ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ลืมตากลางป่าใหญ่ กับวิถีชาวป่า "ซาไก"

เริ่มโดย ten, 00:16 น. 11 ก.ย 54

ten

      เมื่อวันที่ 9 กันยายน 54 ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ร่วมไป ถ่ายทำวีดีทัศน์ ส่งอาจารย์ในการเรียนของสาขาชุมชนศึกษา ม.อ. หาดใหญ่  ซึ่งการลงพื้นที่สำรวจมีโอกาสได้ร่วมแจมเดินทางกับเพื่อนๆ อีกหลายคนที่ไป ตอนแรกผมก็นึกว่าจะมีเพื่อนผู้ชายไปด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นผมคนเดียวที่ไปร่วมเดินทางที่แสนจะคฤโหด ในครั้งนี้ เพื่อไปตามหา ชาวป่า ซาไก บนผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง พื้นที่เทือกเขาบรรทัด โดยมียายแท้ๆของเพื่อนในกลุ่มนี่เระครับเป็นคนนำทาง บนความสูง ภูเขาสามลูกใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง อย่างโหดในการเดินทางข้ามห้วย ปีนเขา สุดท้ายเจอกับชาวป่าที่คนเมืองเรียกว่า เงาะป่าซาไก แต่เขาพวกนั้นไม่ต้องการให้เรียกว่าเงาะป่า แต่ให้ใช้คำว่า ชาวป่าแทน ซึ่งจากการที่ผมได้ถาม กับชาวป่าที่พูดใต้ได้นิดหน่อย เขาบอกว่า เงาะกินได้ โบ๊วเราไม่ใช่เงาะ กินไม่ได้ ถึงกับอึ้งในคำตอบ หากหลายๆคนที่ไม่ได้คุ้นชิน หรือไม่เคยรู้มาก่อนรวมทั้งตัวของผม ก็คงที่จะไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ไม่กล้าที่จะพูดด้วย แต่เมื่อเหนื่อยกับการขึ้นเขา สิ่งที่ทำให้พวกเราหายเหนื่อยได้ คือการเห็นรอยยิ้มของพวกเขา ครั้งแรกที่เราไปพบเจอ พวกเขาอยู่ด้วยกันในที่พัก เรียกว่าทับ มีสมาชิกด้วยกัน 8 คน หญิง 2 คน และ ชาย 7 คน หนึ่งในนั้นคือ เจ้าไผ่ ลูกชายของตุ้ม ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงสิบห้าวันเท่านั้น ตัวแดงเหมือนลูกหนูเลย ไม่มีใครอยากจะเลือกเกิดขึ้นในสภาพแบบนี้หลอก แต่นี่อาจเป็นเพราะผีป่าเขา หรือ เป็นเพราะดวงที่ผูกพันธ์ที่ทำให้ เจ้าไผ่ เกิดมาอยู่ในครอบครัวของ ชาวป่า
สมาชิกที่เกิดใหม่ท่ามกลางป่าใหญ่ คนล่าสุดที่มีหน้าที่อยู่กับป่าเป็นดัชนีชี้วัดว่า ฝืนป่าแห่งนี้จะมีมนุษย์คนนึง ที่เขาต้องเรียนรู้และสืบทอด สายเลือดของชาวป่าต่อไป ซึ่งถ้าคนเมืองมาเห็นถึงกับว่าเสียดายที่เด็กที่เกิดใหม่นั้นไม่ได้รับสวัสดิการใดๆเลยในสังคม แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของคนเมืองเองที่อยากได้ อยากมี แต่พวกเขาดำรงเผ่าพันธุ์ มาเป็นร้อยเป็นพันปี เกิดในป่ามีพ่อเป็นคนทำคลอดตัดสายสะดือด้วยไม้ไผ่ เกิดในทับที่อยู่และมีญาติๆต่างให้กำลังใจ อยู่ก็อยู่ในป่า หากินได้มาวันนี้หมดวันนี้ พรุ่งนี้หากินใหม่ ตายก็ตายในป่า พวกเขายังอยู่ได้ พวกเขาไม่รู้อายุ ไม่รู้วันเวลา มีแต่นับนิ้วมือนิ้วเท้า แลหวัน(ดูดวงตะวัน) ว่าวันนี้ผ่านพ้นไปพวกเขามีวิถีชีวิตด้วยการแบ่งปัน มีความซื่อสัตย์ ไม่พูดอ้อมค้อม เพราะเค้าไม่มีวัฒนธรรมเหมือนดังคนเมือง แต่สิ่งที่ผมได้เห็นและสำผัสได้นั้น คือความจริงใจ ที่นับวันคนเมืองต่างก็ไม่มี หรือ มีน้อยเต็มทีในปัจจุบัน
         ในเมื่อปัจจุบันนี้ป่าซึ่งเป็นบ้านของชาวป่าซาไกกำลังหมดไปด้วยการรุกล้ำเข้ามาตัดไม้ ผมเดินทางขึ้นสู่เขาลูกที่สองนั้นคือกลางป่าจริงๆตลอดทางที่ผ่านมา แต่เมื่อมาจุดนี้ กลับกลายเป็นสวนยางพาราเต็มพื้นที่ นี่เระเป็นปัญหารุกที่เข้ามาในเขตป่าด้วยนายทุนและคนมีสีอยู่เบื้องหลัง ป่าหมด สัตว์ป่าหมด ผมถามพวกเขาว่า เดี่ยวนี้สัตว์มีมากอีกหรือป่าว คำตอบที่ห้วนๆด้วยสำเนียงที่ไม่คุ้นชินสักเท่าไร่ คือ หม้าย(ไม่)มีแล้ว แม้แต่หัวมันที่เคยมีมาก แต่ตอนนี้หายากเต็มที ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆอาจจะส่งผลกระทบกับชาวป่าที่ต้องหลบซ่อน เพราะกลัวคนมาทำร้าย แต่วันนี้การปรับตัวโดยมีชุมชนที่คอยหนุนให้ชาวป่ายังคงอยู่ในพื้นที่เดิมไม่ต้องย้ายข้ามจังหวัดตามแนวเขา คือตาเม่น และยายเอื้อน รุยันต์ ที่คอยปกป้องผืนป่าและชาวป่ากลุ่มสุดท้ายที่อยู่ในเขตนี้ ยายเล่าว่า เขาไม่ได้เป็นคนเถื่อนอย่างที่คนอื่นคิด แต่เขามีวัฒนธรรมอย่างนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ท่านรักชาวป่า เหมือนลูกหลานคนหนึ่งในบ้านแต่ในด้านที่แตกต่างกันคือ สถานะทางสังคม การได้รับสวัสดิการทางสังคมที่ไม่ได้มาถึง แต่ชาวป่าก็ไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์ใดๆแถมมีแต่จะดีใจอีกด้วยที่เขาได้อยู่ในสถานะของเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับป่า กินกับป่าแต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้มากกว่าอื่นใดคงเป็นการใช้จิตสำนึกของคนเมืองมากกว่าในการเข้ามาอนุรักษ์ป่า หยุดการเป็นประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าส่วนรวมเพื่อที่จะได้เห็นชนชาวป่าที่จะอยู่คู่กับผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ชาวป่าจะได้อยู่กับป่าที่พวกเขาควรจะอยู่และเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ด้านมนุษยวิทยา และ เห็นอัตลักษณ์ หรือนี่เป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของฝืนป่าอีกต่อไป

