ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ใครเดินเกมส์ให้ยิ่งลักษณ์

เริ่มโดย กิมหยง, 08:50 น. 09 ธ.ค 56

คนไทยนี่แหละ

บอกสนธิ เอาตัวกับ astv  พยุงตัวให้รอดเหอะ

ไอ้เหลี่ยมบงการทั้งหมด

ไอ้เหลี่ยม มันแพ้ทาง แป๊ะ ลิ้ม เดี๋ยวมันจะรู้สึกถ้า ลูกพี่ใหญ่ สนธิ มากำกับทัพ ราคา ต่อรองเปิดที่ สนธิต่อ แทง10 ได้ 7 ส.สั่งสอน ส.หลกจริง ส.โกรธ

ขี้ข้าแม้วเลวระยำหมา

เลวระยำหมา มัน เอาเขมรมาใส่ชุด ตร.มาทำร้าย ประชาชนชาวไทย ไปดูคริปเลย ประชาชนกับทหารเค้าไปล้อมจับรถตู้ที่ขนมันมา

เพราะอวิชชาไม่รู้จิตตำ่

เพราะไม่รู้ที่มาของประวัติ เตมีใบ้ ปางชาติหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้า ใช้กรรมในนรกนานแสนนาน ก่อนมาเกิดเป็น เตมีใบ้ จากการเป็นผู้นำมีอำนาจตัดสินให้คนเป็นคนตายอยู่ในมือ และพรากประหารชีวิตคนโดยทั้งรู้และไม่รู้ ทำให้แม้แต่ อดีตพระพุทธเจ้าที่ว่าแน่มีบุญบารมีมามากๆ ยังไปใช้กรรมในนรกนานแสนนาน พ่อหลวงเรารู้ธรรมขั้นสูงต้องรู้แน่เรื่องนี้ และกฎหมายที่ผ่านมาเพราะอดีตกษัตริย์ไทยมีภูมิธรรมสูงมาทั้งนั้น จึงแยกอำนาจมาให้ประชาชน เหตุผลก็เพื่ิอโดยที่จะแยกผลกรรมจากการเป็นผู้นำแล้วรับผลกรรมจากการบริหารจัดการมันต้องมีคนตายในอำนาจควบคุมแน่นอน ถึงได้มอบอำนาจมาให้ปวงประชาชน และปวงประชาชนมอบ มาในรูปแบบรัฐบาลจัดการแทนประชาชน เพื่อไม่ได้รับผลกรรมจากการบริหารทางโลกแล้วมีคนตายแปดเปื้อนมือ รู้แล้วสังวรไว้ผู้นำทั้งหลาย ทางโลกมันสวนทางกับทางธรรม เมื่อไม่รู้ธรรมให้ลึกซึ้ง ทางนรกมันเปิดกว้างโดยคิดในทางโลกว่าดีแล้วแต่ไม่ใช่เลย ไม่งั้นท่านคงไม่บอกว่าให้อยู่สันโดษ ปลีกวิเวก เข้าป่า จะได้แยกออกง่ายว่า คนสัตว์ที่พบปะเจอในป่า เป็นคน สัตว์ แท้ๆ หรือ ผี สาง เทวดา โอปปาติกะ หรือเทพเทวดาฝ่ายมาร มาขวางธรรมหรือ มาเอาธรรมขั้นสูง รู้ทางโลกรู้ให้ตายเกิดแสนครั้งก็รู้ไม่หมด แต่ถ้ารู้ทางธรรมขั้นสูง เหมือนมีไฟสปอร์ตไล้ จ้าๆส่องในที่มืดให้เห็นทางตลอด เปรียบเทียบธรรมไม่เป็นไม่เกิดญาณไม่มีจินตนาการ ก็ไม่เห็นภัยจากการเป็นผู้นำ ที่พาไปลงนรกแน่นอน ขอยำ้ว่าแน่นอน ถ้าทำไปแล้ว หยุดมาศึกษาคัมภีร์ใบลานเร่งให้ถึงโสดาบันเป็นอย่างน้อยปิดประตูอบายภูมิ แล้วแต่กรรมพวกมรึงแล้วแหละถ้ายังหลงโลกอยู่อีก มาสว่างก็จริงแต่ใช้ความสว่างหลงผิดเปิดทางลงนรกให้ผีเปรตอสุรกายสิงใจพวกมรึงทั้งนั้น เอาไปให้อ่านตั้งแต่ ผู้เป็นมีอำนาจสั่งการนายกลงมา เพราะเค้ามอบมาให้ ผู้นำทั้งหลายที่พรากชีวิต นรกมีจริงแน่นอน ไม่ใช่นิทานหลอกเด็ก กรูรู้หมดแต่อยากจะเล่นแหย่เล่น เที่ยวสืบประวัติจนมันไม่แยกเอาธรรมกันเลย พอแล้วหลังจากนี้จะไม่ยุ่ง ฤทธิ์มันของเด็กเล่นไปแล้วตอนนี้ กรูจะยกระดับไปท่องธรรมอย่างอื่นแล้ว คนบ้า ๆ อย่าเอายม ส.อ่านหลังสือ

รู้กว่าก็เป็นจิตควบคุม

กลับไปฟังธรรมะ เหมือนเดิมดีกว่า ทางโลกมันสูญเปล่า เกลือกกลั้วคาวเลือดโลกีย์โลกันตร์ กรรมเบาๆจะพัตนาเป็น อนันตริยกรรม ได้ เดี๋ยวจะเข้าข่าย เหมือนพระเจ้าอชาติศัตรูหลงผิดฆ่าพ่อเพราะเทวทัตชี้ให้หลงผิด เบี้ยดาษ นาดิน เครื่องบินเหล็ก ปฏิทินฉีก นานาวัตถุธาตุล้วนสมมุติจิตปรุงแต่งเอาทั้งนั้นพี่น้อง แต่ความเป็นชาติมันพาคนหมู่มากอยู่ในเรือลำใหญ่ยักษ์ เรือรั่วแทนที่จะช่วยอุดปิดยิ่งฉีกรูให้นำ้เข้า พวกมรึงนั่นแหละลำบากไม่พร้อมที่จะตาย กรูพร้อมตายตลอด อ่านเรื่องไร้สาระทุกอย่างได้ แต่ไม่ยักอ่าน คัมภีร์ใบลานของแท้ตัวเป้งๆนั่นน่ะ หายโง่ หลงระเริงโลกกันได้แล้ว มารมันออกแบบมาไห้เดินทั้งนั้น จิตมันไม่ตายตายแค่ตัว อรหันต์เท่านั้นนิพพานเท่านั้นถึงจะตายจริงตายจากทุกข์ทั้งปวงหลุดบ่วงมาร เทศนาหน้าเขียงกันไปเลย กรูเหนือชั้นหลุดโลกกว่าที่พวกท่านประเมินกันเยอะๆ ได้เวลากระชากสู่ภูมิสูง เมื่อไม่ได้อ่านคัมภีร์ใบลาน เดี๋ยวก็มาปรามาสให้บาปติดตัวมรึงเองอีก555 คนบ้าๆ อย่าถือคนบ้าๆ ส.อ่านหลังสือ

จิตนายกายบ่าว

อ้างจาก: เพราะอวิชชาไม่รู้จิตตำ่ เมื่อ 07:27 น.  28 ธ.ค 56
เพราะไม่รู้ที่มาของประวัติ เตมีใบ้ ปางชาติหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้า ใช้กรรมในนรกนานแสนนาน ก่อนมาเกิดเป็น เตมีใบ้ จากการเป็นผู้นำมีอำนาจตัดสินให้คนเป็นคนตายอยู่ในมือ และพรากประหารชีวิตคนโดยทั้งรู้และไม่รู้ ทำให้แม้แต่ อดีตพระพุทธเจ้าที่ว่าแน่มีบุญบารมีมามากๆ ยังไปใช้กรรมในนรกนานแสนนาน พ่อหลวงเรารู้ธรรมขั้นสูงต้องรู้แน่เรื่องนี้ และกฎหมายที่ผ่านมาเพราะอดีตกษัตริย์ไทยมีภูมิธรรมสูงมาทั้งนั้น จึงแยกอำนาจมาให้ประชาชน เหตุผลก็เพื่ิอโดยที่จะแยกผลกรรมจากการเป็นผู้นำแล้วรับผลกรรมจากการบริหารจัดการมันต้องมีคนตายในอำนาจควบคุมแน่นอน ถึงได้มอบอำนาจมาให้ปวงประชาชน และปวงประชาชนมอบ มาในรูปแบบรัฐบาลจัดการแทนประชาชน เพื่อไม่ได้รับผลกรรมจากการบริหารทางโลกแล้วมีคนตายแปดเปื้อนมือ รู้แล้วสังวรไว้ผู้นำทั้งหลาย ทางโลกมันสวนทางกับทางธรรม เมื่อไม่รู้ธรรมให้ลึกซึ้ง ทางนรกมันเปิดกว้างโดยคิดในทางโลกว่าดีแล้วแต่ไม่ใช่เลย ไม่งั้นท่านคงไม่บอกว่าให้อยู่สันโดษ ปลีกวิเวก เข้าป่า จะได้แยกออกง่ายว่า คนสัตว์ที่พบปะเจอในป่า เป็นคน สัตว์ แท้ๆ หรือ ผี สาง เทวดา โอปปาติกะ หรือเทพเทวดาฝ่ายมาร มาขวางธรรมหรือ มาเอาธรรมขั้นสูง รู้ทางโลกรู้ให้ตายเกิดแสนครั้งก็รู้ไม่หมด แต่ถ้ารู้ทางธรรมขั้นสูง เหมือนมีไฟสปอร์ตไล้ จ้าๆส่องในที่มืดให้เห็นทางตลอด เปรียบเทียบธรรมไม่เป็นไม่เกิดญาณไม่มีจินตนาการ ก็ไม่เห็นภัยจากการเป็นผู้นำ ที่พาไปลงนรกแน่นอน ขอยำ้ว่าแน่นอน ถ้าทำไปแล้ว หยุดมาศึกษาคัมภีร์ใบลานเร่งให้ถึงโสดาบันเป็นอย่างน้อยปิดประตูอบายภูมิ แล้วแต่กรรมพวกมรึงแล้วแหละถ้ายังหลงโลกอยู่อีก มาสว่างก็จริงแต่ใช้ความสว่างหลงผิดเปิดทางลงนรกให้ผีเปรตอสุรกายสิงใจพวกมรึงทั้งนั้น เอาไปให้อ่านตั้งแต่ ผู้เป็นมีอำนาจสั่งการนายกลงมา เพราะเค้ามอบมาให้ ผู้นำทั้งหลายที่พรากชีวิต นรกมีจริงแน่นอน ไม่ใช่นิทานหลอกเด็ก กรูรู้หมดแต่อยากจะเล่นแหย่เล่น เที่ยวสืบประวัติจนมันไม่แยกเอาธรรมกันเลย พอแล้วหลังจากนี้จะไม่ยุ่ง ฤทธิ์มันของเด็กเล่นไปแล้วตอนนี้ กรูจะยกระดับไปท่องธรรมอย่างอื่นแล้ว คนบ้า ๆ อย่าเอายม ส.อ่านหลังสือ
ยำ้ให้อีกหน่อยว่า จากนายกลงไป ที่ต้องรับกรรมไปเต็มๆ

ทำร้ายประชาชน


shinjang

อ้างจาก: คนไทยนี่แหละ เมื่อ 09:15 น.  23 ธ.ค 56
บอกสนธิ เอาตัวกับ astv  พยุงตัวให้รอดเหอะ
คนไทยจริงอะ ล๊อกอินยังไม่กล้าใช้เลยลูกตุดส์แขมร์มั้งเมิง.... อะ ร้องเพลงไทยได้หรือเปล่า ไอ้ ขะแมร์

Gummunawattateelogo

410 อนาคตของนักรบอาชีพ

ปัญหา นักรบอาชีพที่มีความอุตสาหะ วิริยะในสงครามตายไปแล้วจะเกิดในสุคติหรือทุคติ ?

