2 เมตร บริเวณฐานมีจารึกเอาไว้ว่า "พ่อตาหลวงรอง  9 มิถุนายน พ.ศ. 2529"  สืบทราบมาว่าช่างปั้นเป็นคนในพื้นที่ชื่อนายจู้ห้วน  สุวรรณรัตน์  อายุ 95 ปี(ถึงแก่กรรมราวปี พ.ศ. 2540)เป็นช่างปั้นงานประติมากรรมชิ้นนี้

ทวดงูมูลเหตุแห่งหายนะของทัพลูกพระอาทิตย์  เรื่องทวดงูมูลเหตุแห่งหายนะของทัพลูกพระอาทิตย์นี้มาจากคำบอกเล่าของ  พระอธิการฐานุตตฺโม  เจ้าอาวาสวัดน้ำน้อยใน  ตำบลน้ำน้อย  อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลา  ดังมีใจความว่าในราวปี พ.ศ. 2484  ซึ่งเป็นปีที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2  มีทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังก่อสร้างถนนอยู่เพื่อที่จะใช้เป็นเส้นทางขนส่งไพร่พลไปตีเมืองโกตาบารู ในประเทศมาเลเซีย  ปรากฏว่าขณะที่ทหารกำลังขุดถนน ถางป่าอยู่นั้นมีงูจงอางขนาดใหญ่เลื้อยออกมาขวางการก่อสร้างเส้นทางไว้มิให้การก่อสร้างดำเนินไปได้ต่อ(ท่านพระอธิการฐานุตตฺโม  มิได้ระบุว่าเป็นสถานที่ใด)เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นนายทหารจึงสั่งการให้พลทหารในสังกัดใช้ปืนใหญ่ระดมยิงใส่พญางูจนตายจมกองเลือดอยู่ ณ ที่แห่งนั้น  มิหนำซ้ำทหารญี่ปุ่นยังใช้มีดกรีดและตัดร่างพญางูออกเป็นชิ้นๆย่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย  ถึงชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงจะออกมาว่ากล่าวว่าเป็นงูเจ้าที่ก็ไม่มีใครเชื่อ  จนสุดท้ายฝ่ายญี่ปุ่นแพ้สงคราม  จึงมีเสียงเล่าลือกันไปต่างๆนาๆว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์และแรงอาฆาตแค้นของงูเจ้าที่  เป็นต้น
                ทวดงูพญาขันธ์ที่จังหวัดพัทลุง  ชาวจังหวัดพัทลุงล้วนเชื่อกันว่าที่บ้านพญาขันธ์  ตำบลบ้านพญาขันธ์  อำเภอเมืองพัทลุง  จังหวัดพัทลุง  ในสมัยเก่าก่อนซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในราวสมัยกรุงธนบุรียังปรากฏมีสระน้ำใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง(เมืองเก่า)มีทวดขัน  หรือทวดพญาขันธ์ เป็นเจ้าผู้ครอบครอง  ภายในสระน้ำประกอบไปด้วยวังของทวดพญาขันธ์และทรัพย์สมบัติต่างๆมากมาย เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง ถ้วยชามโบราณ  และอื่นๆ  ถึงแม้นว่าทวดพญาขันธ์จะอยู่ในรูปลักษณ์ของพญางูบองหลาขนาดใหญ่(งูจงอางขนาดใหญ่)แต่ทวดก็ใจดี  และมักที่จะให้ชาวบ้านหยิบยืมทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นไปใช้เสมอๆ จวบจนอยู่มาวันหนึ่งปรากฏมีคนพาลมาท้าทวดพญาขันธ์เล่นการพนันแล้วโกงสมบัติของทวดไปทั้งหมด  ทวดพญาขันธ์จึงไปเข้าฝันชาวบ้านว่าจะไปอยู่เมืองแขกเพราะไม่มีทรัพย์สมบัติจะต้องเฝ้าอีกต่อไปแล้ว  นับแต่บัดนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นทวดพญาขันธ์อีกเลย  แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมากที่ยังศรัทธาในอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของทวดอยู่และทำการบนบานสานกล่าวขอพรในโอกาสต่างๆอีกเป็นจำนวนมาก
