ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

นิทานปลอมคำ

เริ่มโดย คุณหลวง, 23:32 น. 13 ต.ค 56

คุณหลวง

นิทานปลอมคำ ตอนที่๑ โคโลราโด

    จิมมี่ อัสเชอร์ เป็นนักออกแบบมือฉมังของเชฟโรเล็ตมาหลายปี ชีวิตวัยเด็กของเขาอยู่กับท้องไร่ท้องนาและฟาร์มอันกว้างใหญ่ในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ความประทับใจแรกที่มีต่อเชฟโรเล็ตเกิดขึ้นเมื่อพ่อของเขาซื้อกระบะเชฟโรเล็ตมาใช้งาน ความสมบุกสมบัน ทนทาน และลุยได้ทุกที่ทำให้เด็กน้อยจิมมี่ประทับใจทุกครั้งที่นั่งรถไปกับพ่อ

    แม้เวลาว่างๆเขาชอบมานั่งดูรถคันนั้นนานๆโดยไม่เบื่อ และความตั้งใจแรงกล้าเกิดขึ้นเมื่อเขาว่าเขาจะต้องเป็นหนึ่งในผู้สรรค็สร้างกระบะให้เชฟโรเล็ตให้จงได้

    เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีกว่าเขาจะเข้ามาทำงานด้านออกแบบแก่เชฟฯได้ ด้วยความมุ่งมั่นเรียนอย่างจริงจัง และศึกษาเรื่องราวของเชฟโรเล็ตอย่างแตกฉานราวเจ้าของ เขาจึงผ่านการสัมภาษณ์ได้ไม่ยากเลย

    แต่สิ่งที่น้อยคนจะสนใจในเรื่องของเขาคือเรื่องที่เขาชอบท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปทั่วโลก และเขชากลับชอบท่องเที่ยวกับจักรยานมากกว่ารถยนต์ ซึ่งเรื่องนี้เขายอมรับว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาชอบที่จะทนเหนื่อย ร้อน ลำบากกับจักรยานมากกว่าขี่รถยนต์ที่เขารัก แต่เหตุผลที่ง่ายที่สุดเปห็นจะบอกได้ว่า เขาต้องการอิสระที่เบาที่สุด(เข้าใจได้ไหมนิ ทำไมไม่เดินซะเลยล่ะพวก)

    หลายปีก่อน จิมมี่เข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย เขาซื้อจักรยานเสือภูเขาขี่เที่ยวมาเรื่อยๆ เขาประทับใจกับพัทลุงเป็นพิเศษ เขาว่ามันดูยิ่งใหญ่ดี และโล่งอิสระ เพราะพื้นที่ที่ราบกว้างของท้องนา ลิบๆไปเป็นภูเขา ดูแล้วคล้ายสามารถวิ่งได้อย่างเสรีสุดๆ

    ทั้งที่ความจริงมันคล้ายกับทิวทัศน์ทางภาคกลาง อีสาน แต่เขาว่าภาคใต้มีอากาศที่เขาถูกใจกว่าเท่านั้นเอง

    วันนั้น เขาปั่นจักรยานเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งของจังหวัดพัทลุง ข้าวในานเริ่มแตกกอต่อยอด เขียวงามนัก เขาปั่นจักรยานไปหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง ทุกคนที่นั่มองเขาอย่างไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้มาทำไม แต่ไม่มีใครถามอะไรเขาเลย(ถามพรื้อ..ใค๋แหล่งเป็น)

    ขณะที่เขาเองกำลังตัดสินใจว่าจะเริ่มทำความเข้าใจกับคนที่นี่ยังไง เขาก็ได้ยินเสียงดังลั่นว่า

    "โคล๋งนาโด้ๆๆๆๆๆ"

    หันไปตามเสียง เขาเห็นเด็กชายวัยก่อนสิบขวบวิ่งมาอย่างว่องไว กระฉับกระเฉง ปราดเปรียวพอที่จะวิ่งกระโดดในท้องนาได้โดยไม่มีข้าวเสียหายแม้แต่น้อย

    แล้วมีผู้ใหญ่วิ่งมาจากหลังบ้าน ถามตอบกันลั่นก่อนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่วิ่งไปอย่างเปรียว ลุยท้องนาโดยไม่มีข้าวเสียหายแม้แต่น้อย

    นักออกแบบแห่งเชฟฯประทับใจกับภาพที่เห็นมาก วิญญาณเชฟฯที่อยู่ในร่างเขาพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกแห่งการทะยานไปอย่างเสรี แข็งแกร่งสุดๆของตน พร้อมกันนั้น กลิ่นอายทุ่งนาของบ้านเกิดก็คล้ายลอยมาผสมรวมกันกับที่นี่

