ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

หลักประชาธิปไตยที่แท้จริงมีความหมายว่าอย่างไร

เริ่มโดย ยายเขียว, 15:28 น. 13 ธ.ค 56

ยายเขียว

รัฐบาลและพวกพ้อง มักอ้างว่า มาจากประชาชนเสียงข้างมาก  เป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง

หลายๆ คน  ในสังคมที่บอกว่า
"ประชาธิปไตยคือการต้องไปเลือกตั้งเท่านั้น "

แล้วคุณละเข้าใจคำว่า " ประชาธิปไตย" มากน้อยแค่ไหน ???

.................................

มาดูบทสัมภาษณ์ทางวิชาการ ของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. วิษณุ เครืองาม 

หลักการพื้นฐานอันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย คือ การปกครองที่ปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่แต่จะต้องเคารพ
ต่อเสียงข้างน้อย
(Majority Rule and Minority Rights) โดยมุ่งจำกัดอำนาจ
ของผู้ปกครองให้อยู่ภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด และเป็นการคุ้มครองสิทธิ
และเสรีภาพของประชาชน การให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าแค่
การเลือกตั้งตลอดจนเป็นการปกครองตามหลักธรรมาภิบาล (Good Governance)
และมีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
[/b]
........
อดีตนายกรัฐมนตรี นายอานันท์ ปันยารชุน ได้พูดถึง
หลักการประชาธิปไตยในปัจจุบันว่าต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้
๑) เป็นการ ปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
๒) เปิดโอกาสให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง
๓) มีการกระจายอำนาจ
๔) มีธรรมาภิบาล ***** (อันนี้กาดอกจันเอง)  ส.บายใจ
๕) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
๖) คุ้มครองผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
และ ๗) มีความสมัครสมานสามัคคี
.......................

เช่นเดียวกับความรู้ความเข้าใจของประชาชนชาวไทยเกี่ยวกับหลักการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เราถูกปลูกฝังกันมาเป็นเวลานานว่าประชาธิปไตยคือ
การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเข้าใจเพียงครึ่งเดียว คือเข้าใจในส่วนของกระบวนการหรือ
รูปแบบของประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่เราไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยในส่วนของเนื้อหา

เราจึงไม่ได้ให้ความสำคัญว่าการเลือกตั้งนั้นจะต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียงหรือไม่ทุจริตในการเลือกตั้ง เมื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ต้องประกอบด้วยสองส่วน คือ รูปแบบและเนื้อหาสาระ แต่ในส่วนของเนื้อหาสาระนั้น
เรายังให้ความรู้แก่ประชาชนน้อยเกินไป

.....

สรุปคือ ที่บอกว่าประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง มันเปนเพียงแค่รูปแบบ