                ทวดงูเฝ้าเทวดาน้ำร้อน  เป็นความเชื่อของชาวบ้านตำบลเหนือคลอง  กิ่งอำเภอเหนือคลอง  จังหวัดกระบี่  ว่าด้วยเรื่องพญางูบองหลา 2 ตน(หลายคนเรียกทวดงูเฝ้าเทวดาน้ำร้อน)ซึ่งมีหน้าที่ในการเฝ้า "เทวดาน้ำร้อน" (เทวดาน้ำร้อน  คือ  บ่อน้ำร้อน 2 บ่อติดกัน) บ่อแรกเรียก "บ่อโผ้"  บ่อที่ 2 เรียก "บ่อเหมีย"  ซึ่งน่าจะมาจากคำว่า "บ่อตัวผู้-บ่อตัวเมีย" ในภาษากลาง  ชาวบ้านเชื่อกันว่าทวดงูทั้ง 2 ตนจะดำรงหน้าที่ในการป้องปกรักษาบ่อน้ำร้อนทั้ง 2 บ่อมิให้ผู้ใดเข้ามาใช้ประโยชน์แต่เพียงผู้เดียวอย่างเห็นแก่ตัว
                ทวดงูพ่อตาเขาวง  เป็นความเชื่อของชาวบ้านเขาวง  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เล่าลือกันมาอย่างยาวนานว่า แต่เดิมบริเวณที่ราบของบ้านเขาวงยังมีสภาพเป็นป่ารกชื่นอันเป็นลักษณะที่เหมาะในการดำรงชีพของงูจงอางมาก  ต่อมาเมื่อมีชาวบ้านย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำมาหากินในบริเวณพื้นราบมากขึ้นก็เกิดการแผ้วถางป่าในบริเวณพื้นราบจนหมดสิ้น  ด้วยเหตุนี้งูจงอางส่วนใหญ่จึงย้ายขึ้นไปอาศัยอยู่บนเขาวงแทน  ปรากฏว่าอยู่มาวันหนึ่งได้มีทวดงูตนหนึ่งมีชื่อว่า  "ทวดตาเขาวง"  ได้มาเข้าฝันและบอกกับชาวบ้านว่า "ทวดตาเขาวงจะช่วยให้การเก็บเกี่ยวพืชไร่พืชสวนได้ดอกผลเจริญดี ทำมาหากินได้อย่างปกติสุข แล้วขอให้กระทำการไหว้บวงสรวงสังเวยทวดตาเขาวงเสียสักครั้งหนึ่ง"  ชาวบ้านจึงกระทำตามคำขอที่ทวดตาเขาวงมาเข้าฝันและก็ปรากฏว่าการทำไร่ทำสวนได้ดอกผลดีแทบทุกครั้ง  ชาวบ้านเชื่อว่ามาจากอิทธิฤทธิ์ของทวดงูพ่อตาเขาวง
                ทวดงูพญาตรีเศียรแห่งควนเจดีย์   ควนเจดีย์  หรือเขาคอหงส์  จังหวัดสงขลานั้นปรากฏมีเจดีย์อยู่องค์หนึ่งเรียกว่า "เจดีย์ไตรภพ ไตรมงคล"  ที่ปากทางเข้าเจดีย์นี้เองจะปรากฏศาลอยู่แห่งหนึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า "ศาลสมเด็จปู่เจ้าไตรภพ"  ซึ่งมีพญางู 3 เศียร เป็นประติมากรรมสีทองอร่ามไปทั้งตนเรียกว่า  "ทวดงูพญาตรีเศียรแห่งควนเจดีย์"  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพญางูมีหน้าที่ในการเฝ้าป้องปกควนเจดีย์ และเจดีย์ไตรภพ ไตรมงคล  เป็นทวดงูที่มีการสร้างเป็นงานประติมากรรมเคารพบูชาที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวถึง 192 เมตร  ส่วนตำนานที่สำคัญของทวดพญาตรีเศียรนี้มีเล่าเอาไว้ว่า ทวดตรีเศียรมีหน้าที่เฝ้าภพทั้ง 3 กล่าวคือ สวรรค์  มนุษย์  และพิภพ  14 จังหวัดภาคใต้ไปจนถึงสุดเขตแดนจังหวัดราชบุรี  อายุของทวดพญาตรีเศียรว่ากันว่าอยู่ในหลักพันปี  ว่าเศียรหนึ่งเป็นจีน เศียรหนึ่งเป็นอิสลาม และเศียรหนึ่งเป็นไทย ประกอบไปด้วยชื่อเสียงเรียงนามดังนี้คือ 
                1. ท่านขุนพลายดำ 
                2. ท่านขุนพลายเหลือง
                3. ท่านขุนพลายแดง
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง ทวดงูพญาตรีเศียรแห่งควนเจดีย์  หรือทวดงูควนดินดำ นี้เอง 
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก(นามแฝง) ได้เขียนบทกลอนเกี่ยวกับเรื่องทวดงูควนดินดำเอาไว้ บรรยายรูปลักษณะได้อย่างรู้แจ้งใน บทกลอนชุดทวดงูควนดินดำ ใน หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23-29 มีนาคม 2550 ปีที่ 27 ฉบับที่ 1388 ว่า