Tom2772


ten

โอ้โห้ ขอบคุณพี่ต้อมมากๆน่ะครับ ที่ชม แหมมมม หายเหนื่อยเลยน่ะเนี่ยยยยยย ผมอยากนำเอาสิ่งเก่าที่หลายคนพอรู้มาบ้างแล้ว แต่ในความคิดของผม นี่คือสิ่งใหม่ ใหม่ตรงที่ เราอยากถ่ายทอดความรู้สึกของเค้า ให้คนอื่นได้ฟัง

พี่โรจน์

 เยี่ยมมากเลยน้อง วิชานี้สำหรับพี่ พี่ไห้คะแนนเต็ม เนื้อความแสดงไห้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนป่ากับคนเมืองต่างกันยังฟ้ากับเหว พวกซาไกไม่ต้องการอะไรมากนอกจากฝืนป่า และแหล่งอาหารของพวกเขา เมื่อใหร่ที่ไม่มีป่าไม้ เราก็จะไม่ได้เห็นพวกเขาอีกต่อไป

จ่าหรอย

ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับซาไกนิดหน่อย ได้ไปเห็นชีวิตของซาไกทั้งในเมืองไทยและที่มาเลเซีย สรุปว่าพวกเขามีหน้าตาผิดพรรณและการดำรงชีวิตมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน
ฉบับของน้องtenเป็นรายงานที่ตั้งใจทำจริงๆ และถือว่าโชคดีกว่ามนุษย์โลกอีกเยอะแยะที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตชนเผ่าที่เหลือน้อยเต็มที เกือบจะเป็นยุคสุดท้ายแล้วก็ว่าได้
ครั้งแรกสมัยผมเด็กๆเคยไปดูชีวิตซาไกที่ยะลา ตอนนั้นถือว่ายังคงเดืมเกือบ100% บางคนยังนุ่งห่มใบไม้ กินหัวเผือกหัวมัน แต่เริ่มจะมีบางคนนุ่งผ้าสีแดงกันบ้างแล้ว หลังจากนั้นอีก10ปีได้ไปเห็นซาไกหนุ่มคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่หน้าสถานีรถไฟยะลา สอบถามได้ความว่ามีคนไปหลอกให้มาทำงานแบกของ แค่ให้ข้าวกินไม่ให้เงิน(อำมะหิตมาก)เพราะชีวิตสังคมเมืองชักนำให้สูบบุหรี่กินเหล้าและอบายมุขอื่นๆ จนติดเหล้างอมแงมและไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก เท่ากับซาไกถูกทำลายตายทั้งเป็นไป1คน
อีกครั้งเมื่อปีที่แล้วนี่เอง เขาเปิดตลาดนัดหน้าวัด"บางหยี"เอาซาไกผัวเมียมาโชว์ตัว คนมุงดูเหมือนดู(ขอโทษ)ตัวประหลาด ซาไกทั้ง2คนใส่เสื้อผ้าเหมือนคนเมืองทุกประการ ผมได้เข้าไปคุยได้ความว่ามาจากอ.กงหรา ชีวิตในกลุ่มพวกเขาเหมือนคนทั่วไปหมดแล้ว หุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้า มีทีวีมีมือถือขี่มอเตอร์ไซค์ รับจ้างตัดยางและรับจ้างทั่วไป ลูกๆก็เข้าโรงเรียน บางคนลูกเรียนปวช.ที่พัทลุงซะด้วย
ครั้งล่าสุดไปเห็นที่มาเลเซีย รัฐบาลเขาอุตส่าห์ส่งคนเข้ามาหว่านล้อมซาไกตามตะเข็บชายแดนในเมืองไทย ให้ไปอยู่ที่โน่นให้ที่ดินทำกินและมีเงินเดือนสวัสดิการเพียบ ขอเพียงให้ดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม แล้วเอาไปตั้งเป็นหมู่บ้านซาไกปลูกเป็นกระท่อม(ไม่เหมือนทับ)อยู่ริมถนนสายกัวลาลัมเปอร์-คาเมร่ิอนไฮแลนด์ ดำรงชีพด้วยการหาหน่อไม้และของป่ามาวางขายริมถนน นทท.ผ่านไปมาให้ความสนใจมาก จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกบันทึกไว้ในตารางการทัศนาจรไปเลย เห็นวิสัยทัศน์ของเขาหรือยัง?คิดไกลไปถึงทำจนสำเร็จและเก็บกินได้ยาวนาน อายแทนรัฐบาลไทยจังเลย

ขอบคุณ

.