ยายเขียว

บทสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
จุดอ่อนของ"ระบบสถาบันการเมือง"ของเราเกิดมาได้อย่างไร ผมได้เรียนไว้แล้วตอนที่ไปพูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า อยู่ที่รัฐธรรมนูญไปเขียนบังคับให้ ส.ส.สังกัดพรรค กับการเขียนบังคับว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ในตัวบทรัฐธรรมนูญก็ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อสังคมมีการวิวัฒนาการ ถ้าหากว่าบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งมีคุณสมบัติพร้อมที่จะได้รับความเชื่อถือจากสังคมแล้ว ผมก็เชื่อแน่ว่า ส.ส. ก็คงไม่ไปเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่ ส.ส.มาเป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน แต่ในกรณีที่สังคมยังไม่พร้อมคือ คนที่ได้รับเลือกจากประชาชนเป็น ส.ส.ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากคนส่วนใหญ่ของสังคมมากพอ คนส่วนใหญ่ก็จะเรียกร้องนายกรัฐมนตรีจากบุคคลภายนอก ซึ่งพวกเราคงจำได้ว่า ประเทศไทยก็เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง คือหลังพฤษภาทมิฬ พ.ศ.2535
       การไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่า ส.ส.ต้องสังกัดพรรค และนายกต้องมาจาก ส.ส. จึงเป็นช่องทางที่จะให้เกิดเผด็จการรัฐสภา เป็นการเปิดโอกาสและเป็นการยั่วยุให้มีการรวมกลุ่มของบุคคลที่อยู่ในฐานะที่มีเงินมีทองและสามารถที่จะจัดการเลือกตั้งโดยมีระบบการจัดตั้ง หรือมีการใช้ระบบอิทธิพลหรือการใช้อำนาจรัฐต่างๆ ในทางตรงทางอ้อมเข้ามาผูกขาดการใช้อำนาจรัฐได้ ซึ่งในสภาพที่สังคมของเรายังเป็นสังคมที่ยากจน อยู่ภายใต้อิทธิพลท้องถิ่น และซ้ำยังมีกลไกการบริหารที่พิกลพิการ โอกาสเช่นนี้ทำได้โดยไม่ยาก
       เมื่อสภาพสังคมคือคนส่วนใหญ่ของเราเป็นอย่างนี้และกลไกการบริหารพิกลพิการอย่างนี้และรัฐธรรมนูญของเราไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมืองประกอบกับกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.ด้วยแล้ว มาตรการทั้ง 2 มาตรการนี้เองที่ทำให้ผู้ที่มีอิทธิพลหรืออย่างที่เขาเรียกกันในขณะนี้ว่า"นักธุรกิจการเมือง" สามารถฉวยโอกาสจากสภาพทางสังคมวิทยาการเมืองของชุมชนส่วนใหญ่ในชนบท ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งและยังเป็นสังคมที่ยากจน พูดง่ายๆ ก็คือ ฉวยเอาประโยชน์จากความเป็นจริงของสภาพสังคมและความพิการของกฎหมาย และใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐได้ เพราะในขณะหย่อนบัตรเลือกตั้ง ชุมชนส่วนใหญ่ของเรายังมองผลประโยชน์ส่วนตัวในระยะสั้น คือ ไม่สามารถคิดไปถึงประโยชน์ส่วนรวมระยะยาวได้เหมือนกับชุมชนของประเทศที่พัฒนาแล้วได้ ผมเห็นว่ามาตรการ 2 มาตรการนี้เป็นเครื่องมือของนักธุรกิจการเมือง และควรต้องยกเลิก
....

คัดประเด็นสำคัญ ที่น่าสนใจ  ซึ่งมันสอดคล้องกับความเป็นจริง ของประเทศไทย
เมื่อวานได้ฟังสัมภาษณ์ของอาจารย์ ก็เลยไปค้นมา
เจอบทความข้างต้น สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2546  ที่ตรงกัน


ยายเขียว

แนวทางการสร้างสังคมประชาธิปไตย โดย คุณฌานิทธิ์ สันตะพันธุ์

บทความชิ้นนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "ภาคต่อ" ของบทความชิ้นที่แล้วของผู้เขียน คือเรื่อง "วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย : รัฐธรรมนูญที่แท้จริงซึ่งไม่เคยถูกยกเลิก" เนื่องจากในข้อสรุปตอนท้ายของบทความชิ้นดังกล่าวได้ทิ้ง "ปม" ไว้ว่า "...การสร้างประชาธิปไตยให้หยั่งรากลึกมั่นคงในประเทศใดนั้น มิได้จำกัดวงแคบอยู่เพียงโดยการสร้างรัฐธรรมนูญที่ดีเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องขยายออกไปถึง "การสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย" ให้เกิดขึ้นในมโนสำนึกของประชาชนอย่างทั่วถึงด้วย เพราะประสบการณ์ในอดีตได้สอนให้รู้แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงแต่โครงสร้างการปกครอง โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียว มิได้สร้าง "ความเป็นประชาธิปไตย" ที่แท้จริง มั่นคงและยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศของเรา..." แต่ผู้เขียนยังมิได้อธิบายถึงวิธี หรือ แนวทางในการ "สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย" ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นในบทความชิ้นนี้ผู้เขียนจะได้นำเสนอแนวทางการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสร้าง "ระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ" (Stable Democracy) หรือที่ผู้เขียนขอเรียกว่า "สังคมประชาธิปไตย" (Democratic Society) ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการ "ควบคู่" ไปกับการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายคือ "การปฏิรูปการเมือง" อนึ่ง ผู้เขียนขอกล่าวในเบื้องต้นนี้ว่า ผู้เขียนมิได้ปฏิเสธความสำคัญของรัฐธรรมนูญ และการพยายามออกแบบรัฐธรรมนูญที่ดี แต่ผู้เขียนให้ความสำคัญต่อการสร้างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็น Hardware และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย ซึ่งเป็น Software อย่างเท่าเทียมกัน
       