คำถามนี้ ประธานชุมชน (นายบ้าน) ผู้เป็นนักรบอาชีพทูลถามพระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงตอบ แต่ในที่สุดก็จำต้องตอบว่า

พุทธดำรัส ตอบ "ดูก่อนนายบ้าน แท้จริงเราไม่ได้อนุญาตให้ท่านถามปัญหานี้ เกร่ากล่าวว่า อย่าเลย นายบ้าน เรื่องนี้พักไว้เสียเถิด อย่างถามปัญหานี้กะเราเลย แต่เอาเถอะ เราจะตอบปัญหาแก่ท่าน
"ดูก่อนนายบ้าน นักรบอาชีพคนใด อุตสาหพยายามในสงคราม จิตของเขาเป็นสภาพต่ำ ชั่ว ตั้งไว้ไม่ดีก่อนแล้วว่าขอสัตว์เหล่านั้นจงถูกฆ่า จงถูกแทง จงขาดสูญ จงพินาศ หรือว่าอย่าได้มีอยู่เลย ดังนี้บุคคลอื่นย่อมฆ่า ย่อกำจัดเขาที่กำลังอุตสาหพยายามอยู่นั้น เมื่อเขาตายเพราะกายแตกทำลายย่อมยังเกิดในนรกชื่อสรชิต...
"ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักรบอาชีพคนใดอุตสาหพยายามในสงคราม ผู้นั้นเมื่อตายไปเพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสรชิตดังนี้ไซร้ ความเห็นของผู้นั้นเป็นความเห็นผิด ดูก่อนนายบ้าน ก็เราย่อมกล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรก หรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานของบุคคลผู้มีความเห็นผิด...."

โยธาชีวสูตร สฬา. สํ. (๕๙๓)
ตบ. ๑๘ : ๓๘๐-๓๓๙ ตท. ๑๘ : ๓๓๘-๓๓๙
ตอ. K.S. ๔ : ๒๑๖-๒๑๗