....ขอบคุณสำหรับเรื่องและภาพดีๆ


...น่าเห็นใจนะ พวกเขาเป็นคนดั้งเดิม เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้

ควรช่วยเหลือ ทั้งทางรัฐบาล และประชาชน...


...... ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

ten

ครับ ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามน่ะครับ ผมก็ถือว่ามีโอกาสมากผมตั้งใจว่าจะไปศึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่ปีหนึ่ง เพื่อนผมไปมาก่อนแล้วเค้าชวนผม  แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสไปในตอนนั้น แต่เมื่อมีโอกาสแล้วก็อยากจะไปให้ได้คราวนี้ก็เลยจัดการไปศึกษา แล้วสิ่งที่เกิดความคาดหมายคือ ผมได้รู้ในหลายๆอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน ไว้มีโอกาสผมจะเขียนสกู๊ปดีๆมาฝากได้อ่านกัน ไว้ติดตามด้วยน่ะครับ

คนหน้าวัด13

 ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ เอารูปลงให้เยอะๆหน่อย จะดีมากเลย  ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้
วิญญาณ ปู่ ย่า ตา ยาย จะ ร่ำไห้ เพราะ ลูก หลานจัญไร

ZeBRaMaN

โอ้โห รุ่นน้องชุมชนศึกษา เก่งจิงๆ พี่ขอชื่นชมครับ กับการทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ครับ

ขอให้น้องตั้งใจทำงานเช่นนี้ต่อไปนะครับ

ชุมชนศึกษาจงเจริญครับ

ฝากบอก อาจารย์ อุทัยและอาจารย์ท่าน อื่นๆด้วยครับ ว่า พี่คิดถึง หุหุ
กีฬาสีมีตั้งแต่เด็กจนตาย อิอิ

Giftty

 ส-ดีใจ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก ถ้ามีโอกาสอบากไปเห็นวิถีชีวิตของชาวป่าแบบเท็นค่ะ

Iaomi Intawong

อ่านเรื่องแล้วรู้สึกอิจฉาชาวซาไกอยู่เหมือนกัน ที่ไม่ต้องเจอกับความวุ่นวายในเมือง อยากมีโอกาสได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของพวกเขาบ้าง....ขอบคุณน้องเท็นสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ดีดีให้น๊าาาาา......พี่อ้อมคนสวย ^^ ส-เขิน

ten

อ้างจาก: Iaomi Intawong เมื่อ 12:52 น.  15 ก.ย 54
อ่านเรื่องแล้วรู้สึกอิจฉาชาวซาไกอยู่เหมือนกัน ที่ไม่ต้องเจอกับความวุ่นวายในเมือง อยากมีโอกาสได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของพวกเขาบ้าง....ขอบคุณน้องเท็นสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ดีดีให้น๊าาาาา......พี่อ้อมคนสวย ^^ ส-เขิน

ครับผมมม ขอบคุณมากมายครับบ

kriangkrai


defry

ดีครับ แล้ววิชานี้ ชื่อวิชาอะไรครับ อยากรู้จัก หน้าสนุกดี !!

m9425

อ้างจาก: defry เมื่อ 01:31 น.  18 ก.ย 54
ดีครับ แล้ววิชานี้ ชื่อวิชาอะไรครับ อยากรู้จัก หน้าสนุกดี !!

ไม่หลอกครับ วิชานี้อ่ะ ไม่ได้เรียนเรื่องชาวป่าน่ะครับ แต่แค่สนใจ เลยขึ้นเขาไปเรียนวิถีชีวิตของพวกเขาครับ แล้วนำมาเสนองานในห้องเรียน เท่านั้นเองครับ แต่ประสบการณ์ที่ได้ มากกว่าในห้องเรียน จริงๆ
# Whatever Will Be,Will Be #