       1. แนวคิด ทฤษฎีของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
       ก่อนที่เราจะสามารถนำเสนอแนวทางการสร้างความเป็นประชาธิปไตยได้ ก็มีความจำเป็นอยู่เองที่จะต้องทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบหรือแนวคิด ทฤษฎีของการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า การที่รัฐใดจะได้ชื่อว่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพจนถึงขั้นเป็น "สังคมประชาธิปไตย" นั้น จะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
       แนวคิด ทฤษฎีของการปกครองระบอบประชาธิปไตยประกอบด้วย
       1. อุดมการณ์หรือปรัชญาของระบอบประชาธิปไตย
       2. หลักการหรือลักษณะสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
       3. วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
       
       1.1 ความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย"
       หากพูดถึงประชาธิปไตยเราทุกคนมักจะเข้าใจว่าอย่างไรเป็นประชาธิปไตย อย่างไรไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ครั้นจะถามว่าแล้วความหมาย คำจำกัดความ หรือนิยามของระบอบประชาธิปไตยว่าคืออะไรกลับยากยิ่งที่จะหาคำตอบ ทั้งตำราทางวิชาการต่าง ๆ ก็ให้ความหมายไว้อย่างสั้น ๆ ทั้งนี้เพราะการอธิบายความหมายของประชาธิปไตยนั้นหากจะอธิบายให้ได้ความครบถ้วนจำต้องพิจารณาถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตย หลักการหรือลักษณะสำคัญของประชาธิปไตยตลอดจนวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
       ดังนั้นในชั้นนี้จึงพอจะให้ความหมายของประชาธิปไตยโดยให้ความหมายตามตัวศัพท์ คำว่า"ประชาธิปไตย" ในภาษาไทยเข้าใจว่าบัญญัติขึ้นประมาณไม่เกิน 100 ปีที่ผ่านมา โดยมีการเทียบกับภาษาอังกฤษ จึงสร้างคำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาโดยการสมาสแบบสนธิระหว่างคำว่า "ประชา" ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า หมู่คน 1 กับคำว่า "อธิปไตย" ซึ่งมาจากคำว่า "อธิปเตยฺย" ซึ่งแปลว่า "ความเป็นใหญ่ยิ่ง ในภาษาบาลี 2 นำมาสมาสแบบสระสนธิ คือเชื่อมเสียงสระระหว่างคำที่สมาสกัน ในที่นี้คือสระอา ในคำว่าประชา กับสระอะ ในคำว่าอธิปไตย เป็นสระอา ---> ประชา + อธิปไตย = ประชาธิปไตย เมื่อแปลความหมายก็จะแปลจากคำหลังมายังคำหน้า เพราะคำหลังเป็นคำหลักส่วนคำหน้าเป็นคำขยาย ดังนั้นประชาธิปไตยในความหมายตามตัวจึงแปลว่า "ความเป็นใหญ่ยิ่งอยู่ที่หมู่คน"
       ในขณะที่คำว่า Democracy ในภาษาอังกฤษเริ่มใช้ครั้งแรกประมาณ 400 ปีมาแล้ว ทั้งนี้โดยการยืมจากภาษาฝรั่งเศสว่า démocratie ซึ่งมาจากภาษากรีก คือ demokratia ซึ่งถูกใช้ในกรีกโบราณเมื่อกว่า 2400 ปีมาแล้ว เป็นการสมาสระหว่างคำว่า demos ซึ่งแปลว่าประชาชน กับคำว่า kratos ซึ่งแปลว่าการปกครอง (คำกริยาคือ kratien) เมื่อนำมาสมาสกันก็มีความหมายว่าการปกครองของประชาชน
1.2 อุดมการณ์หรือปรัชญาของระบอบประชาธิปไตย
       1.2.1 ธรรมชาติของมนุษย์ (Human nature) การที่ระบอบประชาธิปไตยมุ่งหมายให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง เพราะมีความเชื่อว่า มนุษย์โดยธรรมชาติส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้มีเหตุมีผล ความรู้ความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อโลกภายนอกจึงเพิ่มพูนขึ้นด้วยการศึกษา ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความสามารถที่จะตัดสินใจเพื่อเลือกสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของตน ถึงแม้ว่าการใช้ดุลยพินิจของมนุษย์จะไม่ถูกต้องเสมอไปแต่มนุษย์มีแนวโน้มที่จะกระทำสิ่งที่ดีสำหรับตนมากกว่าการให้ผู้ปกครองตัดสินใจให้แก่เขา นักประชาธิปไตยมีฐานความคิดว่าไม่มีชนชั้นนำคนใดที่จะมีความฉลาดและความไม่เห็นแก่ตัวเพียงพอที่จะทำการปกครองเพื่อประโยชน์ของสมาชิกทั้งสังคม ดังนั้นหนทางเดียวที่จะเป็นหลักประกันว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประชาชนทุกคนจะได้รับการคุ้มครองอย่างเสมอภาคคือ การให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิที่จะควบคุมการตัดสินใจของผู้ปกครองที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในสังคม 4
       หัวใจสำคัญประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยคือ นักประชาธิปไตยจะต้องมีฐานคติว่าการตัดสินใจโดยประชาชนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าการตัดสินใจโดยคนส่วนน้อย ซึ่งหมายความว่าเสียงข้างมากมีโอกาสที่จะถูกมากกว่าเสียงข้างน้อย นอกจากนี้ปรัชญาของระบอบประชาธิปไตยมิได้มองว่า มนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดีและให้ความร่วมมือต่อกันทั้งหมด หรือมองว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ชั่วร้ายดังทัศนะของนักเผด็จการ แต่เห็นว่ามนุษย์มีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่บกพร่อง
       1.2.2 สิทธิ (Rights) คือ อำนาจอันชอบธรรมที่กฎหมาย บัญญัติให้รับรองและคุ้มครองแก่บุคคลในอันที่จะกระทำการใด ไม่กระทำการใด ต่อทรัพย์หรือบุคคลอื่น ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นที่จะต้องเคารพสิทธินี้ด้วย คือก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องที่จะไม่ให้บุคคลอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรของรัฐเข้ามาแทรกแซงในขอบเขตของสิทธิของบุคคลซึ่งในบางกรณีก็ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องให้รัฐดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง 6 สิทธิหลัก ๆ ที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย เช่น สิทธิเลือกตั้ง สิทธิในชีวิตและร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย สิทธิส่วนบุคคล
       1.2.3 เสรีภาพ (Freedom) คือ สภาพการณ์ที่บุคคลมีอิสระในการที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความประสงค์ของตน 7 เป็นภาวะที่ไม่อยู่ใต้การครอบงำของบุคคลอื่น เป็นภาวะที่ปราศจากการหน่วงเหนี่ยวขัดขวางอำนาจของบุคคลในอันที่จะกำหนดตนเองตามใจปรารถนา เสรีภาพจึงเป็นอำนาจที่บุคคลมีอยู่เหนือตนเอง เช่น เสรีภาพในการพูด การพิมพ์และการโฆษณา เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการสมาคมหรือรวมกลุ่ม เสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัย เสรีภาพในการประกอบอาชีพ
      1.2.4 ความเสมอภาค (Equality) ความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยมิใช่ความเสมอภาคในเรื่องความสามารถ เพราะมนุษย์เกิดมามีความสามารถและความถนัดที่แตกต่างกัน แต่ความสามารถและความถนัดที่แตกต่างกันของมนุษย์จะไม่ทำให้มนุษย์มีความได้เปรียบหรือความเหนือกว่าบุคคลอื่น ถ้าหากมนุษย์ได้รับโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถและความถนัดของตนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น ความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยจึงหมายถึง ความเสมอภาคเท่าเทียมกันในโอกาส (Equality of opportunity) ทั้งในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม
  1.3 ลักษณะสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
       1.3.1 รัฐธรรมนูญ (Constitution)
       รัฐธรรมนูญ คือ บทกฎหมายสูงสุดของประเทศที่กำหนดหลักการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองและประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน
       ตามทฤษฎีแล้ว รัฐเสรีประชาธิปไตยทุกรัฐต้องมีรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักหรือกติกาที่กำหนดแนวทางสำหรับการที่รัฐจะใช้อำนาจปกครองราษฎร หากแต่จะเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร คือ มีการแสดงออกเป็นเอกสารทางการเมืองหรือไม่เท่านั้น ในกรณีที่กติกาอันเป็นแนวทางการใช้อำนาจปกครองเป็นที่ชัดแจ้ง คือได้มีการปฏิบัติกันมาจนกลายเป็นจารีตประเพณีและเป็นที่ยอมรับกันทุกฝ่ายแล้ว ก็อาจไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรได้ เช่น ประเทศอังกฤษ เป็นต้น แต่ถ้าหลักการหรือกติกาดังกล่าวไม่แจ้งชัดก็อาจเปิดโอกาสให้มีการโต้แย้งเกิดขึ้นได้ เหตุดังนี้ประเทศส่วนใหญ่จึงนิยมมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรกัน
       อย่างไรก็ตาม พึงระลึกอยู่เสมอด้วยว่า การมีรัฐธรรมนูญนั้นมิได้หมายความว่า รัฐนั้นเป็นประชาธิปไตยเสมอไป ประเทศที่ปกครองระบอบเผด็จการก็มีรัฐธรรมนูญเช่นกัน แต่สถาบันต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญย่อมเป็นกลไกสำหรับใช้อำนาจให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้เผด็จการมากกว่า ฉะนั้นการจะทราบว่ารัฐนั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ จึงต้องดูข้อกำหนดต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญของรัฐนั้นว่ามีลักษณะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ เป็นสำคัญ
       