Gummunawattateelogo

ภพภูมิ 31 ภูมิ จากสูงสุด สู่เบื้องต่ำ
๓๑ ภูมิ ประกอบไปด้วย
( อรูปพรหม ๔ + รูปพรหม ๑๖ + เทวภูมิ ๖ + มนุษยโลก ๑ + อบายภูมิ ๔ )
(เดรัจฉาน , อสุรกาย , เปรต , นรก )
ส่วนพระอรหันต์ไม่นับรวมใน ๓๑ ภูมิ เพราะพระอรหันต์พ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว
ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
( พระอริยบุคคล ๔ จำพวก) มีดังนี้
๑. อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นสูงสุด) มี ๒ ประเภท
(๑). เจโตวิมุตติ เป็นผู้ปฎิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานก่อน แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อจนสำเร็จพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่ปฎิบัติเฉพาะวิปัสสนา เมื่อได้มรรคผลนั้นพร้อมกับได้วิชา ๓ อภิญญา ๖ สามารถแสดงฤทธิ์ได้
(๒). ปัญญาวิมุตติ สำเร็จพระอรหันต์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้บำเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย เรียกว่าสุกขวิปัสสกพระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้เป็นผู้ที่สมควรแก่การบูชา ของเหล่าเทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะสิ้นกิเลสด้วยโดยตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ สามารถเข้าอรหันตผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในวัฎสงสาร เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพาน
หรือ แบ่งได้อีกเป็น 4 ประเภท คือ
1.สุขวิปัสสโก แปลว่าผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง หมายถึง ท่านผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ ไม่มีสมถเข้ามาเกี่ยวข้อง เจริญแต่วิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ปัญญาวิมุตติ ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีอภิญญา
2. เตวิชโช คือ ผู้ได้วิชชา 3 หมายถึงผู้ได้ความรู้แจ้ง 3 ประการ คือ
1.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกชาติได้ ได้แก่ การเกิดของเหล่าสัตว์ที่ผ่านกันมาในอดีตกาล ไม่สามารถกำหนดนับชาติได้
2.จุตูปปาตญาณ (ทิพพจักษุ) คือ รู้จักกำหนดการจุติและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายในโลกนั้น รู้เห็นว่าเกิดมาจากกรรมที่บุคคลเหล่านั้นได้กระทำเอาไว้ ภายในชาตินั้นๆ
3.อาสวักขยญาณ คือ ญาณที่ทำให้กิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดาน ที่เก็บสะสมข้ามภพข้ามชาติเป็นเวลาที่นับไม่ได้ ให้หมดสิ้นไป ด้วยการรู้แจ้งในอริยสัจ 4 และญาณทั้ง 3 ตามลำดับ
3. ฉฬภิโญญ คือ ผู้ได้อภิญญา 6 คำว่า อภิญญา แปลว่า ปัญญาเป็นเครื่องหยั่งรู้ จำแนกไปน 6 ประการ คือ
1.อิทธิวิธิ คือการแสดงฤทธิ์ เช่น คนเดียวสามารถเนรมิตให้เป็นหลายคนได้ ล่องหนได้ ดำดินได้ เดินบนผิวน้ำได้ เหาะได้
2.ทิพพโสต คือ หูทิพย์ สามารถฟังได้ทั้งเสียงทิพย์ เสียงมนุษย์ ทั้งเสียงใกล้ เสียงไกล หรือเสียงกระซิบ
3.เจโตปริยญาณ คือรู้จักกำหนดใจผู้อื่น หมายถึง กำหนดด้วยใจของตนเอง แล้วได้รู้ใจของบุคคลอื่นว่าบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองอย่างไร รวมทั้งสามารถทายใจของบุคลอื่นว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และกำหนดรู้อัธยาศัยของบุคคลอื่นด้วย
4.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติได้
5.ทิพพจักขุ คือ ตาทิพย์
6.อาสวักขยญาณ
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ ผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ปฏิสัมภิทา แปลว่า ปัญญาอันแตกฉาน จำแนกออกเป็น 4 ประการ คือ
1.อัตถปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาอันแตกฉานในอรรถ หมายถึง ความรอบรู้แตกฉานในเนื้อหาของธรรมะย่อๆ สามารถอธิบายให้พิสดาร เช่น พระมหากัจจายนะ หรือความเข้าใจที่สามารถคาดกาลข้างหน้าถึงผลอันจักมี ด้วยอำนาจ อนาคตังสญาณ
2.ธัมมปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาอันแตกฉานในธรรม หมายถึงความเข้าใจ อุทเทส ถือเอาความใจความของอรรถาธิบายนั้นๆ ตั้งเป็นกระทู้ขึ้นได้ หรือความเข้าใจสาวหาสาเหตุในหนหลัง ด้วยอำนาจอตีตังสญาณ
3.นิรุตติปฏิสัมภิทา คือปัญญาอันแตกฉานในนิรุตติ หมายถึงรู้และเข้าใจในเรื่องของภาษาต่างๆ ฉลาดและรู้จักใช้ถ้อยคำในภาษานั้นๆ ตลอดถึงรู้และเข้าใจในภาษาต่างประเทศ สามารถชักนำบุคคลทั้งหลายให้นิยมตามคำพูดได้
4.ปฏิภาณปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาอันแตกฉานในปฏิภาณ หมายถึง เรื่องของการมีไหวพริบ ความเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันทีทันใด ในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉิน ปฏิภาณนี้คือ ความคิดว่องไว มีความรู้ความคิดทันคน ไม่จำนนต่อคำถาม นับเข้าในปัจจุปปันนังสญาณ
๒. โสดาบันโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลกชั้นที่ ๑)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอริยะบุคคลโสดาบัน แบ่งเป็น
(๑). เอกพิซีโสดาบัน จะเกิดอีกชาติเดียว แล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
(๒).โกลังโกลโสดาบัน จะเกิดอีก ๒-๖ ชาติ เป็นอย่างมากแล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
(๓). สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วก็จะบรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
๓. สกทาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๒)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าถึงพระอริยบุคคลสกทาคามี ซึ่งจะเกิดอีกเพียงชาติเดียวแบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
(๑). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลก และบรรลุพระอรหันตผลในมนุษย์โลก
(๒). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษย์โลกแล้วไปบรรลุพระอรหันต์ผลในเทวโลก
(๓). ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกและบรรลุอรหันต์ผลในเทวโลก
(๔). ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกแล้วมาบรรลุพระอรหันต์ผลในมนุษย์โลก
(๕). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลกแล้วจุติไปเกิดในเทวโลกแล้วกลับมาบรรลุพระอรหันตผลในมนุษยโลก
๔. อนาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๓)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกแบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
(๑). อันตราปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งแรกของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่
(๒). อุปหัจจปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งหลังของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่
(๓). อสังขารปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยสะดวกสบายไม่ต้องใช้ความเพียรมาก
(๔). สสังขารปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยต้องพยายามอย่างแรงกล้า
(๕). อุทธังโสตอกนิฎฐคามี ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก ชั้นต่ำที่สุด (อวิหาสุทธาวาสพรหมโลก) แล้วจึงจุติไปเกิด ชั้นสูงขึ้นไปตามลำดับ คือ อวิหา อัตัปปา สุทัสสา สุทัสสี แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานในอกนิฎฐพรหมโลก
โลกเบื้องสูง
ปฐมมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, และพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ ๑o-๒o
( แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๕,๕o๘,ooo โยชน ์)
อรูปพรหม ๔
(๒๐). เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒๐ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยความประณีตเป็นอย่างยิ่งมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่อรูปพรหม อายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้ อากิญจัญญายตนฌาน และสำเร็จเนวสัญญานา- สัญญายตนฌาน
(๑๙). อากิญจัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๙ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้วิญญาณัญจายตนฌานและสำเร็จอากิญจัญญายตนฌาน
(๑๘). วิญญาณัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๘ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้อากาสานัญจายตนฌาน และสำเร็จวิญญาณัญจายตนฌาน
(๑๗). อากาสานัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๗ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติ ซึ่งไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้จตุตถฌานแล้ว และสำเร็จอากาสานัญจายตนฌาน
รูปพรหม ๑๖
(๑๖). อกนิฎฐสุทธาวาสภูมิพรหมโลก ชั้นที่ ๑๖ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลายผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่มีความเป็นรองกัน พระพรหมอนาคามีอายุ๑๖,๐๐๐มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้ จตุตถฌาน และเจริญวิปัสสนาภาวนาจน สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีปัญญินทรีย์แก่กล้า
(๑๕). สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๕ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลายผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่าพระพรหมอนาคามี อายุ ๘,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาน และเจริญวิปัสสนาจนสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีสมาธินทรีย์แก่กล้า
(๑๔). สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๔ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสพระพรหมอนาคามี อายุ ๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาน และเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีสตินทรีย์แก่กล้า
(๑๓). อตัปปาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๓ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือนร้อนพระพรหมอนาคามี อายุ ๒,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีวิริยินทรีย์แก่กล้า
(๑๒). อวิหาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๒ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมาบัติของตนพระพรหมอนาคามี อายุ ๑,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอานาคามีอริยบุคคลโดยมีสัทธินทรีย์แก่กล้า
(๑๑). อสัญญสัตตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา(พรหมลูกฟัก) อายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรมผู้เจริญสมถภานาสำเร็จจตุตถฌาน และเป็นผู้มีสัญญาวิราคภาวนา
(๑๐). เวหัปผลาภูมิ พรหมโลก ชั้นที ๑๐ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์พระพรหมอายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จจตุตถฌาน
(๙). สุภกิณหาภูมิพรหมโลกชั้นที่ ๙ ภูมิอันป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลายผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีที่ออกสลับปะปนไปอย่างเสมอตลอดสรีระกายพระพรหม อายุ ๖๔ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างปราณีต
(๘). อัปปมาณสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๘ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มีประมาณพระพรหม อายุ ๓๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างปานกลาง
(๗). ปริตตสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๗ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อยพระพรหมอายุ ๑๖ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จตติยฌานได้อย่างสามัญ
(๖). อาภัสสราภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๖ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีประกายรุ่งโรจน์แหงรัศมีนานาแสงพระพรหมอายุ ๘ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างปราณีต
(๕). อัปปมาณาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๕ ภูมิอันเป็นทีอยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีรุ่งรื่องมากมายหาประมาณมิได้พระพรหมอายุ ๔ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างปานกลาง
(๔). ปริตตาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๔ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งท่านพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน พระพรหม อายุ ๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ทีจะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ต้องสำเร็จทุติยฌานได้อย่างสามัญ
(๓). มหาพรหมาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๓ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระพรหม อายุ ๑ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานอย่างประณีต
(๒). พรหมปุโรหิตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ทรงฐานอันประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม พระพรหมอายุ ๓๒ อัตรกัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จได้ปฐมฌานอย่างปานกลาง
(๑). พรหมปาริสัชชาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหม ผู้เป็นท้าวมหาพรหม พระพรหม อายุ ๒๑ อันตรกัปเศษ บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานได้อย่างสามัญ
โลกเบื้องกลาง
เทวภูมิ ๖ กับ โลกมนุษย์ ๑
( แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๔๒,ooo โยชน์ )
เทวภูมิ ๖
(๖). ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๖) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ แบ่งเป็น