    เขาเห็นภาพกระบะเชฟฯตัวใหม่ทะยานไปกับผู้ใหญ่และเด็กคู่นั้นทันที

    และเขาก็ออกแบบโคโลราโดออกมาในที่สุด (ตอนแรกจะใช้ชื่อว่า โคโลนาโด ตามที่เขาได้ยินเด็กคนนั้นตะโกน แต่ที่ประชุมเห็นว่าน่าจะใช้สัญญลักษณ์แห่งอเมริกา ในที่สุดก็สรุปลงที่ โคโลราโด ซึ่งจิมมี่เองก็พอใจยิ่ง เพราะที่นั่น บ้านเกิดของเขา และมันไม่ทิ้งกลิ่นอายของเด็กคนนั้น

    โคโลราโด ตอบสนองได้ทุกอย่างอย่างที่จิมมี่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จิมมี่รู้สึกว่ามันต้องเปลี่ยน ไม่ใช่เปลี่ยนตามการเปลี่ยนปกติ แต่มันเป็นเสียงเรียกจากจิตวิญญาณ

    เขาชวนเพื่อนนักออกแบบชาวบราซิลมาเที่ยวพัทลุงด้วยกัน

    เด็กคนนั้น โตเป็นหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ผิวคล้ำ วันนั้นเขาอยู่ในชุดนักศึกษาพาณิชย์ที่ดูดีมากๆ เขาจำจิมมี่ได้ดี แต่วันนี้ไม่ได้แค่มองหน้าฝรั่งหัวแดงที่มองเขาด้วยรอยยิ้มที่เขาเข้าใจยากแต่พูดกันไม่ได้อีกแล้ว เพราะเขาสามารถพูดอังกฤษ

    จิมมี่เล่าทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด เด็กหนุ่มหัวเราะหนักๆแล้วอธิบายว่า คำว่า โคล๋งนาโด้ที่ตนตะโกนนั้น แปลว่า โคที่พ่อเลี้ยงไว้แปดตัวมันหลุดลงไปกินข้าวในนา ตนไล่ไม่ไหวเลยวิ่งมาตามพ่อ

    จิมมี่และเพื่อนชาวบราซิลหัวเราะดังกว่าที่เด็กหนุ่มหัวเราะ แล้วว่า สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็สามารถเป็นต้นกำเนิดของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในโลกได้ แล้วถามความเห็นของเด็กหนุ่มเกี่ยวกับกระบะเชฟโรเล็ต

    "ดูดีมาก แข็งแกร่ง ดูทรหดมากๆ แต่มันไม่เหมาะกับคนไทย เพราะคนไทยไม่ได้ชอบแค่ความทนแข็งแกร่ง แต่มันต้องดูดีด้วย"
    "....คือถ้าผมขี่กระบะเชฟที่ในทุ่งบ้านผม มันก็จะดูสง่ามาก แต่หากขี่ไปในเมืองก็คล้ายผมขี่ความยเข้าเมืองนั่นเอง แม้มันจะดี แต่มันไม่ใช...."

    จิมมี่ และเพื่อนชาวบราซิลได้คำตอบของการออกแบบเชฟวี่ โคโลราโดใหม่ในนาทีนั้นเอง

   





ป.ล. นิทานปลอมคำนี้ เป็นเรื่องที่ผมแต่งเองโดยจินตนาการทั้งสิ้น มิได้มีเจตนาอื่นใดนอกจากขำๆล้อๆกันเท่านั้น หากมีความกระทบกระเทือนต่อตัวสินค้าประการใดแล้ว ผมขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับผม

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

pa_เฟี๊ยว


คุณหลวง

นิทานปลอมคำ  ตอนที่๒ ไม่แน่ใจเป็นพระ พออุจจาระเป็นลิงซะนี่

    การเข้าใจผิดนำมาซึ่งอะไรๆได้ตั้งหลายอย่างในโลกนี้ ว่ากันว่า...อืม...นึกชื่อไม่ออกแฮะ นักเดินทางที่ยิ่งใหญ่คนนึงของโลกน่ะ...ไปถึงออสเตรเลียแล้วเห็นจิงโจ้ ด้วยความไม่เคยพบไม่เคยเห็น เลยถามชาวพื้นเมืองว่านั่นตัวอะไร ชาวพื้นเมืองตอบว่า แกงการู จิงโจ้เลยได้ชื่อว่าแกงการู(Kangaroo)ในภาษาอังกฤษ แต่ความจริงแล้วคำว่าแกงการูนั้นแปลว่า ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด (มันคนละภาษากันโว้ย)