      1.3.2 รัฐบาล (Government)
       ลักษณะของรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยซึ่งนำมากล่าวอ้างกันอยู่เสมอ ๆ มาจากวาทะของ ฯพณฯ อับบราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln, 1809 – 1865) อดีตประธานาธิบดีผู้ล่วงลับแห่งสหรัฐอเมริกาที่ได้กล่าวไว้ในพิธีไว้อาลัย ให้แก่ผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมือง (Civil War) ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้อันเนื่องมาจากการเลิกทาส ณ เมืองเกสติสเบอร์ก ในมลรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1893 ว่า "...รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนจะไม่มีวันดับสูญไปจากผืนแผ่นดินนี้..." วาทะดังกล่าวได้กลายเป็น "คำนิยามยอดนิยม" ของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสามารถแยกอธิบายได้ดังนี้
      1.3.2.1 รัฐบาลของประชาชน (Government of the people) หมายถึงการที่ประชาชนอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของรัฐบาล คือมีส่วนร่วมในการกำหนดผู้ที่จะเป็นผู้ปกครอง สามารถเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองได้ ถ้าผู้ปกครองไม่บริหารเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยส่วนรวม และรัฐบาลของประชาชนอาจขยายความถึงความผูกพันของประชาชนที่มีต่อระบอบการปกครอง ความรู้สึกว่าตนเป็นเจ้าของ ทำให้เอาใจใส่ในกิจการบ้านเมือง การใช้สิทธิทางการเมือง เช่น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คือรัฐบาลของประชาชนจะต้องมาจากการสนับสนุนหรือการเลือกตั้งของประชาชนนั่นเอง 11 หรืออาจอธิบายว่าหมายถึงอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน (Sovereignty of the people) ก็ได้
       1.3.2.2 รัฐบาลโดยประชาชน (Government by the people) หมายถึง การได้มาซึ่งรัฐบาลจะต้องผ่านกระบวนการหรือขั้นตอนของการใช้สิทธิต่าง ๆ ของประชาชนในรัฐ พลเมืองย่อมมีสิทธิเข้ามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ซึ่งอาจเป็นโดยทางตรง เช่น การลงประชามติ หรือทางอ้อม เช่น การเสนอข้อคิดเห็นผ่านพรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ 12
       1.3.2.3 รัฐบาลเพื่อประชาชน (Government for the people) หมายถึง รัฐบาลหรือคณะบุคคลที่ขึ้นปกครองประเทศนั้น จะต้องมีจุดประสงค์เพื่อความผาสุกของปวงชน และพยายามที่จะบริหารประเทศให้ดำเนินไปตามวิถีทางที่กำหนดไว้เพื่อบรรลุถึงจุดมุ่งหมายนั้นประชาชนจะได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองผ่านทางการเลือกตั้งเมื่อวาระของการดำรงตำแหน่งสิ้นสุดลง
       หลักการนี้ เป็นหลักการที่ใช้วัดว่ารัฐบาลที่ปกครองอยู่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ การที่รัฐบาลใดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยนั้นจะต้องมีลักษณะครบทั้ง 3 ประการ คือ เป็นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน การเลือกตั้งนั้นเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิเสนอตัวเข้ารับการเลือกตั้ง และรัฐบาลนั้นมีวาระในการดำรงตำแหน่งไม่นานจนเกินไป รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยจะมีเพียงลักษณะใดลักษณะหนึ่งเพียงประการเดียวหรือสองประการไม่ได้ จะต้องมีครบทั้งสามลักษณะ
       