ฝ่ายเทพยาดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราชปกครอง กับ ฝ่ายมาร มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (๙,๒๑๖ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฏ์ อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบำเพ็ญกันอย่างจริงๆ มากไปด้วยศรัทธาปสาทะ อย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลายแต่กาลก่อน"
แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส"
เพราะวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงยิ่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
(๕). นิมมานรตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๕) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์ ซึ่งเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจ มีท้าวสุนิมมิตเทวราชปกครอง อายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มุ่งสั่งสมให้ทาน
ไม่ได้ให้ทาน ด้วยคิดว่า "เราหุงหากินได้แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากินเราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"
" แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า"เราจักจำแนกแจกทานเช่นเดียวกับฤาษีทังหลายในกาลก่อน" ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาด
มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงส่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
(๔). ตุสิตาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๔) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นเป็นนิจ มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ปีทิพย์ (๕๗๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษยมีจิตบริสุทธิ์ ยินดีมากในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลของทานแล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ให้ทานด้วยความคิดว่า "บิดา มารดา ปู่ ยา ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี"แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "
" เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"
ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนาหรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ
(๓). ยามาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๓) เป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์ มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง อาย ุ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ (๑๔๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ พยายามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบำเพ็ญบุญุศล ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "การให้ทานเป็นการกระทำที่ดี"
แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี"
รักษาศีล มีจิตขวนขวานในพระธรรม ทำความดีด้วยความจริงใจ
(๒). ตาวติงสาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๒) ที่เราเรียกว่า ไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์ เป็นเมืองใหญ่มี ๑,๐๐๐ ประตู มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์ มีไม้ทิพย์ ชื่อปาริชาตกัลปพฤกษ์ สมเด็จพระอมรินทราธิราชปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ (๓๒ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ ยินดีในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมการให้ทานไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "ตายแล้วเราจักได้เสวยผลทานนี้"
แต่ให้ทานด้วยด้วยความคิดว่า "การให้ทานเป็นการกระทำดี"
งดงามด้วยพยายามรักษาศีล ไม่ดูหมิ่นดูแคลนผู้ใหญ่ในตระกูล ฯลฯ
(๑). จาตุมหาราชิกาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๑) เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า มีท้าวมหาราช ๔ พระองค์ปกครองคือ
-๑.ท้าวธตรัฐมหาราช - ๓.ท้าววิรูปักษ์มหาราช และ
-๒.ท้าววิรุฬหกมหาราช - ๔. ท้าวเวสสุวัณมหาราช (ท้าวกุเวร)อายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ (๙ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ ชอบทำความดี สันโดษ ยินดีแต่ของๆตน ชักชวนให้ผู้อื่น ประกอบการกุศล ชอบให้ทาน ในการให้ทานเป็นผู้มีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ให้ทานด้วยความคิดว่า "เราจะตายแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้" และเป็นผู้มีศีล ฯลฯ
โลกมนุษย์
( อายุมนุษย์สมัยพระพุทธองค์ ๑๐๐ ปี และอายุมนุษย์ในปัจจุบัน ๗๕ ปี )
( มนุษยภูมิ ) เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ
ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมแบ่งเป็น ๔ จำพวก คือ
(๑). ผู้มืดมาแล้วมืดไป บุคคลที่เกิดในตระกูลอันต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก ฝืดเคืองอย่างมากในการหาลี้ยงชีพ มีปัจจัย ๔ อย่างหยาบ
เช่น มีอาหารและน้ำน้อย มีเครื่องนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอ หม่นหมอง หรือมีร่างกายไม่สมประกอบ บ้าใบ้ บอด หนวก หาที่นอน ทีอยู่อาศัย ยารักษาโรค ไม่ใคร่ได้ และเขากลับประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
(๒). ผู้มืดมาแล้วสว่างไป บุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ผิวพรรณหยาบ ฯลฯ แต่เป็นเขาเป็นคนมีศรัทธา ไม่มีความตะหนี่ เป็นคนมีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณะชีพราหมณ์ หรือวณิกพกอื่นๆ ย่อมสำเนียกในกริยามารยาทเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
(๓). ผู้สว่างมาแล้วมืดไป เป็นบุคคลผู้อุบัติในตระกูลสูง เป็นคนมั่งคั่งมั่งมี มีโภคสมบัติมาก เป็นผู้มีปัจจัย ๔ อันประณีต ทั้งเป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วนสะสวย งดงาม ผิวพรรณดูน่าชม แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ กรุณาอาทร มีใจหยาบช้า มักขึ้งโกรธย่อมด่า ย่อมบริภาษบุคคลต่างๆ ไม่เว้นกระทั้งมารดาบิดา สมณชีพราหมณ์ ย่อมห้ามคนที่กำลังให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
(๔). ผู้สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่อุบัติเกิดในตระกูลสูง มีผิวพรรณงามและเขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุพกรรม กรรมของมนุษย์ที่ทำในกาลก่อน ส่งผลให้มีปฎิปทาต่างกัน
เช่น บางคนเป็นคนดี บางคนบ้า บางคนรวย บางคนจน บางคนมีปัญญา บางคนเขลา ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิ
- ปฎิปทาให้มีอายุสั้น เพราะเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้าย มักคร่าชีวิตสัตว์
- ปฎิปทาให้มีอายุยาว เป็นผู้เว้นขาดจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป มีความละอาย เอ็นดูอนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลสรรพสัตว์และภูตอยู่
- ปฎิปทามีโรคมาก เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ ท่อนไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน หรือศาสตราอาวุธต่างๆ
- ปฎิปทามีโรคน้อย ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ หรือศาสตราอาวุธต่างๆ มีมีด ขวาน ดาบ ปืน เป็นต้น
- ปฎิปทาให้มีผิวพรรณทราม เป็นคนมักโกรธ มากไปด้วยความเคืองแค้น ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจโกรธเคือง พยาบาทหมาดร้าย ทำความโกรธความร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฎ
- ปฎิปทาให้มีผิวพรรณงาม เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธความร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฎ
- ปฎิปทาให้เป็นคนมีศักดาน้อย คือเป็นคนไม่มีใจริษยา มุ่งร้าย ผูกใจในการอิจฉาริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น
- ปฎิปทาให้เป็นคนมีศักดามาก เป็นคนไม่มีใจริษยา ไม่มุ่งร้าย ยินดีด้วยในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น
- ปฎิปทาให้มีโภคะน้อย เป็นผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอนที่อาศัย เป็นต้น
- ปฎิปทาให้มีโภคะมาก ชอบให้ทานมีอาหาร น้ำ เครื่องนุ่มห่ม ของหอม ที่นอนที่อาศัย เครื่องตามประทีบแก่สมณะหรือชีพราหมณ์ เป็นต้น
- ปฎิปทาให้เกิดในตระกูลต่ำ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่ควรให้ ไม่ให้ทางแก่คนที่ควรให้ทาง เป็นต้น
- ปฎิปทาให้เกิดในตระกูลสูง เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน วจีไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ รู้จักยืนเคารพ ยืนรับ ยืนคำนับ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ สักการะแก่คนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา เป็นต้น
- ปฎิปทาทำให้มีปัญญาทราม คือเป็นผู้ไม่เคยเข้าหาบัณฑิต สมณะหรือชีพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ เป็นต้น
- ปฎิปทาทำให้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มักเข้าไปสอบถาม บัณฑิตสมณะหรือชีพราหมณ์ อะไรเป็นุศล อะไรไม่เป็นกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรเมื่อทำลงไปแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน อะไรเมื่อทำไปแล้วย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ดังนี้   
โลกเบื้องต่ำ
อบายภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุูรกาย เดรัจฉาน
เดรัจฉานภูมิ
เดรัจฉานภูมิ ) (โลกเดรัจฉานอยู่ในโลกมนุษย์) โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในหตุ ๓ ประการ คือ
(การกิน การนอน การสืบพันธุ์) แบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ
(๑). อปทติรัจฉาน (ไม่มีเท้า ไม่มีขา) เช่นงู ปลา ไส้เดือน ฯลฯ
(๒). ทวิปทติรัจฉาน (มี ๒ ขา) เช่น นก ไก่ ฯลฯ
(๓). จตุปทติรัจฉาน (มี ๔ ขา) เช่น วัว ฯลฯ
(๔). พหุปทติรัจฉาน (มีมากกว่า ๔ ขา) เช่น ตะขาบ กิ่งกือ ฯลฯ
อายุ ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมที่นำไปเกิดในสัตว์ประเภทต่างๆ ตามอายุของสัตว์ประเภทนั้นๆ
บุพกรรม
เป็นมนุษย์จิตไม่บริสุทธิ์ ประพฤติอศุลกรรม อันหยาบช้าลามกทั้งหลายหรือเพราะอำนาจของเศษบาปอกุศลกรรมที่ตนทำไว้ให้ผล
หรือเป็นเพราะเมื่อเป็นมนุษย์ไม่ได้ก่อกรรมทำชั่วอะไร แต่เวลาใกล้จะตายจิตประกอบด้วยโมหะ หลงผิด ขาดสติ ไม่มีสรณะเป็นที่พึ่งจะยึดให้มั่นคง
คตินิมิต นิมิตที่ชี้บอกถึงโลกดรัจฉานที่ตนจะไป เช่น เห็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงหญ้า เชิงเขา ชายน้ำ แม่น้ำ กอไผ่ เป็นต้น บางทีเห็นเป็นรูปสัตว์ทั้งหลาย เช่น ช้าง เสือ วัว หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ๊กจก ฯลฯ หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจ แล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์มื่อจิตดับตายขณะนั้นต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน
อสุรกายภูมิ
( อสุรกายภูมิ ) (โลกอสุรกาย) ภูมิอันเป็นทีอยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็นอิสระและสนุกรื่นเริง
แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เทวอสุรา เปตติอสุรา นิรยอสุรา
(๑). เทวอสุรา มี ๖ จำพวก คือ ๑.เวปจิตติอสุรา ๔.ปหารอสุรา
(๒). สุพลิอสุรา ๕.สัมพรตีอสุรา
(๓). ราหุอสุรา ๖.วินิปาติกอสุรา
แล้ว ๕ จำพวกแรกเป็นปฎิปักษ์ต่อเทวดาชั้นตาวสิงสา อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดาชั้นตาวติงสา
๑. วินิปาติกอสุรา มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า และอำนาจก็น้อยกว่าเทวดาชั้นตาวติงสา เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษยโลกทั่วไป เช่น ตามป่า ตามเขา ต้นไม้ และศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของภุมมัฎฐเทวดาทั้งหลาย แต่เป็นเพียงบริวารของภุมมัฎฐเทวดาเท่านั้น สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกา
๒. เปตติอสุรา มี ๓ จำพวก คือ ๑.กาลกัญจิกเปรตอสุรา ๒.เวมานิกเปรตอสุรา ๓.อาวุธิกเปรตอสุราเป็นเปรตที่ประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่างๆ
๓. นิรยอสุรา เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกันตร์ นรกโลกันตร์ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสามอสุรกายนี้ ี้หมายเอาเฉพาะกาลกัญจิกเปรตอสุรกายเท่านั้น อายุและบุพกรรม เช่นเดียวกันกับโลกเปรต
เปตติวิสยภูมิ
( เปตติวิสยภูมิ ) (โลกเปรต) โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข
มีมหิทธิกเปรตเป็นเจ้าปกครองดูแลอายุไม่แน่นอนแล้วแต่กรรม ได้แก่
เปรต ๑๒ ชนิด เปรต ๑๒ ชนิด คือ
(๑). วันตาสเปรต กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
(๒). กุณปาสเปรต กินซากศพคน หรือสัตว์เป็นอาหาร
(๓). คูถขาทกเปรต กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
(๔). อัคคิชาลมุขเปรต มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
(๕). สูจิมุขาเปรต มีปากเท่ารูเข็ม
(๖). ตัณหัฎฎิตเปรต ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าว หิวน้ำอยู่เสมอ
(๗). สุนิชฌามกเปรต มีลำตัวดำเหมือนตอไม้เผา
(๘). สัตถังคเปรต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด
(๙). ปัพพตังคเปรต มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
(๑๐). อชครังคเปรต มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
(๑๑). เวมานิกเปรต ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