ทวดงูควนดินดำ                                            เท็จจริงเพียงไรก็ไม่รู้
ทวดงูหงอนเพชร – ร้อยเมตรกว่า                 แอบตัวเลื้อยผ่านอยู่นานมา
กลางป่ายางดิบควนดินดำ                             ลับหูลับตาเหล่ามนุษย์
ทวดงูมุดขดกายอยู่ในถ้ำ                               บนสันควนเสียดฟ้าหน้าผาง้ำ
งึมงำจำศีลภาวนา                                          ร้อยปี?พันปี?หรือล้านปี?
ใบยางเปลี่ยนสีแล้วผลัดหน้า                        จากปู่ย่าตาทวดไล่กวดมา
เล่าว่าทวดงูยังอยู่เป็น                                    ถึงลูกลูกเล่าไปถึงหลาน
ตำนานเล่าพ้นถึงโหลนเหลน                        ความขรึมขลังครอบทิศบริเวณ
มีคนเห็นทวดงูเป็นผู้ชาย!                              ความกลัวเท่าเท่าความเคารพ
จึ่งมหรสพสารพัดจัดถวาย                            เป็นเขตควนเทือกสันอันตราย
ที่รกชัฏหลากหลายด้วยไม้พันธุ์                    ที่ยางขึ้นขนัดอยู่อัดแอ
ค่อยค่อยแผ่วงกว้างอยู่ขวางกั้น                     ควนดินดำยางยูงจึงสูงชัน
รังเต็งกรรณิการ์สารภี                                   กระรอกกระแตเก้งหมูและมูสัง
หมาน้ำยังฟังชัดถนัดถนี่                               ทวดงูมีจริงไหม?หรือไม่มี?
แต่วันนี้ควนดินดำยังสมบูรณ์!

หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก(นามแฝง) วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2550
ที่มาจากเว็บบอร์ด http://www.softganz.com/meeped/index.php?file=poem&obj=forum(1414)