       1.3.3 การเลือกตั้ง (Election)
       การเลือกตั้ง คือ กิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้มีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) อันเป็นกลไกที่แสดงออกซึ่งเจตจำนงของประชาชนที่เรียกร้องหรือสนับสุนนให้มีการกระทำหรือละเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในทางการเมืองหรือการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน โดยประชาชนทั่วไปเลือกผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ (Ideology) นโยบาย (Policy) และวิสัยทัศน์ (Vision) ที่สอดคล้องกับตนด้วยความคาดหวังว่าผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่ตนเลือกให้ไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนตนนั้น จะนำอุดมการณ์และนโยบายไปเป็นแนวนโยบายในการบริหารประเทศ และทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการแสวงหาทางเลือกในการเมืองการปกครองของประชาชนนั่นเอง 15
       การเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตย เพราะผลของการเลือกตั้งจะตัดสินว่า บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นผู้ปกครอง ประเทศประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีการเลือกตั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลสามารถเสนอตัวเข้ารับใช้ส่วนรวมโดยการสมัครรับเลือกตั้ง และเปิดโอกาสให้พลเมืองใช้สิทธิในการเลือกบุคคลที่ตนต้องการให้เป็นผู้ปกครองหรือเป็นผู้ใช้สิทธิเป็นปากเสียงแทนตนในสภา
       
       1.3.4 การปกครองโดยเสียงข้างมาก (Majority rule)
       การปกครองโดยเสียงข้างมาก หมายความว่าบุคคลที่ประกอบกันขึ้นเป็นรัฐบาลนั้น ถ้าหากไม่ได้รับเลือกตั้งจากราษฎรโดยตรงแล้ว ก็ต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากเสียงข้างมากของผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งมา การออกกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหานโยบายต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามความเห็นชอบของเสียงข้างมากของผู้แทน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการสนองต่อความต้องการและสอดคล้องกับเสียงข้างมากของมหาชนอีกทีหนึ่ง
       อย่างไรก็ตาม ตามระบอบประชาธิปไตยมิได้หมายความเพียงการยึดหลักเสียงข้างมากเท่านั้น จะต้องมีหลักประกันสำหรับเสียงข้างน้อยด้วย หลักประกันนั้นหมายถึง การที่สิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อย จะต้องได้รับการเคารพ เสียงข้างมากจะละเมิดหรือก้าวก่ายสิทธิของเสียงข้างน้อยไม่ได้ นอกจากนี้ความเห็นหรือทรรศนะของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการรับฟัง เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายหรือผู้มีความคิดเห็นแตกต่างได้เผยแพร่ทรรศนะหรือแนวความคิดของเขา เพราะการลงมติเพื่อหาทรรศนะที่เสียงข้างมากสนับสนุนนั้นจะยุติธรรมและเชื่อถือได้ว่าถูกต้อง ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายได้รับโอกาสในการเสนอทรรศนะและเหตุผลของตนสู่การรับฟังของผู้ที่จะใช้วิจารณญาณตัดสินใจแล้ว

(มีต่อ) ...... ไว้ค่อยมาต่อ เพราะยาวมาก เผื่อใครขี้เกียจอ่าน
       

ซัมเบ้ Note 7 Jr.