(๑๒). มหิทธิกเปรต มีฤทธิ์มาก ที่อยู่ เชิงเขาหิมาลัยในป่าวิชฌาฎวี
เปรต ๔ ประเภท เปรต ๔ ประเภท คือ
(๑). ปรทัตตุปชีวิกเปรต มีการเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยโดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้
(๒). ขุปปิปาสิกเปรต ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าว หิวน้ำ
(๓). นิชฌามตัณหิกเปรต ถูกไฟเผาให้เร้าร้อนอยู่เสมอ
(๔). กาลกัญจิกเปรต (ชื่อของอสูรกายที่เป็นเปรต) มีร่างกายสูง ๓ คาวุต มีเลือดและเนื้อน้อยไม่มีแรง มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาปู และมีปากเท่ารูเข็มและตั้งอยู่กลางศีรษะ
เปรต ๒๑ จำพวก เปรต ๒๑ จำพวก คือ
(๑). มังสเปสิกเปรต มีเนื้อเป็นชิ้นๆไม่มีกระดูก
(๒). กุมภัณฑ์เปรต มีอัณฑะใหญ่โตมาก
(๓). นิจฉวิตกเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
(๔). ทุคคันธเปรต มีกลิ่นเหม็นเน่า
(๕). อสีสเปรต ไม่มีศีรษะ
(๖). ภิกขุเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ
(๗). สามเณรเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนเณรและ ฯลฯ
บุพกรรม ประพฤติอศุลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อขาดใจตายจากมนุษยโลก หากอศุลกรรมสามารถนำไปสู่นิรยภูมิได้ ต้องไปเสวยทุกข์โทษในนรกก่อน พอสิ้นกรรมพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีก็ไปเสวยผลกรรมเป็นเปรตต่อภายหลัง หรือมีอศุลกรรมที่เกิดจากโลภะนำมาเกิดคตินิมิต
นิมิตที่บ่งบอกถึงโลกเปรต เช่น เห็นหุบเขา ถ้ำอันมืดมิดที่วังเวง และปลอดเปลี่ยวหรือเห็นเป็นแกลบ และข้าวลีบมากมายแล้วรู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำเป็นกำลัง บางทีเห็นว่าตนดื่มกินเลือดน้ำหนองที่น่ารังเกียจสะอิดสะเอียน หรือเห็นเป็นเปรตมีร่างกายผ่ายผอมน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรกรุงรัง ฯลฯ
หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจแล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายขณะนั้น ต้องบังเกิด เป็นเปรตเสวยทุกขเวทนาตามสมควรแก่กรรมอย่างแน่นอน
นรกภูมิ
( มหานรก ๘ ขุม ) (แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์)
(๑). สัญชีวนรก นรกที่สัตว์นรกไม่มีวันตาย อายุ ๕๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๙ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตไม่บริสุทธิ์ หยาบช้าลามก ก่อกรรมทำเข็ญ เช่นฆ่าเนื้อ เบื่อสัตว์ เบียดเบียนบุคคลที่ต่ำกว่าตน โดยความไม่เป็นธรรมให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นนิจ ฯลฯ
(๒). กาฬสุตตนรก นรกที่ลงโทษด้วยเส้นเชื่อกดำ แล้วถากหรือตัดด้วยเครื่องประหาร อายุ ๑,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๓๖ ปีล้านมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ทำการทรมานสัตว์ด้วยการตัดเท้า หู ปาก จมูก ฯลฯ ทำร้ายบิดามารดา ครู อาจารย์ ฯลฯ เบียดเบียนหรือฆ่าภิกษุ สามเณร ดาบส หรือเป็นเพชฌฆาต
(๓). สังฆาฎนรก นรกที่มีภูขาเหล็กใหญ่มีไฟลุกโพลงบดขยี้สัตว์นรก อายุ ๒,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหยาบช้าด้วยใจอศุลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ทำทารุณกรรมสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นประจำ หรือ บุคคลที่ทรมานเบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ และพวกนายพราน
(๔). โรรุวนนรก (ธูมโวรุวหรือจูฬโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังของสัตว์นรกที่ถูกควันไฟอบอ้าว อายุ ๔,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปเผาสัตว์ทั้งเป็น ตัดสินความไม่ยุติธรรม รุกที่ดินเอาสาธารณสมบัติมาเป็นของตน กินเหล้าเมาประทุษร้ายผู้อื่น ชาวประมง คนที่เผาป่าที่สัตว์อาศัยอยู่
(๕). มหาโรรุวนรก (ชาลโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังกว่าโรรุวนรก อายุ ๘,๐๐๐ ปีอายุกัป(๑ วันนรก = ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ตัดคอสัตว์ด้วยความโกรธ ปล้น ขโมยทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และของศาสนาเช่นของภิกษุสามเณรดาบสแม่ชีและสิ่งของเครื่องสักการะที่เขาบูชาพระรัตนตรัยปล้นโกงเอาของคนอื่นมาเป็นของตน
(๖). ตาปนนรก (จูฬตาปน) นรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน ด้วยการให้นั่งตรึงติดอยู่ในหลาวเหล็กอันร้อนแดงแล้วให้ไฟไหม้อยู่ อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป ประกอบกรรมด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
เช่น ฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพและคนที่เผาบ้านเมือง กุฎิ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ปราสาท ทำลายเจดีย์
(๗). มหาตาปนนรก (ปตาปน) นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ อายุ ครึ่งอันตรกัปของมนุษย์
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหนาไปด้วยอกุศลมลทิน เช่น ประหารคนหรือสัตว์ให้ตายเป็นหมู่มากๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตเขาชีวิตท่าน และคนที่มีอุจเฉททิฎฐิ สัสสตทิฎฐิ นัตถิกทิฎฐิ อเหตุทิฎฐิ และอกิริยทิฎฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง
(๘). อเวจีนรก นรกที่ปราศจากคลื่นคือ ความเบาบางแห่งความทุกข์ อายุ ประมาณ ๑ อันตรกัปของมนุษย์
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทำอนันตริยกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกกัน และบุคคลที่ทำลายพระพุทธเจดีย์ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้โดยจิตคิด ประทุษร้ายบุคคลที่ติเตียนพระอริย บุคคลพระสงฆ์ผู้มีคุณแก่ตน ผู้ที่ยึดถือนิยตมิจฉาทิฎฐิ ๓
( อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม ) (อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๔ ของมหานรกแต่ละขุม)
(๑). คูถนรก สัตว์นรกทีมาเกิดได้รับทุกขเวทนาอยู่ในอุจจาระเน่า โดยถูกหนอนกัดกินทั้งเนื้อและกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในทั้งหมดจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๒). กุกกุฬนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนา โดยถูกเผาด้วยขี้เถ้าร้อนระอุ ร่างกายไหม้ยับย่อย ละเอียดเป็นจุณ จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๓). สิมปลิวนนรก สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีเศษอศุลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้วก็ยังไม่หลุดพ้น ยังต้องเสวยทุกข์จากนรกป่าไม้งิ้วต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๔). อสิปัตตวนนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากป่าไม้ใบดาบ เช่น ใบมะม่วงซึ่งกลายเป็นหอกดาบ และมีสุนัขแร้งคอยทรมานขบกัดกินเลือดเนื้อ จนกว่าจะสิ้นกรรม
(๕). เวตรณีนรก สัตว์นรกที่เกิดมาได้รับทุกข์จากน้ำเค็มแสบที่มีเครือหวายหนามหล็ก ใบกลีบบัวหลวงเหล็กตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งคมเป็นกรด มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
( ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม ) ( อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม )
(๑). โลหกุมภีนรก เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่มาเกิดต้องได้รับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อนเสวยทุกขเวทนาอย่าง แสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา
บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆมาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร
(๒). สิมพลีนรก เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับ ทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเพณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้สามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ
(๓). อสินขะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้ เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม เช่น เมื่อมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของทีเขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
(๔). ตามโพทะนรก มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆเป็นคนใจอ่อนมัวเมา ประมาท ดื่มสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ
(๕). อโยคุฬะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม เช่น แสดงว่าตนเป็นคนใจบุญใจกุศล เรี่ยไรทรัพย์ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้หลอกลวงผู้อื่น
(๖). ปิสสกปัพพตะนรก มีภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนสิ้นกรรมของตน
บุพกรรม เช่น เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราฎร ทำร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย
(๗). ธุสะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดที่ดื่มกินเข้าไปอำนาจของกรรมบันดาลให้น้ำนั้นกลายเป็นแกลบเป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้
เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา
บุพกรรม เช่น คดโกงไม่มี ความซื่อสัตย์ ปนปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ
(๘). สีตโลสิตะนรก เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไปจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆ
ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ
(๙). สุนขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวกคือ หมานรกดำ หมานรกขาว หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่างๆ และยัง มีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกสุนัข แร้งกา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต
บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ยาตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า
ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร
(๑๐). ยันตปาสาณะนรก มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทกได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้าด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธแล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ
โลกันตร์
( โลกันตร์นรก ๑ ขุม )
โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่ อยู่นอกจักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลยและเต็มไปด้วยทะเลน้ำกรดเย็น
ที่ตั้ง อยู่ระหว่างโลกจักรวาล ๓ โลก เหมือนกับวงกลม ๓ วงติดกัน คือ บริเวรช่องว่างของวงทั้ง ๓ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องได้รับทุกขเวทนาเป็นเวลา ๑ พุทธันดร จากผลกรรมชั่ว เช่น ทรมาน ประทุษร้ายต่อบิดามารดา และผู้ทรงศีล ทรงธรรมหรือปาณาติบาตเป็นอาจิณ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น
( โลกนรกประกอบด้วย )
มหานรก ๘ ขุม
อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม
ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
โลกันตร์นรก ๑ ขุม
รวม ๔๕๗ ขุม
ภพภูมิในพระพุทธศาสนา
ในทางพระพุทธศาสนานั้น แบ่งภพภูมิที่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในวัฏสงสารจะสามารถไปเกิดได้ ตามผลกรรมของตน ไว้ทั้งสิ้น 31 ภูมิใหญ่ๆ เรียงจากภูมิสูงไปหาภูมิต่ำได้ดังนี้คือ
(ดูจากล่างขึ้นบน จะเข้าใจได้ง่ายกว่า)
อรูปภูมิ
4
ชั้น  เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
อากิญจัญญายตนภูมิ
วิญญาณัญจายตนภูมิ
อากาสานัญจายตนภูมิ
รูปภูมิ
16
ชั้น  จตุตถฌานภูมิ
7
ชั้น  สุทธาวาสภูมิ
5
ชั้น  อกนิฏฐาภูมิ
สุทัสสีภูมิ
สุทัสสาภูมิ
อตัปปาภูมิ
อวิหาภูมิ
เวหัปผลาภูมิ
อสัญญสัตตภูมิ
ตติยฌานภูมิ
3 ชั้น สุภกิณหกา
อัปปมาณสุภา
ปริตตสุภา
ทุติยฌานภูมิ
3 ชั้น อาภัสสรา
อัปปมาณาภา
ปริตตาภา
ปฐมฌานภูมิ
3 ชั้น มหาพรหมาภูมิ
พรหมปุโรหิตาภูมิ
พรหมปาริสัชชาภูมิ
กามภูมิ
11
ชั้น  กามสุคติภูมิ
7
ชั้น  สวรรค์
6
ชั้น  ปรนิมมิตวสวัตตี
นิมมานรตี
ดุสิต
ยามา
ดาวดึงส์
จาตุมหาราชิกา
มนุษยภูมิ
อบายภูมิ
4
ชั้น  สัตว์เดรัจฉาน
อสุรกาย
เปรต
นรกภูมิ
ลักษณะพิเศษในบางภพภูมิ
อริยบุคคลทุกประเภทจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ
สิ่งมีชีวิตในอบายภูมิจะบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีทั้งที่อยู่ระดับพื้นดิน ที่เรียกว่าภุมมัฏฐเทวดา เช่น รุกขเทวดา เป็นต้น และที่อยู่ในอากาศ ซึ่งเรียกว่า อากาสเทวดา
สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นที่รวมของนักปราชญ์และผู้มีปัญญา รวมถึงพระโพธิสัตว์
รูปภูมิเป็นที่เกิดของผู้ที่ได้รูปฌาน
ผู้ที่เกิดในอสัญญสัตตภูมิจะมีเฉพาะรูปขันธ์เท่านั้น ไม่มีนามขันธ์อยู่เลย คือจะมีเฉพาะร่างกายไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย เกิดในอิริยาบทใด ก็จะอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต ไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะก่อนตายในชาติก่อนได้จตุตถฌานแต่ไม่ยินดีในการมีความรู้สึก
สุทธาวาสภูมิเป็นที่เกิดของอนาคามีบุคคล (ปุถุชนและอริยบุคคลชั้นต่ำกว่านี้จะไปเกิดที่นี่ไม่ได้)
อรูปภูมิเป็นที่เกิดของผู้ที่ได้อรูปฌาน
ผู้ที่เกิดในอรูปภูมิจะมีเฉพาะนามขันธ์ 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณขันธ์เท่านั้น ไม่มีรูปขันธ์ คือไม่มีร่างกายอยู่เลย เพราะจิตไม่มีความยินดีในรูปทั้งหลาย