    ความจริงแล้วภาษาอังกฤษมิได้ร่ำรวยคำมากนัก จึงมักหยิบยืมมาจากนั่นจากนี่ ดัดแปลงแก้กันไปตามภาวะตน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของทุกภาษา แม้แต่ไทยเราก็เอาคำจากภาษาอื่นมาใช้มากมาย บาลี สันสกฤต เขมร ลาว ฯลฯ

    เนิ่นนานมาตั้งแต่สมัยที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักภาษาอังกฤษเท่าไหร่ ในหมู่บ้านหนึ่งใน(พื้นที่ปัจจุบัน)นครศรีธรรมราช มีนายหนังตะลุงชื่อดังคนหนึ่ง แกเป็นคนตลกโปกฮา(น่า..สัญญลักษณ์นายหนัง ไม่ตลกจะเป็นได้ไง เนาะ) แต่พูดจาตรงไปตรงมา รูปร่างค่อนข้างจะลงพุง แต่แข็งแรงชื่อว่า หนังช้วน เสียงเทวดา

    บ้านหนังช้วนอยู่ใกล้วัด แกสนิทกับทุกสิ่งทุกอย่างในวัด โดยเฉพาะเจ้าอาวาสซึ่งแกสงสัยว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล แกเลยแกล้งเคียงๆดูอาการอยู่เสมอๆ ซึ่งเจ้าอาวาสก็รู้ตัว แต่ท่านก็แกล้งเฉยๆเสีย เรื่องมันก็ไม่มีอะไรมากแค่หนังช้วนแกสงสัยว่าท่าน(ภาษาใต้ใช้เรียกเจ้าอาวาส)จะแอบกิ๊กกับชีก็เท่านั้น

    วันนั้น มีฝรั่งหัวแดงๆตาเขียวๆเดินเข้ามาในวัด คล้ายกับจะมาเที่ยว มาสำรวจหรืออะไรสักอย่าง แต่ไม่สามารถพูดกับใครได้ พอดีว่านายหนังใหญ่แกอยู่ แกเลยโชว์ความรู้ให้ชาวบ้านชาววัดเห็นความสามารถของนายหนังว่ามันต้องมีความรอบรู้อย่างไรเสียเลย แกเข้าไปชวนฝรั่งคุยแบบงูๆปลาๆ ภาษามือก็มาก และสิ่งที่ใช้มากที่สุดคือใช้มือเกาหัวแกรกๆ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ว่าฝรั่งนายนั้นมาเที่ยวเท่านั้น แกเลยยืดอกพกความภูมิใจอาสาพาเที่ยวทันที

    ฝรั่งทำท่าบอกว่าอยากเดินให้ทั่ววัด แกทำตาโต ก็วัดมันมีเป็นสองร้อยกว่าไร่ มิเดินกันตายรึไง แกเลยบอกว่า "มันไกลๆ"ฝรั่งก็ทำท่างง แกเอาหัวแม่มือชี้อกตัวเองแล้วว่า "ไอ บอก ยูว่า ไกล" ฝรั่งฟังแล้วยิ้มร่า เข้าใจทันทีเลย
    "โอ ยู อาร์ ไก๊" ยอดนายหนังพยักหน้าทันที "ใช่ๆไกลๆ" ฝรั่งเดินเข้าโอบบ่านายหนังกล่าวแท้งกิ้วเป็นการใหญ่

    พอเริ่มเดินทางเท่านั้นก็เป็นเรื่อง เพราะผ่านกุฏิท่านก่อน พอดีท่านนั่งอยู่ที่ระเบียง แม่ชี(ที่หนังช้วนแกว่ากิ๊กท่าน)กำลังถวายของอยู่ ฝรั่งไม่เคยเห็นพระ(มันผ่านประเทศไทยมานครฯได้ไงไม่เจอพระเลยวะ..หรือเจอแต่ไม่รู้จะถามใครมั้ง) ฝรั่งก็ถามทันทีพร้อมชี้มือไปที่ท่านเจ้าอาวาส หนังช้วนก็พอเข้าใจว่าฝรั่งถามว่าคนๆนี้เป็นใคร อะไร (บ้านเมืองมันคงไม่มีพระ แกคิดอย่างนั้น) ทำไมแต่วตัวประหลาดนัก แกได้ทีเลยตอบเสียงดังมากๆว่า
    "ชี......ฮิด....มั้ง......." ท่านเห็นเรื่องราวอยู่ ได้ยินนายหนังตอบอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าไอ้ช้วนเล่นแกอีกแล้ว ฝรั่งงง
    "มั้ง" ว่าแล้วชี้ไปยังท่าน นายหนังพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะ
    "มั้ง..กูก่ะไม่แน่ใจฮ่าๆๆๆ" พอหยุดหัวเราะแล้วแกก็แกล้งตะโกนถามแม่ชี "ทำไหร้นั้น"
    ฝรั่งก็ช่างเรียนรู้นัก ถามทันที พร้อมชี้ไปยังแม่ชี "นัน"
    นายหนังพยักหน้าไปอย่างตัดรำคาญ เอาวะ นันก็นัน