วันนี้ท่านยายเขียวจัดหนัก ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้

ผมก็เห็นด้วยกับท่านยายเขียวนะครับ
แต่ทุกวันนี้การเมืองการปกครองในบ้านเรามันยังมีรูปแบบและการกระทำที่ค่อนข้างจะเผด็จการ ซ่อนตัวแฝงตัวอยู่ อย่างรัฐบาล พท ก็เห็นได้ชัดเจน  แล้วยังมีการยกหางพวกพ้องกันเองอย่างไร้จิตสำนึก  อ้างเสียงข้างมาก อ้างประชาธิปไตย ซึ่งคิดและพูดได้ง่าย แต่ประชาชนส่วนมากย่อมรู้อยู่แก่ใจครับ ว่า อะไรผิดถูก อะไรควรไม่ควร  แต่รัฐบาล พท เน้นทำ"เพื่อใคร"มากกว่า เหมือนเป็นการทำหน้าที่เพื่อครอบครัวบางครอบครัว โดยใช้ข้ออ้างต่างๆแม้กระทั่งบีบน้ำตา หรือแม้แต่การคุกคามสื่อรัฐบาล พท ก็ทำมาแล้ว    แบบนี้เรียกประชาธิปไตยจอมปลอมมากกว่า
ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป


ยายเขียว

ปฏิรูปประเทศ มุมมองของ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153897


ตามนี้เลย  เอามาลงแล้ว   ส.ยกน้ิวให้

ซัมเบ้ Note 7 Jr.

ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

ไม่กลาง อยู่ข้างถูกต้อง

การเมืองชาติบ้านเรามันเน่าโสมม กว่าที่เราคิด เรียนจบมาตามทฤษฎีมากนัก พวกโลกสวยที่ยังไม่รู้เท่าทัน การเมืองแบบทุนนิยม ซื้อรวบเหมาหมดกินรวบหัวรวบหาง มันเอาคนของมันเข้าไปเป็นหัวหน้าอยู่ในระบบตรวจสอบขั้นตอนของรัฐ เฟคตกแต่งจัดฉากให้พวกโลกสวยไม่รู้การเมืองเบื้องลึก คิดว่าดีถูกต้องตามระบบแล้ว มัดจัดฉากหลอกเตี๊ยมไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว ไม่อยากเสียชาติ รู้เท่าทันเสียตอนนี้ เข้าเน็ตหาข้อมูล
ดูสื่อที่เที่ยงตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด ฟรีทีวีเฟคแต่งเรื่องราวเข้าทางโจรพึ่งยาก ปิดหูปิดตา มีน้อยมากถ้าไม่ได้สนใจติดตามให้ลึก เงิเงินชั่วมันตอนนี้ ที่มันเอาถลุงภาษีเราไปในรูปแบบทำธุรกิจหัวหมอเอาเปรียบผูกขาดหลอกล่อให้หลงกลติดกับ มันเปิดโอกาสฮั้วให้ต่างชาติเข้ามาคุมระบบขับเคลื่อนประเทศเราหมดแล้ว หรือขายชาติกิน ถ้าเมื่อก่อนเค้าเรียกไส้ศึกขายความลับประเทศให้แก่ข้าศึกรู้ช่องทางจุดอ่อนเข้ามาตีเมืองเอาง่ายๆ ปัจจุบันก็เหมือนกัน มันขายกิจการหลักระบบของรัฐ ทรัพยากร นำ้ไฟ น้ำมัน พลังงาน ให้ต่างชาติมาถือหุ้นจัด นอมินีมาถือหุ้นที่จริงมันคุมอยู่ ได้ผลประโยชน์จากการเพิ่มภาษีหักจากประชาชนเอาผลประโยชน์เข้ากระเป๋ามันและลิ่วล้อพวกพ้อง ต่างชาติมหาอำนาจที่พลอยได้ผลประโยชน์ มันก็คือไส้ศึกกบถทรราชชั่วๆนี่เอง รวมหวงวางแผนกับต่างชาติยึดรวบเอาประเทศเอกราชที่ไม่เคยเสียให้ใคร มวลมหาประชาชนต้องต่อต้านมัน พาชาติเราไปให้รอดจากศึกรูปแบบใหม่ครั้งนี้ อย่าให้มาล่มจมในยุคเรา ต้องต่อสู้กับคนชั่วขายชาติ พวกนี้ เงินพวกมัน เป็นหลัก ล้านล้านบาทที่จะเอามาทำลายบ้านเมืองเรา มันไม่มีทางชนะ