Gummunawattateelogo

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

มหานิบาตชาดก
๑. เตมิยชาดก
พระเจ้าเตมีย์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
             [๓๙๔]    ท่านจงอย่าแสดงตนเป็นคนฉลาด  จงให้คนทั้งปวงรู้ว่าตนเป็นคนโง่
                          คนทั้งหมดนั้นจะได้ดูหมิ่นท่านว่า เป็นคนกาฬกัณณี ความประสงค์ของ
                          ท่านจะสำเร็จด้วยอาการอย่างนี้.
             [๓๙๕]    ดูกรแม่เทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำที่ท่านกล่าว  ท่านเป็นผู้ปรารถนา
                          ประโยชน์ ปรารถนาจะเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า.
             [๓๙๖]    ดูกรนายสารถี ท่านจะรีบขุดหลุมไปทำไม เราถามแล้ว ขอท่านจงบอก
                          ท่านจักทำประโยชน์อะไรด้วยหลุม.
             [๓๙๗]    พระราชโอรสของพระราชาเป็นใบ้ เป็นง่อยเปลี้ย ไม่มีจิตใจ พระราชา
                          ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า พึงฝังลูกเราเสียในป่า.
             [๓๙๘]    ดูกรนายสารถี เรามิได้เป็นคนหนวก มิได้เป็นคนใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย
                          มิได้มีอินทรีย์วิกลการ ถ้าท่านพึงฝังเราในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำสิ่งที่
                          ไม่เป็นธรรม เชิญท่านดูขาและแขนของเรา และเชิญฟังคำภาษิตของเรา
                          ถ้าท่านพึงฝังเราเสียในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.
             [๓๙๙]    ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ ท่านเป็นใคร
                          หรือว่าเป็นบุตรของใคร เราทั้งหลายจะรู้จักท่านอย่างไร.
             [๔๐๐]    เราไม่ใช่เป็นเทวดา ไม่ใช่เป็นคนธรรพ์ ไม่ใช่เป็นท้าวสักกปุรินททะ
                          เราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสีผู้ที่ท่านอาศัยบารมีเลี้ยงชีพอยู่ ดูกรนายสารถี
                          ถ้าท่านพึงฝังเราเสียในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม บุคคล
                          พึงนั่งหรือนอนที่ร่มเงาต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งต้นไม้นั้น  เพราะว่า
                          ผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม พระราชาเป็นเหมือนต้นไม้ เราเป็น
                          เหมือนกิ่งไม้  ท่านสารถีเป็นเหมือนคนอาศัยร่มเงา ดูกรนายสารถี
                          ถ้าท่านพึงฝังเราเสียในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.
             [๔๐๑]    ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร  ออกจากเรือนของตน ไปในที่ไหนๆ ย่อมมี
                          อาหารมากมาย คนเป็นอันมากย่อมอาศัยผู้นั้นเป็นอยู่ ผู้ใดไม่ประทุษร้าย
                          มิตร ผู้นั้นไปยังชนบท นิคม ราชธานีใดๆ ย่อมเป็นผู้อันชนทั้งหลาย
                          ในชนบท นิคม ราชธานีนั้นๆ บูชา ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นโจร
                          ทั้งหลายไม่ข่มเหง พระมหากษัตริย์ ก็ไม่ทรงดูหมิ่น  และผู้นั้นย่อมข้าม
                          พ้นศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นไม่ได้โกรธเคืองใครๆ
                          มายังเรือนของตน  ย่อมเป็นผู้อันมหาชนยินดีต้อนรับในสภา  ทั้งเป็น
                          ผู้สูงสุดในหมู่ญาติ ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นสักการะคนอื่นแล้ว
                          ย่อมเป็นผู้อันคนอื่นสักการะตอบ เคารพคนอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้อันคนอื่น
                          เคารพตอบ ทั้งเป็นผู้อันบุคคลกล่าวสรรเสริญเกียรติคุณ ผู้ใดไม่ประทุษ
                          ร้ายมิตร บูชาผู้อื่น  ย่อมได้บูชาตอบ  ไหว้ผู้อื่น ย่อมได้ไหว้ตอบ
                          ทั้งย่อมถึงอิสริยยศและเกียรติยศ  ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นย่อม
                          รุ่งเรืองเหมือนกองไฟ ย่อมไพโรจน์เหมือนเทวดา เป็นผู้อันสิริไม่ละแล้ว
                          ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร  โคของผู้นั้นย่อมเกิดมากมูล พืชในนาย่อม
                          งอกงาม ผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลที่หว่านลงแล้ว นรชนใดไม่ประทุษร้าย
                          มิตร นรชนนั้น พลาดจากภูเขา หรือพลาดตกจากต้นไม้ ย่อมได้ที่พึ่ง
                          ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร  ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่ข่มขี่ผู้นั้น เหมือนต้นไทร
                          ที่มีรากหยั่งลงมั่นแล้ว ลมประทุษร้ายไม่ได้ฉะนั้น.
             [๔๐๒]    ข้าแต่พระราชโอรส เชิญเสด็จเถิด เกล้ากระหม่อม จักนำพระองค์
                          เสด็จกลับยังพระราชมณเฑียร เชิญพระองค์เสวยราชสมบัติ พระองค์
                          จงทรงพระเจริญ  จะทรงหาประโยชน์อะไรอยู่ในป่าเล่า.
             [๔๐๓]    ดูกรนายสารถี เราไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ พระประยูรญาติ หรือทรัพย์
                          สมบัติ ที่เราจะพึงได้ด้วยการประพฤติธรรม.
             [๔๐๔]    ข้าแต่พระราชโอรส  พระองค์เสด็จกลับจากที่นี้แล้ว  จะทำให้เกล้า-
                          กระหม่อมได้รางวัลที่น่ายินดี เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว พระชนกและ
                          พระชนนีพึงพระราชทานรางวัลแก่เกล้ากระหม่อม ข้าแต่พระราชโอรส
                          เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว นางสนม พวกกุมาร พ่อค้า และพวก
                          พราหมณ์ จะพึงดีใจ ให้รางวัลแก่เกล้ากระหม่อม ข้าแต่พระราชโอรส
                          เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว  กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และ
                          กองพลราบ จะพึงดีใจให้รางวัล แก่เกล้ากระหม่อม ข้าแต่พระราชโอรส
                          เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว ชาวชนบท และชาวนิคม  ผู้มีธัญญาหาร
                          มากมาย จะมาประชุมกันให้เครื่องบรรณาการแก่เกล้ากระหม่อม.
             [๔๐๕]    เราเป็นผู้อันพระชนกและพระชนนี  ชาวแว่นแคว้น ชาวนิคม และ
                          กุมารทั้งปวงสละแล้ว เราไม่มีเรือนของตน เราอันพระชนนีทรงอนุญาต
                          แล้ว และพระชนกก็ทรงยินดี สละอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ไม่พึงปรารถนา
                          กามทั้งหลาย เราจะบวช.
             [๔๐๖]    ความปรารถนาผลของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน เราเป็น
                          ผู้มีพรหมจรรย์อันสำเร็จแล้ว ดูกรนายสารถี ท่านจงรู้อย่างนี้ ประโยชน์
                          โดยชอบของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จโดยแท้ เราเป็นผู้มีพรหมจรรย์
                          อันสำเร็จแล้ว เราออกบวชแล้ว เป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ.
             [๔๐๗]    พระองค์เป็นผู้มีพระวาจาอันไพเราะ สละสลวยอย่างนี้ เพราะเหตุไร
                          พระองค์จึงไม่ตรัสในสำนักพระชนกและพระชนนีในกาลนั้น.
             [๔๐๘]    เราเป็นคนง่อยเปลี้ยเพราะไม่มีเครื่องต่อก็หาไม่  เป็นคนหนวกเพราะ
                          ไม่มีช่องหูก็หาไม่  เป็นคนใบ้เพราะไม่มีลิ้นก็หาไม่ ท่านอย่าเข้าใจว่า
                          เราเป็นใบ้  เราระลึกชาติก่อนที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราได้เสวย
                          ราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอันกล้าแข็ง  เราได้เสวย
                          ราชสมบัติในกาลนั้นยี่สิบปีแล้วต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ๘๐,๐๐๐ ปี เรา
                          กลัวจะต้องเสวยราชสมบัตินั้น  จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอชนทั้งหลาย
                          อย่าได้อภิเษกเราในราชสมบัติเลย เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่พูดในสำนัก
                          ของพระชนก และพระชนนีในกาลนั้น พระชนกทรงอุ้มเรา  ให้นั่ง
                          บนพระเพลา แล้วตรัสสั่งข้อความว่า  จงฆ่าโจรคนหนึ่ง จงขังโจร
                          คนหนึ่งไว้ในเรือนจำ จงเอาหอกแทงโจรคนหนึ่ง  แล้วราดด้วยน้ำแสบ
                          ที่แผล จงเสียบโจรคนหนึ่งบนหลาว พระชนกตรัสสั่งข้อความแก่มหาชน
                          ด้วยประการดังนี้ เราได้ฟังพระวาจาอันหยาบคาย ที่พระชนกตรัสนั้น จึง
                          กลัวต่อการเสวยราชสมบัติ เรามิได้เป็นใบ้ ก็ทำเหมือนเป็นใบ้ มิได้เป็น
                          คนง่อยเปลี้ย ก็ทำเหมือนเป็นคนง่อยเปลี้ย  เราแกล้งนอนเกลือกกลิ้งอยู่
                          ในอุจจาระปัสสาวะของตน  ชีวิตเป็นของฝืดเคือง เป็นของน้อย
                          ทั้งประกอบไปด้วยทุกข์ ใครเล่าอาศัยชีวิตนี้แล้ว พึงก่อเวรกับใครๆ ใคร
                          เล่าได้อาศัยชีวิตนี้แล้ว พึงก่อเวรกับใครๆ เพราะไม่ได้ปัญญา และเพราะ
                          ไม่เห็นธรรม ความหวังผลของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน
                          เราเป็นผู้มีพรหมจรรย์อันสำเร็จแล้ว  ดูกรนายสารถี  ท่านจงรู้อย่างนี้
                          ประโยชน์โดยชอบของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จโดยแท้ เราเป็นผู้
                          มีพรหมจรรย์อันสำเร็จแล้ว  เราออกบวชแล้วเป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ.
             [๔๐๙]    ข้าแต่พระราชโอรส แม้เกล้ากระหม่อม ก็จักบวชในสำนักของพระองค์
                          ขอพระองค์ได้โปรดตรัสอนุญาตให้เกล้ากระหม่อมบวชด้วยเถิด ขอพระ
                          องค์จงทรงพระเจริญ เกล้ากระหม่อมก็ชอบบวช.
             [๔๑๐]    ดูกรนายสารถี เรามอบรถให้ท่านไว้ ท่านจงเป็นผู้ไม่มีหนี้มา จริงอยู่
                          การบรรพชา ของบุคคลผู้ไม่มีหนี้ ท่านผู้แสวงหาทั้งหลายสรรเสริญ.
             [๔๑๑]    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ เมื่อใด เกล้ากระหม่อมได้ทำตามพระดำรัส
                          ของพระองค์แล้ว เมื่อนั้น เกล้ากระหม่อมทูลวิงวอนแล้ว ขอพระองค์
                          ได้ทรงโปรดกระทำตามคำของเกล้ากระหม่อม  ขอพระองค์จงประทับรอ
                          อยู่ ณ ที่นี้จนกว่าเกล้ากระหม่อมจะเชิญเสด็จพระราชามา เมื่อพระชนก
                          ของพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นแล้ว จะพึงทรงมีพระปีติโสมนัสเป็นแน่.
             [๔๑๒]    ดูกรนายสารถี เราจะทำตามคำที่ท่านกล่าวกะเรา แม้เราก็ปรารถนาจะได้
                          เห็นพระชนกของเราเสด็จมา ณ ที่นี้ เชิญท่านกลับไปเถิด ท่านได้ทูล
                          พระประยูรญาติด้วยก็เป็นความดี ท่านเป็นผู้อันเราสั่งแล้ว พึงกราบทูล
                          ถวายบังคมพระชนนีและพระชนกของเรา.
             [๔๑๓]    นายสารถีจับพระบาทของพระโพธิสัตว์ และกระทำประทักษิณแล้ว ขึ้น
                          รถบ่ายหน้าเข้าไป ยังพระทวารพระราชวัง.
             [๔๑๔]    พระราชชนนีทอดพระเนตรเห็นรถเปล่า  นายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว
                          ทรงกรรแสง มีพระเนตรชุ่มด้วยน้ำอัสสุชล ทอดพระเนตรดูนายสารถี
                          นั้นอยู่ ทรงเข้าพระทัยว่านายสารถีฝังลูกของเราเสร็จแล้วกลับมา ลูก
                          ของเราอันนายสารถีฝังในแผ่นดิน ถมแผ่นดินแล้วเป็นแน่ ศัตรูทั้งหลาย
                          ย่อมพากันยินดี  คนมีเวรทั้งหลายย่อมพากันอิ่มใจแน่แท้ เพราะเห็นนาย
                          สารถีกลับมา เพราะนายสารถีฝังลูกของเรา พระราชชนนีทอดพระเนตร
                          เห็นรถเปล่า  และนายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว จึงทรงกรรแสง มีพระเนตร
                          ชุ่มด้วยน้ำอัสสุชล  ตรัสถามนายสารถีระร่ำระรักว่า ลูกของเราเป็นใบ้
                          หรือ เป็นง่อยเปลี้ยจริงหรือ ลูกของเราขณะเมื่อท่านจะฝังในแผ่นดิน พูด
                          อะไรบ้างหรือเปล่า  ดูกรนายสารถี ขอได้บอกเนื้อความนั้นแก่เราเถิด ลูก
                          ของเราเป็นใบ้ ง่อยเปลี้ย  เมื่อท่านจะฝังลงแผ่นดิน กระดิกมือและเท้า
                          อย่างไร เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่เรา.
             [๔๑๕]    ขอเดชะพระแม่เจ้า ขอได้โปรดพระราชทานอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้า-
                          พระพุทธเจ้าขอกราบทูลตามที่ได้ยินและได้เห็นมา ในสำนักพระราชโอรส.
             [๔๑๖]    ดูกรนายสารถีผู้สหาย เราให้อภัยแก่ท่าน อย่ากลัวเลย  จงพูดไปเถิด
                          ตามที่ท่านได้ฟัง หรือได้เห็นมาในสำนักพระราชโอรส.
             [๔๑๗]    พระราชโอรสนั้น มิได้ทรงเป็นใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย มีพระวาจาสละ-
                          สลวย ทราบว่า พระองค์ทรงกลัวต่อการครองราชสมบัติ จึงได้ทรง
                          กระทำการลวงเป็นอันมาก พระองค์ทรงระลึกถึงชาติก่อนที่พระองค์ได้
                          เสวยราชสมบัติได้ พระองค์ได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว  ต้องไป
                          ตกนรกอันกล้าแข็ง  พระองค์ได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้น ๒๐ ปี   แล้ว
                          ต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ๘๐๐๐๐  ปี พระองค์ทรงกลัวจะต้องเสวยราช-
                          สมบัตินั้น จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอชนทั้งหลายอย่าอภิเษกเราใน
                          ราชสมบัติเลย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสในราชสำนัก ของ
                          พระชนกและพระชนนีในกาลนั้น พระราชโอรสทรงสมบูรณ์ด้วยอังคา-
                          พยพ มีพระรูปสมบัติงดงามสมส่วน มีพระวาจาสละสลวย  มีพระ
                          ปัญญาเฉียบแหลม ทรงสถิตอยู่ในทางสวรรค์ ถ้าพระแม่เจ้าทรงปรารถนา
                          พระราชโอรสของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลเชิญเสด็จพระแม่เจ้า
                          เสด็จไปให้ถึงสถานที่ ซึ่งพระเตมีย์ราชโอรสประทับอยู่เถิด พระพุทธ-
                          เจ้าข้า.
             [๔๑๘]    เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียมรถ จงเทียมม้า จงผูกเครื่องประดับช้าง จง
                          กระทั่งสังข์และบัณเฑาะว์ จงตีกลองหน้าเดียว  จงตีกลองสองหน้า
                          และรำมะนาอันไพเราะ  ขอชาวนิคม จงตามเรามา เราจักไปให้โอวาท
                          พระราชโอรส นางสนม พวกกุมาร  พวกพ่อค้า และพวกพราหมณ์
                          จงรีบตระเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทพระราชโอรส พวกกองพลช้าง
                          กองพลม้า กองพลรถและกองพลราบ จงรีบเทียมยาน เราจักไปให้
                          โอวาทพระราชโอรส ชาวชนบท และชาวนิคม จงมาพร้อมกัน จงรีบ
                          ตระเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทพระราชโอรส.
             [๔๑๙]    พวกสารถี จูงม้าที่เทียมรถและม้าสินธพ ซึ่งเป็นพาหนะว่องไว  มายัง
                          ประตูพระราชวัง  แล้วกราบทูลว่า ม้าทั้งสองนี้เทียมไว้เสร็จแล้วพระเจ้าข้า.
             [๔๒๐]    ม้าอ้วนไม่มีความว่องไว ม้าผอมไม่มีเรี่ยวแรง จงเว้นม้าผอมและม้า
                          อ้วนเสีย เลือกเทียมแต่ม้าที่สมบูรณ์.
             [๔๒๑]    ลำดับนั้น พระราชารีบเสด็จขึ้นประทับสินธพ อันเทียมแล้ว ได้ตรัส
                          กับนางชาววังว่า จงตามเรามาทุกคน พระราชาตรัสสั่งว่า จงตระเตรียม
                          เครื่องปัญจราชกกุธภัณฑ์ คือ พัดวาลวีชนี อุณหิส พระขรรค์ เศวต-
                          ฉัตร และฉลองพระบาททอง ให้ขนขึ้นรถไปด้วย ลำดับนั้นแล พระ
                          ราชาตรัสสั่งให้นายสารถีนำทางเสด็จเคลื่อนขบวนเข้าไปถึงสถานที่ ที่
                          พระเตมีย์ ราชฤาษีประทับอยู่โดยพลัน.
             [๔๒๒]    ส่วนพระเตมีย์ราชฤาษี  ทอดพระเนตรเห็นพระชนกนาถกำลังเสด็จมา
                          ทรงรุ่งเรืองด้วยพระเดชานุภาพ ทรงแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์  จึงถวาย
                          พระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ทรงปราศจากพระโรคาพาธหรือ ทรง
                          พระสำราญดีหรือ ราชกัญญาทั้งปวง และโยมพระมารดาของอาตมภาพ
                          ไม่มีพระโรคพาธหรือ.
             [๔๒๓]    ดูกรพระลูกรัก ดิฉันไม่มีโรคาพาธ สุขสำราญดี พระราชกัญญาทั้งปวง
                          และโยมพระมารดาของพระลูกรักไม่มีโรคาพาธ.
             [๔๒๔]    ขอถวายพระพร มหาบพิตรไม่เสวยน้ำจัณฑ์ หรือ ไม่ทรงโปรดปราน
                          น้ำจัณฑ์หรือ พระหฤทัยของมหาบพิตรทรงยินดีในสัจจะ ในธรรม
                          และในทานหรือ.
             [๔๒๕]    ดูกรพระลูกรัก ดิฉันไม่ดื่มน้ำจัณฑ์ ไม่โปรดปรานน้ำจัณฑ์ ใจของดิฉัน
                          ยินดีในสัจจะ ในธรรมและในทาน.
             [๔๒๖]    ขอถวายพระพร พาหนะมีม้าเป็นต้นของมหาบพิตรที่เขาเทียมแล้วไม่มี
                          โรคหรือ นำอะไรๆ ไปได้หรือ มหาบพิตรไม่มีพยาธิที่เข้าไปแผดเผาพระ
                          สรีระแลหรือ.
             [๔๒๗]    ดูกรพระลูกรัก พาหนะมีม้าเป็นต้นของดิฉันที่เทียมแล้ว ไม่มีโรค นำ
                          อะไรๆ ไปได้ ดิฉันไม่มีพยาธิเข้าไปแผดเผาสรีระ.
             [๔๒๘]    ขอถวายพระพร ปัจจันตชนบทของมหาบพิตรยังเจริญดีอยู่หรือ คาม-
                          นิคมในท่ามกลางรัฐสีมาของมหาบพิตรยังแน่นหนาดีหรือ ฉางหลวง
                          และท้องพระคลังของมหาบพิตรยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือ.
             [๔๒๙]    ดูกรพระลูกรัก  ปัจจันตชนบทของดิฉันยังเจริญดีอยู่ คามนิคมในท่าม
                          กลางรัฐสีมาของดิฉันยังแน่นหนาดี  ฉางหลวงและท้องพระคลังของ
                          ดิฉันทั้งหมดยังบริบูรณ์ดี.
             [๔๓๐]    ขอถวายพระพร มหาบพิตรเสด็จมาดีแล้ว  มหาบพิตรเสด็จไม่ร้าย ขอ
                          ราชบุรุษทั้งหลายจงจัดตั้งบัลลังก์ถวายให้พระราชาประทับเถิด.
             [๔๓๑]    ขอเชิญประทับนั่ง ณ เครื่องลาดใบไม้ที่เขาปูลาดไว้ถวายมหาบพิตร ณ
                          ที่นี้ จงทรงตักน้ำจากภาชนะนี้ล้างพระบาทของมหาบพิตรเถิด.
             [๔๓๒]    ขอถวายพระพร ใบหมากเม่าของอาตมภาพนี้เป็นของสุก (นึ่งแล้ว) ไม่
                          มีรสเค็ม  มหาบพิตรผู้เป็นแขกของอาตมภาพเสด็จมาถึงแล้วเชิญเสวย
                          เถิด ขอถวายพระพร.
             [๔๓๓]    ดิฉันไม่บริโภคใบหมากเม่า ใบหมากเม่านี้ไม่ใช่อาหารสำหรับดิฉัน ดิฉัน
                          บริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ซึ่งปรุงด้วยมังสะอันสะอาด.
             [๔๓๔]    ความอัศจรรย์ย่อมแจ่มแจ้งกะดิฉัน เพราะได้เห็นพระลูกรักอยู่ในที่ลับแต่
                          ผู้เดียว บริโภคอาหารเช่นนี้ เหตุไรผิวพรรณ (ของผู้บริโภคอาหารเช่นนี้)
                          จึงผ่องใส.
             [๔๓๕]    ขอถวายพระพร อาตมภาพนอนผู้เดียวบนเครื่องลาดใบไม้ที่ปูลาดไว้แล้ว
                          เพราะการนอนผู้เดียวนั้น ผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส ใครๆ มิได้
                          ตั้งการรักษาทางราชการที่ต้องผูกเหน็บดาบสำหรับอาตมภาพ  เพราะการ
                          นอนผู้เดียวนั้นผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส ขอถวายพระพร อาตม-
                          ภาพไม่ได้เศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ไม่ปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มา
                          ถึง  ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะเหตุนั้น ผิว
                          พรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส  คนพาลทั้งหลายย่อมเหือดแห้ง เพราะ
                          ปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง  เพราะเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว
                          เปรียบเหมือนไม้อ้ออันเขียวสด ถูกถอนขึ้นทิ้งไว้ที่แดด ฉะนั้น.
             [๔๓๖]    ดูกรพระลูกรัก ดิฉันขอมอบกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กอง
                          พลราบ กองโล่ห์และพระราชนิเวศน์อันเป็นสถานที่รื่นรมย์แก่พระลูกรัก
                          ดิฉันขอมอบนางสนมกำนัลผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง  ขอ
                          พระลูกรักจงปกครองนางสนมกำนัลเหล่านั้น  จงเป็นพระราชาของดิฉัน
                          ทั้งหลาย  หญิง ๔ คน เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษา
                          ดีแล้วในหน้าที่ของหญิง จักยังพระลูกรักให้รื่นรมย์ในกาม พระลูกรัก
                          จักทำประโยชน์อะไรในป่า  ดิฉันจักนำราชกัญญาจากพระราชาเหล่าอื่นผู้
                          ประดับประดาดีแล้ว  พระลูกรักให้พระโอรสเกิดในหญิงเหล่านั้นหลาย
                          คนแล้วภายหลังจึงบวชเถิด พระลูกเจ้ายังทรงพระเยาว์หนุ่มแน่น ตั้งอยู่
                          ในปฐมวัย พระเกศายังดำสนิท จงเสวยราชสมบัติก่อนเถิด พระลูก
                          เจ้าจงทรงพระเจริญ จักกระทำประโยชน์อะไรในป่า.
             [๔๓๗]    ขอถวายพระพร คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
                          ควรจะเป็นคนหนุ่ม เพราะว่าการบวชของคนหนุ่ม ท่านผู้แสวงหาคุณ-
                          ธรรมมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญคนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้
                          ประพฤติพรหมจรรย์ควรจะเป็นคนหนุ่ม อาตมภาพจักประพฤติพรหม-
                          จรรย์ อาตมภาพไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ อาตมภาพเห็นเด็กชายของ
                          ท่านทั้งหลาย ผู้เรียกมารดาบิดา ซึ่งเป็นบุตรที่รักอันได้มาด้วยยากยิ่งนัก
                          ยังไม่ทันถึงแก่ก็ตายเสียแล้ว  อาตมภาพเห็นเด็กหญิงของท่านทั้งหลาย
                          ซึ่งสวยสดงดงามน่าดูน่าชม มีอันสิ้นไปแห่งชีวิตเหมือนหน่อไม้ไผ่ที่ถูก
                          ถอน ฉะนั้น จริงอยู่ จะเป็นชายหรือหญิงก็ตามแม้จะยังหนุ่มสาวก็ตาย
                          เพราะเหตุนั้น ใครเล่าจะพึงวางใจในชีวิตนั้นว่า  เรายังเป็นหนุ่มสาว
                          อายุของคนเป็นของน้อยนัก เพราะวันคืนล่วงไปๆ เปรียบเหมือนอายุ
                          ของฝูงปลาในน้ำน้อย  ความเป็นหนุ่มสาวในวัยนั้นจักทำอะไรได้
                          สัตว์โลกถูกครอบงำและถูกห้อมล้อมอยู่เป็นนิตย์  เมื่อสิ่งที่ไม่เป็น
                          ประโยชน์เป็นไปอยู่ มหาบพิตรจะอภิเษกอาตมภาพในราชสมบัติทำไม.
             [๔๓๘]    สัตว์โลกอันอะไรครอบงำไว้ และอันอะไรห้อมล้อมไว้ อะไรชื่อว่าสิ่ง
                          ไม่เป็นประโยชน์เป็นไปอยู่ ดิฉันถามแล้ว  ขอพระลูกเจ้าจงบอกข้อนั้น
                          แก่ดิฉัน.
             [๔๓๙]    สัตว์โลกอันความตายครอบงำไว้ อันความแก่ห้อมล้อมไว้ วันคืนชื่อว่าสิ่ง
                          ไม่เป็นประโยชน์เป็นไป มหาบพิตรจงทรงทราบอย่างนี้ ขอถวายพระพร
                          เมื่อด้ายที่เขากำลังทอ ช่างหูกทอไปได้เท่าใด ส่วนที่จะต้องทอก็ยัง
                          เหลืออยู่น้อยเท่านั้น แม้ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น แม้น้ำ
                          ที่เต็มฝั่งย่อมไม่ไหลไปสู่ที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่
                          กลับมาสู่ความเป็นเด็กอีก ฉันนั้น แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมพัดพาเอาต้นไม้
                          ที่เกิดอยู่ริมฝั่งให้หักโค่นไป ฉันใด สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัด
                          พาไป ฉันนั้น.
             [๔๔๐]    ดูกรพระลูกรัก ดิฉันขอมอบกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กอง
                          พลราบ กองพลโล่ห์ และพระราชนิเวศน์อันเป็นสถานที่รื่นรมย์แก่พระ
                          ลูกรัก ดิฉันขอมอบนางสนมกำนัลผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง
                          ขอพระลูกจงปกครองนางสนมกำนัลเหล่านั้น  จงเป็นพระราชาของดิฉัน
                          ทั้งหลาย  หญิง ๔ คน เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษา
                          ดีแล้วในหน้าที่ของหญิง จักยังพระลูกรักให้รื่นรมย์ในกาม พระลูกรัก
                          จักทำประโยชน์อะไรในป่า  ดิฉันจักนำราชกัญญาจากพระราชาเหล่าอื่น ผู้
                          ประดับประดาดีแล้ว  มาให้แก่พระลูก  พระลูกรักให้พระโอรสเกิดใน
                          หญิงเหล่านั้นหลายคนแล้ว ภายหลังจึงบวชเถิด พระลูกเจ้ายังทรงพระ-
                          เยาว์หนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัยพระเกศายังดำสนิท จงเสวยราชสมบัติ
                          ก่อนเถิด พระลูกเจ้าจงทรงพระเจริญ จักกระทำประโยชน์อะไรในป่า ดูกร
                          พระลูกรัก ดิฉันขอมอบฉางหลวง พระคลัง  พาหนะ พลนิกายและนิเวศน์
                          อันน่ารื่นรมย์ แก่พระลูกรัก พระลูกรักจงแวดล้อมด้วยราชกัญญาอันงด
                          งามเป็นมณฑล จงห้อมล้อมด้วยหมู่นางทาสี เสวยราชสมบัติก่อนเถิด
                          พระลูกรักจงทรงพระเจริญ จักกระทำประโยชน์อะไรในป่า.
             [๔๔๑]    มหาบพิตรจะให้อาตมภาพเสื่อมไปเพราะทรัพย์ทำไม บุคคลจักตายเพราะ
                          ภรรยาทำไม ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นหนุ่มสาวซึ่งต้องแก่ ทำไมจะ
                          ต้องให้ชราครอบงำในโลกพิศวาสอันมีชราและมรณะเป็นธรรมดานั้น จัก
                          เพลิดเพลินไปทำไม จะเล่นหัวไปทำไม จะยินดีไปทำไม จะมีประโยชน์
                          อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์  จะมีประโยชน์อะไรด้วยลูกและเมียแก่
                          อาตมภาพ อาตมภาพหลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูก ขอถวายพระพร มัจจุราช
                          ย่อมไม่ย่ำยีอาตมภาพซึ่งรู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว
                          จะยินดีไปทำไม  จะประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ ผลไม้ที่สุก
                          แล้ว  ย่อมเกิดภัยแก่การหล่นเป็นนิตย์ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้ว
                          ย่อมมีภัยแต่ความตายเป็นนิตย์  ฉันนั้น คนเป็นอันมากได้พบกันในเวลา
                          เช้าพอเวลาเย็นก็ไม่เห็นกัน คนเป็นอันมากได้พบกันในเวลาเย็น พอ
                          ถึงเวลาเช้าก็ไม่ได้เห็นกัน  ควรรีบทำความเพียรเสียแต่ในวันนี้ทีเดียว
                          ใครเล่าจะพึงรู้ความตายว่าจะมีในวันพรุ่งนี้  เพราะความผัดเพี้ยนกับ
                          มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นไม่มีเลย  โจรทั้งหลายย่อมปรารถนาทรัพย์
                          อาตมภาพเป็นผู้พ้นจากเครื่องผูก ขอถวายพระพร เชิญมหาบพิตรเสด็จ
                          กลับเถิด อาตมภาพไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ.
จบ เตมิยชาดกที่ ๑