    แล้วแกก็พาฝรั่งเดินเที่ยวรอบวัดไปเรื่อยๆ คุยกันไปมา ถามมั่งตอบมั่ง ไม่ตอบมั่ง เกาหัวมั่ง หัวเราะมั่ง ไปเรื่อยจน(ไม่)รอบวัด(หรอกมั้ง) แล้วกลับมาใกล้ถึงกุฏิท่านอีกแล้ว (อ้อ..ลืมบอก วัดนี้เป็นวัดสายอรัญญิก เลยยังคงป่าอุดมสมบูรณ์ไว้ได้อย่างดี) ก่อนถึงกุฏิมีฐาน(ภาษาพระ แปลว่าส้วม) ก็พอดีท่านเจ้าอาวาสเดินเข้าไป ปิดประตูโครมแล้วมีเสียงปู้ดป้าดแพร่ดๆออกมา หนังช้วนหัวเราะลั่น ฝรั่งก็ถาม
    "มั้ง..ขี้"แกตอบเสียงดังฟังชัด น้ำเสียงยียวนให้ท่านเข้าใจ มือชี้ไปยังส้วมแล้วหัวเราะก้าก ฝรั่งมองตามมือนายหนังไปก็เห็นลิงอยู่บนต้นไม้ข้างส้วม มันทำหน้าเหรอหรามองมายังคนหัวซังข้าวอย่างสงสัย ฝรั่งร้อง
    "โอ..มังขิ่" แล้วหัวเราะด้วย ท่านเจ้าอาวาสเปิดประตูพรวดออกมามองหน้านายหนังอย่างเอาเรื่อง
    "มั้งขี้"นายหนังไม่รู้สึกรู้สา
    "มั้งขิ่" ฝรั่งหันมาถามหนังช้วน พร้อมกับชี้ไปที่ลิง นายหนังดันชี้แกล้งไปตรงท่านแล้วตอบ
    "มั้งขี้...เย่ดๆๆๆๆๆ"
    "โอ้ เยส มั้งขิ่ๆ" ฝรั่งเข้าใจแฮะ (เสียงเพี้ยนไปตามลิ้นใครก็ลิ้นใครนะครับ)

    แต่ท่านไม่เข้าใจด้วย โกรธจัดถึงกับคว้าท่อนไม้เขวี้ยงใส่ โดนหัวนายหนังจังเบอร์ ถึงกับร้องลั่นเอามือกุมหัว ฝรั่งตกใจแต่ไม่เข้าใจถลันเข้ามาดู นายหนังผลักออก
    "แลไหร้ หัวกุโบ่งนิ" นายหนังว่าเสียงดัง ฝรั่งยังดื้อเข้ามาจะขอดูให้ได้ ยอดนายหนังทั้งเจ็บทั้งเสียหน้า นึกว่าฝรั่งไม่เข้าใจ ตะโกนลั่นพร้อมปัดให้ถอยไป"ไม่ต้องแล หว่าหัวกูโนนิ โนๆๆๆๆๆๆ"
    "โน" ฝรั่งพยักหน้าแล้วถอยออกไป เข้าใจว่าแกบอกไม่(ต้องยุ่ง)

    แท้แล้ว ฝรั่งคนนี้เป็นนักเดินทางที่ได้สร้างสรรค์ศัพท์ใหม่ๆแก่ภาษาอังกฤษหลายคำ อย่างคราวนี้

1.   Giude  มัคคุเทศก์
2.   Monk  พระ
3.   Nun  แม่ชี
4.   Monkey  ลิง
5.   Yes  ใช่
6.   No  ไม่

เห็นไหมครับ เพราะความเข้าใจผิดแท้ๆ ฝรั่งเลยมีคำเรียกพระเรียกชีเรียกลิงเรียกไก่ เอ๊ย ไก๊ด์ แล้วก็ใช่ก็ไม่(5555)นิทานปลอมคำเรื่องนี้ก็จบลงด้วยประการฉะนี้ แล ส.ฉันเอง ส.บ๊ายบาย
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ต้นโมกข์

ไม่ได้เป็นพ่อค้ามืออาชีพ
ขายของเฉพาะที่ไม่ได้ใช้
ค้าขายจริงใจไม่หมกเม็ด
ต่อรองราคาได้แต่อย่าแรง