จึงอาจจะกล่าวได้ว่าความเชื่อในเรื่องทวดงูมีตกทวดมาอย่างยาวนานแต่ครั้งศาสนาพุทธนิกายหินยานยังไม่ถูกเผยแผ่เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนภาคใต้ของประเทศไทย  จวบจนความเชื่อเดิมเหล่านั้นถูกผสมผสานเข้ากับลัทธิทางความเชื่อ  ศาสนาที่เข้ามาใหม่ จึงก่อให้เกิดอุดมคติแห่งพื้นฐานทางความเชื่อร่วมกัน  เป็น "คติแห่งจินตนาการ" ดังปรากฏเป็นภาพลักษณ์ของทวดงูตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆตามมา  คติแห่งจินตนาการนี้เองที่มีส่วนสร้างสรรค์ให้เกิดภาพลักษณ์ของทวดงูออกมาในลักษณะต่างๆ  คติแห่งจินตนาการจะต้องผนวกเข้าด้วย 2 สิ่งคือ "คติ" และ "จินตนาการ"   คติ คือ แบบอย่าง หรือแนวทางอันมีร่วมกัน  จินตนาการ  คือ  อำนาจการสร้างภาพขึ้นในใจ(คุณาพร  ไชยโรจน์.2549  :  1)
                กล่าวกันว่าคติจะเป็นตัวผลักดันให้จินตนาการโลดแล่นรุดไปยังจุดหมายที่ต้องการ  เมื่อชาวบ้านในพื้นที่มีรากฐานความเชื่อเกี่ยวกับทวดงู มีคติเกี่ยวกับทวดงูมากเพียงใด  จินตนาการที่ถูกถ่ายเทออกมาก็จะมากตามไปด้วย  ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับจินตนาการนี้เอง  เศรษฐมันต์  กาญจนกุล  ได้ศึกษาไว้พอที่จะสรุปได้ว่า  ในโลกนี้นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นมีอะไรที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการของมนุษย์  จินตนาการเป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ทุกคน  อาจกล่าวได้ว่าจินตนาการหากเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่แล้วจินตนาการก็คือลำต้นของต้นไม้  ผลสำเร็จจากความคิดจากจินตนาการก็คือดอก ใบ ผล แต่ส่วนสำคัญแรกเริ่มที่จะขาดเสียมิได้คือ ราก ซึ่งเปรียบเสมือนความเชื่อ ความเชื่อเมื่อมีมากเข้า รวมกลุ่มคนที่เชื่อมากๆเข้า ก็กลายเป็นลัทธิได้ หากลัทธิดังกล่าวมีความเชื่อและอิทธิพลต่อชนทั้งหลายในพื้นที่นั้นๆ(เศรษฐมันต์  กาญจนกุล.2545  :  5)
                ความเชื่อเรื่อง "ทวดงู" ถือเป็นความเชื่อเก่าแก่แต่ครั้งดั้งเดิมของชนในพื้นที่  ชาวไทยถิ่นใต้ และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในหมู่ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอันเรียกตนว่า "ไทยสยาม"  ผสมผสานกับศาสนาพุทธนิกายหินยาน ดังปรากฏความเชื่อร่วมกันว่า ทวดงู เป็นงูศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทวดาอารักษ์ประจำถิ่นมีหน้าที่คอยป้องปกคุ้มครองคนในพื้นที่ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปกติวิถี ถ้าหากกระทำการเซ่นสรวงบูชาดีก็จะให้คุณ แต่หากหลู่ดูหมิ่นก็จะให้โทษ เป็นต้น


ข้อมูล.................... http://www.siamsouth.com/smf/index.php/board,11.0.html
เขียน/เรียบเรียง.....คุณาพร  ไชยโรจน์
ถ่ายภาพ................กิตติพร  ไชยโรจน์
www.siamsouth.com

Singoraman

1. ที่วัดพระบาท ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  มี  "ทวดต้นปาบ"
2. ที่บ้านหัวถนน อ.สะเดา จ.สงขลา ชาวบ้านเรียกหลักเขตรอยต่อถนนไทรบุรี ซึ่งสร้างจากตัวเมืองสงขลาทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งสร้างจากเมืองไทรบุรี สมัย ร.5 มาบรรจบกัน ณ จุดนั้น ว่า "ทวดหลัก"
3. คนสงขลาเดิม ๆ เรียก สุลต่านสุเลมัน ว่า "ทวดหุม"
4. โนราที่เล่นหรือแสดงแล้วไม่รุ่ง ไม่ประสบความสำเร็จ เรียกว่า "โนราทวด"