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ บรรทัดที่ ๒๖๐๗ - ๒๘๗๐. หน้าที่ ๑๐๒ - ๑๑๒. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=28&A=2607&Z=2870&pagebreak=0              ศึกษาอรรถกถาชาดกนี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=394              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๘ http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_28

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า ในกรณี :- บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com
   

บัว4เหล่า

อ่านแล้วเข้าใจยังไง เป็นบัวเหล่าไหน ถ้าตื้อ แล้วไร้สาระเข้าไม่ถึง ไม่จ้า แล้วไม่สังเวชใจ ก็ ใต้น้ำลงไปล่ะ
อ่านเลย วันละ 9 รอบ 9 วัน ถ้าบัวปริ่มน้ำ จะพ้นน้ำทันที ถ้าบัวใต้น้ำ อ่าน ว้นละ 9 รอบ 7ปี พ้นน้ำแน่ๆ ถ้าบัวในตม อ่าน วัน9รอบ 7 ชาติ ที่เกิดเป็น มนุษย์ พ้นเหมือนกัน ส่วนเราพ้นเหมือนกันนานแล้ว โรงบาลสงขลา พ้นไปศรีธัญญา กลับ มาที่ สภาวะจิตเดิม ค่าเดิม ที่ตั้งค่าจากโรงงาน ไ้ด้ เพราะก่อนรีเซ็ต สำรองข้อมูลจิตตัวเองไว้แล้ว ทำให้ได้ๆๆ 55555 กรูบ้าแล้วเว้อยๆๆๆ  ส.หลก ส.หลกจริง ส.อ่านหลังสือ