คุณหลวง

ขอบคุณครับ เรื่องต่อจากนี้ ต้องรอนานครับ มีเวลาเข้ามาน้อยมาก

บางท่านถามว่า
พระท่านโกรธเมื่อนายนังตอบฝรั่งเรื่องชี(ชี..ฮิด..) พี่ท่านเข้าใจนะครับ มันผวนระสาคนใต้น่ะครับ

ส.บ๊ายบาย
สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

นิทานปลอมคำ ตอนที่ ๓ บางกอกแบ่งคอก

    ท่านทูตฝรั่งที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยในระยะแรกๆนั้น เขาไม่ได้เรียกกรุงเทพฯว่าบางกอกนะครับ
เขาเรียกเหมารวมว่าสยามทั้งสิ้น

    จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านทูตประเทศหนึ่ง(ไม่ขอบอกนามประเทศ)เดินเท้าชมบรรยากาศกรุงสยาม แก
ก็เดินไปนึกไปว่าคนต่างชาติอย่้างแกนี้ท่าจะโง่สักหน่อยแล้วที่เรียกรวมสยามไปหมด เพราะแต่ละที่มัน
ต้องมีชื่อย่อยลงมา แม้กระทั่งคน ยังเรียกแยกเป็น มือ เท้า ท้อง หัว ฯลฯเลย

    แกก็เลยตั้งใจถามชาวบ้านดูให้รู้สักทีวันนี้แหละ พอดีไปเจอชายผู้หนึ่งกำลังใช้ไม้ไผ่ยาวๆสอดไปตามร่อง
ของคอกวัวอยู่ แกเลยเข้าไปถาม

    ".........(ภาษาประเทศแกที่แปลว่าที่นี่เรียกว่าอะไร)"
    ชายชาวนาไทย ทำหน้างงๆ เมื่อโดนถามย้ำ ชาวนาแกก็เลยบอกงานที่แกทำอยู่(คือเข้าใจว่าฝรั่งถามว่าทำอะไร)

    "แบ่งคอกๆ"
    "แบงค่อก" ฝรั่งถามย้ำ แกก็พยักหน้าอือๆ

    นับแต่นั้นเป็นต้นมา ฝรั่งก็เรียกกรุงเทพฯว่า แบงคอก(Bangkok) มาจนทุกวัน มันบังเอิญมาพ้องกับคนไทยเรียกว่าบางกอกพอดี มันเลยกลบเกลื่อนที่มาที่แท้จริง(อิอิ)

    ออ...ชาวนาคนนั้น ใช้ไม้ไผ่สอดร่องเพื่อกั้นคอกให้ควายที่เจ็บอยู่แยกส่วนกับควายตัวอื่นน่ะครับผม

สะบายดี... วันชัทดาวน์แบ่งคอกครับผม
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅน

.

..เพิ่งเห็นกระทู้นี้ ผ่านไปได้อย่างไร

ค่อยกลับมาอ่านอย่างละเอียดอีกที ขอบคุณท่านเจ้าคุณหลวงครับ ส.สู้ๆ ส.อ่านหลังสือ

คุณหลวง

อ้างจาก: ฅ ฅน เมื่อ 21:12 น.  26 ม.ค 57
.

..เพิ่งเห็นกระทู้นี้ ผ่านไปได้อย่างไร

ค่อยกลับมาอ่านอย่างละเอียดอีกที ขอบคุณท่านเจ้าคุณหลวงครับ ส.สู้ๆ ส.อ่านหลังสือ

    อ่านแล้วอย่าสรุปว่าเป็นเรื่องจริงเน้อครับ
นิทานปลอมคำ คือ นิทานแต่งปลอมที่มาของคำนั่นเองครับ สนุกๆล้อๆตามประสาจิตไม่สุขของคุณหลวงน่ะครับผม

สะบายดี...ในวันขะแมร์แต่งชุดขาวมาหนุนเลือกตั้งครับผม ส.ก๊ากๆ ส.ก๊ากๆ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

นิทานปลอมคำ ตอนที่ ๔ สาโทแม่ไวน์

    มาต่อกันเรื่องนายหนังช้วนที่ทำให้ลิงกับพระมีความสัมพันธ์สืบเนื่องกันในภาษาอังกฤษนะครับ เพราะว่าแกไม่ใช่นายหนังบ้านนอกธรรมดา แต่แกมีวาสนากับชาวต่างประเทศมิน้อยเลยทีเดียว เพราะว่าหลังจากนั้นประมาณปีกว่าๆ หนังช้วนก็มีโอกาสต้อนรับชาวต่างประเทศอีกคนที่มาเที่ยวแถวบ้านแก

    แต่คราวนี้ ไม่ได้มาเที่ยววัด มาสนุกๆตามเรื่องราวที่ได้ยินจากฝรั่งคนก่อนหน้านั้นเอง(ฝรั่งสองคนนี้อาจจะเป็นเพื่อนกันกระมังครับ) หนังช้วนแกก็สนุกตามประสาของแก งูๆปลาๆชี้มือชี้ไม้ไปตามเรื่อง ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ไปกันได้ดีแฮะ

    คราวนี้ หนังช้วนพาฝรั่งนายนี้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนแกครับ บ้านลุงเคลือบ(วันหน้าค่อยเล่าที่มาของสองคนนี้ให้ฟังนะครับ ประวัติน่าสนใจดี) ลุงเคลือบแกเผากระเบื้อง ปั้นหม้อ ปั้นถ้วยฃามขาย แต่กระเบื้องของแกขึ้นชื่อมากเพราะเงางามมากกว่าของใครๆ แกผสานเทคนิคจากมันสมองและความรู้จากเมีย( เมียแกเป็นคนโคราช ตระกูลมีอาชีพนี้มาหลายชั่วคน) จนขึ้นชื่อไปถึงเมืองหลวง บ้านคหบดีมีตังค์ ต้องมาสั่งกระเบื้องจากแกทั้งสิ้น จากกระเบื้องลุงเคลือบ เลยกร่อนกลายเป็น"กระเบื้องเคลือบ"มาจนทุกวันนี้แล

    ลุงเคลือบมีอาชีพเสริมคือทำเหล้า รสเหล้าแกลือกันว่าเยี่ยมราวกับนำ้อมฤตเลยทีเดียว แต่วันนั้น เมื่อแกยกมาเลี้ยงฝรั่งตามคำขอของเพื่อนช้วน ฝรั่งคงไม่รู้จักน้ำอมฤต เลยบ้วนที้งแทบไม่ทัน หน้าแดงหูแดงขึ้นมาทันที ลุงเคลือบเลยตะโกนให้ป้านางมายกไปเก็บ

    "ไว้ๆ" แกตะโกนเสียงดัง ป้านางก็ดีแสนดี ยกสาโท(แกทำไว้รับรองเพื่อนผัว)มาตั้งให้แทนแล้วยกเหล้ากลับ หนังช้วนรีบเทใส่แก้วให้ฝรั่งชิมทันที

    "ซ้าโท ช้วนให้ลอง"

    ฝรั่งยกมาดมๆอย่างไม่แน่ใจ ก่อนกลั้นใจดื่มตามแรงยุ แต่คราวนี้ไม่ถุย กลับชอบแฮะ หันมายกนิ้วให้ลุงเคลือบทำนองว่ารสชาติดีมากๆ

    "ไว?" ฝรั่งถามลุงเคลือบ แกก็ยิ้มรับไปงั้นๆ(ไม่โร้ควัง เบ่อะ)

    ปรากฏวันนั้น สองไทย หนึ่งฝรั่งเมาสาโทจนหลับคาแคร่หน้าบ้านกันเลยทีเดียว ไอ้ฝรั่งก็แสนดี กินไปคุยไปราวกับเพื่อนไม่เจอกันมานาน คุยราวกับสองคนที่ยิ้มรับ พยักหน้ารับไปนั้นจะรู้เรื่องนั่นแหละ

    หลังกลับไปประเทศตน ความติดใจในรสไว ฝรั่งคนนี้เลยทดลองทำกินเอง(ตามวิธีที่ป้านางนำไปดู สาธิตให้ดูถึงที่)
แต่ปรับวัตถุดีบตามบ้านตน ทดลองไปเรื่อยจนได้รสชาติอันเยี่ยม แจกจ่ายกันกิน เป็นที่นิยมจนทำขาย และแกเรียกมันว่า "ไวน์" ตามที่ลุงเคลือบบอก เพื่อรำลึกที่มาของมัน

    เมื่อทำขาย แกก็คิดชื่อเฉพาะของมัน ก็พยายามนึกถึงลุงเคลือบ หนังช้วน ให้เกียรติที่มาแห่งน้ำอมฤตแบบใหม่ ไฉไลกว่า ก็จำได้แค่คำแรกของหนังช้วน

    "ซ้าโท ช้วนให้ลอง"

    จึงกำเนิดไวน์ตระกูล ชาโต...ต่างๆนานา มีชื่อมาจนปัจจุบัน

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅน

.


...เห็นชื่อ ท่านเจ้าคุณหลวง แสนจะดีใจ จึงรีบเข้ามา ได้อ่านเสร็จสมอารมณ์หมาย

จึงขอลา ขอบคุณ และไม่ลืมทักทาย สบายดีบ่ ส.หัว ส.หัว ส.หัว ส.หลกจริง

คุณหลวง

ไม่ปลอมคำแต่มีนิทานแต่งเล่นจากการที่ใครไม่รู้เข้าโรงหนังแล้วซื้อป๊อร์คอร์นกิน
   แล้วยุ่งบางอย่างเลยฝากคนข้างๆช่วยถือ พอรับกลับมาป๊อร์ปคอร์นกลายเป็นแพะซะงั้น เขาตกใจมากนคกว่าเจอนักมายากล ที่ไหนได้ชายคนนั้นยิ้มแล้วเฉลยว่า
    "ผมเป็นตำรวจครับ"


สะบายดี
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅนหลง

"

..เห็นชื่อ คุณหลวง จึงตามมาอ่าน..


หวัดดี ปีใหม่ไท  แบบไทๆ  วันนี้โดนสาดน้ำแล้วหรือยัง.....สบายดี ส.ยักคิ้ว

คุณหลวง

    นิทานปลอมคำ ตอนที่ ๕ U R RKR.

    เด็กหนุ่มไมเคิลมีความฝันที่จะเป็นนักดนตรี เขาคลั่งไคล้เพลงร็อค แต่เหมือนไม่พกพรสวรรค์มาบ้างเลย จึงหัดดนตรีเท่าไหร่ๆก็ไม่เก่งสักที เขาเริ่มท้อเพราะมีแต่คนบั่นทอนกำลังใจ

    แต่พลังของเด็กหนุ่มไม่เคยหมด แม้เขาเลิกซ้อมดนตรี แต่ความฝันของการเป็นนักดนตรียังคงอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา เขาเขียนเพลง วาดฝันเห็นภาพตนเองยืนบนเวทีมีคนดูนับแสน

    แต่เวลาท้อ มันทำชีวิตไร้ค่าน่าดูชม เขาเลยอยู่อย่างซังกะตาย วงดนตรีที่ร่วมกันเล่นกับเพื่อนก็ถูกเพื่อนให้ออกด้วยเหตุผลง่ายๆว่าเขาไม่มีวันเก่ง ไม่มีวันเป็นนักดนตรีได้

    ค่ำคืนวันหนึ่งขณะเดินเล่นไปตามท้องถนน เขาพบชายชาวไทย ผิวคล้ำ กำลังเล่นกลเปิดหมวกอยู่ เขาหยุดดู และเห็นว่ามันเป็นกลห่วยแตกที่คนดูจับผิดได้มาก มีคนโห่ มีคนกระทบกระแทกแดกดัน และมีน้อยคนให้ตังค์ แต่เขาก็ยังเล่นกลต่อไป

    "ชายคนนี้แค่มาฝึกเล่นกลให้คนดูเท่านั้น"ไมเคิลคิด แต่ด้วยความสนใจความไม่ยอมแพ้ของชายผู้นี้ ไมเคิลจึงยืนรอดูจนจบ และเข้าไปพูดคุยด้วย

    กำลังใจจากชายไทยคนนี้ ทำให้ไมเคิลตัดสินใจฝึกดนตรีอีกครั้ง อย่างจริงจัง บางวันก็ไปหัดเล่นกลางคน มีคนโห่ มีคนว่า แต่

    "ยังมีคนสนใจ เราเป็นศิลปิน เราต้องให้เกียรติคนที่รักเรา ให้กำลังใจเรามากกว่าคนที่รังเกียจเรา ทำลายเรา เพราะเราสร้างความสุขแก่ทุกคนในโลกนี้ไม่ได้ เราทำได้แค่คนที่สนใจเราเท่านั้น เห็นไหม ผมทำผิด เขาจับได้ หลายคนด่า แต่หลายคนกลับยิ้มได้" นั่นเป็นคำบอกของเพื่อนชาวนครศรีธรรมราช ประเทศไทยที่สร้างพลังอย่างยิ่งแก่ไมเคิล

    ระยะใหญ่ๆผ่านไป ไมเคิลมั่นใจแล้วว่าตัวเองสามารถเป็นนักดนตรีได้ เขาสร้างความสุขแก่ผู้คนได้ เขาเล่นดนตรีได้ เขียนเพลง ใส่ทำนอง ใส่ดนตรีได้ เขาเริ่มหาสมาชิกร่วมวงได้ แต่เขาทุกคนกลับไม่สามารถตั้งชื่อวง

    ค่ำคืนหนึ่ง หลังเล่นเลิกเปิดหมวก ไมเคิลมาพักที่บ้านพักของเพื่อนชาวไทยคนนั้น ดื่มกันเล็กน้อย เพื่อนก็ชวนไปเที่ยวผ่อนคลายในบาร์ไม่ไกลบ้านนัก

    ปัญหาคือเพื่อนหากุญแจบ้านไม่เจอ ก็ลยตกลงไปโดยงับประตูไว้เฉยๆ

    หลังจากเมาพอสมควรจากบาร์ สนุกสนานพอประมาณแล้วก็ชวนกันกลับ เพื่อนเดินไปเปิดประตูบ้าน แล้วหน้าเสีย หันมาบอกเพื่อนฝรั่ง

    "ไมเคิล เรินกูล็อค"แล้วก็บ่นพึมพำไปเรื่อยๆอย่างหัวเสีย"มันล็อคพรื้อวะ เบ่อะกูแลดีแหล่วถ่อปิ่ด....."

    แต่นั่นกลับจุดประกายอย่างยิ่งแก่เพื่อน ดั่งพระเจ้าเปิดทาง ไมเคิลหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ภาพตัวเองยืนบนเวทีคอร์นเสิร์ตท่ามกลางคนดูนับหมื่นปรากฏชัดในมโน นั่นเป็นที่มาของวงร็อคก้องโลก

    "ไมเคิล เลิร์นส ทู ร็อก (Michael Learns To Rock)"


สะบายดี...


    ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

     ไมเคิล เลิร์นส ทู ร็อก MLTR Bangalore.jpg
ข้อมูลพื้นฐาน
    เกิดที่   ออฮุส ประเทศเดนมาร์ก แนวเพลง   ซอฟต์ร็อก บัลลาด ร็อก ป็อปร็อก อัลเทอร์เนทีฟป็อป
    ปี   1988-ปัจจุบัน
    ค่าย   อีเอ็มไอ
สมาชิก
    จาช่า ริชเตอร์ (ร้องนำ และ คีย์บอร์ด)
    คาล วอนส์เชอร์ (กลอง)
    มิกเกล เลนต์ซ (กีตาร์)
อดีตสมาชิก
    โซเรน แมดเซน

    ไมเคิล เลิร์นส ทู ร็อก (Michael Learns To Rock) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า MLTR เป็นกลุ่มดนตรีป็อปร็อก จากประเทศเดนมาร์ก ที่ซึ่งร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เริ่มก่อตั้งวงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 ประกอบด้วยสมาชิก 3 คนได้แก่ Jascha Richter, Mikkel Lentz, Kåre Wanscher พวกเขามีชื่อเสียงในทวีปเอเชียมาก เนื่องจาก ทำตลาดในเอเซีย จึงทำให้คนในเอเซียรู้จักวงนี้มากกว่า วงนี้จึงไม่ค่อยรู้จักในยุโรป หรือสหรัฐ

    ปัจจุบัน วงนี้ ขายอัลบั้ม และ ซิงเกิ้ลได้ มากถึง 11 ล้านแผ่นทั่วโลก โดยเฉพาะ ซิงเกิ้ล เทกมีทูยัวร์ฮาร์ต ซิงเกิ้ลเดียว ได้ผลตอบรับสูงมาก ด้วยยอดขาย 6 ล้านก๊อปปี๊ ภายในปีเดียว ทำให้ได้รับการบันทึกว่า "เป็นซิงเกิ้ลที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดแห่งปี 2006" ปัจจุบัน วงนี้มี อัลบั้มทั้งหมดแล้ว 8 อัลบั้ม มีอัลบั้มรวมเพลงฮิตหนึ่งอัลบั้ม ชื่อว่า "เพนท์ไมย์เลิฟ" (Paint My Love)

    เอ็มแอลทีอาร์ ได้รับรางวัลมากมายหลายรางวัลเช่น RSH จากเยอรมนี, SEA หรือ รางวัลแกรมมี่ สิงคโปร์ เป็นต้น มีผลงานเพลงฮิต หลายเพลงเช่น "สลีปปิ้ง ไชลด์ (Sleeping Child)" "ทเวนตีไฟฟ์ มีนิตส์ (25 Minutes)" "เทกมีทูยัวร์ฮาร์ต (Take Me To Your Heart)" "เพนท์ไมย์เลิฟ (Paint My Love)" "แดทส์ ไว (That's Why (You go away))" เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ ว่า "เป็นวงดนตรีที่ไม่ได้เกิดในสหรัฐ หรือ อังกฤษ แต่รุ่งโรจน์ เทียบเท่ากับ วงใหญ่ๆ ในประเทศเหล่านั้นเลย"
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅนหลง

.


...อ่านแล้ว

สบายดี ส.หัว