ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

อุดมศึกษาเพื่อสังคม : มหาวิทยาลัยต้องไม่ทอดทิ้งสังคมไว้ข้างหลัง

เริ่มโดย ทีมงานประชาสัมพันธ์, 10:01 น. 23 ส.ค 57

ทีมงานประชาสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา มีการบรรยายพิเศษ เนื่องในพิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง มหาวิทยาลัยทักษิณกับวิทยาลัยชุมชน ทั้ง 7 แห่งในภาคใต้ ในหัวข้อ "ทิศทางการจัดการศึกษาและการเชื่อมต่องานวิชาการสู่ชุมชน โดย ดร.กฤษพงศ์  กีรติกร ประธานสภาวิทยาลัยชุมชนและกรรมการสภามหาวิทยาลัยทักษิณ  ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอเกี่ยวกับบทบาทมหาวิทยาลัยกับการจัดการศึกษภายใต้ปัจจัยและและบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

[attach=1]

ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร เห็นว่าประเทศไทยมีปัญหาเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นอย่างมาก สะท้อนจากที่ในแต่ละปีมีผู้ที่สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้เพียง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่การจัดการศึกษาอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "เรียนมาก รัฐลงทุนมาก แต่ผลสัมฤทธิ์ต่ำ"  กล่าวคือ ระดับพื้นฐาน   สถิติรอบสิบปีที่ผ่านมาเด็ก 60-70 เปอร์เซน ออกจากระบบการศึกษาด้วยวุฒิต่ำกว่า ม.6   ออกไปเป็นแรงงานนอกระบบ(ประกันสังคม)   แรงงานนอกระบบนี้อยู่ได้ด้วยค่าแรงขั้นต่ำตลอดชีวิตงาน 40-50 ปี   แรงงานนอกระบบที่มีการศึกษาต่ำเกือบทั้งหมดไม่มีโอกาสกลับมาเรียนต่อหรือฝึกอาชีพ  เพราะระบบอาชีวศึกษาและระบบอุดมศึกษาปิดประตู  ทั้งสองระบบรับแต่คนวัยเรียนเป็นหลัก นอกจากนั้นกลไกการพัฒนาแรงงานทำได้จำกัด   เด็กและเยาวชนที่เป็นคนส่วนใหญ่ที่ออกจากระบบการศึกษาด้วยวุฒิต่ำกว่าม. 6  ไปเป็นแรงงานนอกระบบ  ไม่โอกาสพ้ฒนาระหวางการทำงาน   เป็นรากฐานความเหลื่อมล้ำ  และส่งผลต่อชั่วอายุคนต่อๆไป  เพราะโอกาสที่ลูกจะได้รับการศึกษาขึ้นกับระดับการศึกษาของพ่อแม่ด้วย ขณะที่ระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาไม่สร้าง (employability-workability)   ผู้จบปริญญามีอัตราการตกงานสูงกว่าผู้มีวุฒิต่ำกว่า  มีความสูญเปล่าและสูญเสียทางสังคมและเศรษฐกิจสูง  ถ้าคิดเฉพาะผู้ที่จบปริญญาและไม่มีงานทำในแต่ละปีมีบัณฑิตที่ตกงานจำนวนมาก

ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร กล่าวต่อไปว่าในภาพรวมแรงงานไทยมีวุฒิศึกษาการต่ำเมื่อเทียบกับอาเซียนกลุ่มเก่า(มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์)  ผลิตภาพต่ำ ทำให้ประเทศไทยติดสภาวะ"nut cracker effect"  คือ งานการผลิตระดับบนที่ใช้เทคโนโลยีสูงเกิด/ ทำไม่ได้ เพราะกำลังงานที่มีการศึกษามีจำนวนไม่มาก  งานการผลิตระดับล่าง   สู้ประเทศรายได้ปานกลางอื่นและประเทศรายได้ต่ำไม่ได้   เพราะค่าแรงแพง  ทำให้ติด " กับดักประเทศรายได้ปานกลาง - Middle income trap" ดังนั้นสถาบันการศึกษาต้องสร้างเป้าหมายของการศึกษาใหม่ด้วยการสร้างพลเมืองไทยที่มีคุณภาพ  ให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการศึกษาคุณภาพตลอดชีวิต  เพื่อทำงานที่เป็นสัมมาชีพ  และลดความเหลื่อมล้ำ ภายใต้เป้าหมายสำคัญ (1) สร้างความสามารถและสมรรถนะสำหรับการทำงาน (Workability-Employability)  (2) สร้างคุณค่าที่ดีงาม  (3) สร้างผลิตภาพ-Productivity ทางสังคมและเศรษฐกิจซึ่งกำหนดโดยการศึกษา  การฝึกอาชีพ-การพัฒนาสมรรถนะต่อเนื่อง  สุขภาพที่ดี  (4) การอยู่ในประชาคมโลกและอาเซียนอย่างเท่าทัน แข่งขันได้ มีศักดิ์ศรี  มีความเป็นมนุษย์

ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร กล่าวต่อไปว่าภายใต้เป้าหมายดังกล่าวระบบการศึกษาควรเปลี่ยนอย่างน้อยใน 2 ระดับ กล่าวคือ ระดับการศึกษาพื้นฐานวัยเรียน ควรปฏิรูปสถานศึกษาของรัฐซึ่งให้การศึกษาขั้นพื้นฐานแก่นักเรียนส่วนใหญ่ (1) เพิ่มความรับผิดรับชอบ (accountability) ของผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้อำนวยการเขตพื้นที่ (2) ต้องให้ความรู้และสร้างสมรรถนะที่ผู้ออกจากระบบเข้าสู่อาชีพได้ นอกจากความรู้วิชาสามัญ  (3) เพิ่มความสามารถการจัดการโดยโรงเรียน (School Based Management)  และการจัดการศึกษาพื้นที่ (Area Based Education) (4)  เปิดพื้นที่ให้มีผู้จัดการศึกษาระดับพื้นฐานเพิ่มขึ้น - เอกชน, องค์กรปกครองท้องถิ่น, ภาคประชาชน, องค์กรพัฒนาเอกชนและมูลนิธิ  การปฏิรูปควรลด/เปลี่ยนบทบาทรัฐ (downsizing / rightsizing) จากที่รัฐบาลเป็นผู้จัดการศึกษา(education service provider) เป็นรัฐบาลเป็นผู้จัดซื้อบริการการศึกษา (education service procurer/ purchaser)  ตามแนวการบริการสุขภาพ  และ (5) ให้ความสำคัญแก่การเข้าใจประเทศไทย หน้าที่พลเมือง  คุณค่าพื้นฐานเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต  ระเบียบวินัย  การรู้จักค่าของเงิน   คุณค่าของสังคมตะวันออกเช่น  สถาบันทางสังคม  ความเมตตากรุณา  การเข้าใจระบบอาสุโส  สร้างคุณค่าใหม่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ตระหนักถึงคุณค่าในสังคมโลกาภิวัตน์ เช่น Green and clean   ความยั่งยืน(sustainability)  พหุวัฒนธรรม  มนุษยนิยม 

ในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ต้องมีการปรับกระบวนทัศน์ว่าจัดอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาเพื่อเข้าสู่งานตลอดชีวิตของกำลังแรงงานไม่ใช่เพียงเพิ่มวุฒิการศึกษา โดยรัฐจะต้องจัดการให้มีทรัพยากร  ให้เกิดระบบเงินติดตัวผู้เรียน  สร้างและพัฒนาครู ดูแลมาตรฐาน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการเรียนรู้(สื่อและหนังสือ ระบบไอทีฯ)  ]'งทุนการวิจัย จัดการศึกษาผู้ต้องการการศึกษาพิเศษ  และสนับสนุนการจัดการศึกษาและฝึกอาชีพโดยผู้จัดการศึกษาอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลส่วนกลางได้แก่ องค์กรส่วนท้องถิ่น เช่นเทศบาล  อบจ. อบต. ตั้งศูนย์ฝึกอาชีพ-โรงเรียน-วิทยาลัย-สถาบันอุดมศึกษา(municipality-city college/university) สร้างคนที่เหมาะกับความต้องการโอกาสและอาชีพของท้องถิ่น  ทั้งนี้รัฐบาลต้องสร้างกลไกสนับสนุนผู้จัดการศึกษาและผู้จัดการฝึกอาชีพอื่นๆ  เข้าถึงสถาบันรัฐที่รัฐลงทุนไปแล้ว  การสนับสนุนและการเข้าถึง  ทำได้หลายรูปแบบ เช่น ให้ผู้จัดการศึกษาและผู้จัดการฝึกอาชีพอื่นใช้และซื้อบริการ สถานที่ของสถานศึกษารัฐส่วนกลาง, การให้มีที่ตั้งร่วมกัน(co-locate) สถานศึกษารัฐส่วนกลางกับผู้จัดการศึกษาอื่น, การจัดหลักสูตรร่วมและออกค่าใช้จ่ายร่วม ( co-manage, co-finance) 

"กล่าวสำหรับอุมศึกษาผมเสนอให้เลิกหลักสูตร (แม้มีผู้เรียนและสร้างรายได้ให้มหาวิทยาลัย) ที่ผู้จบไม่มีงานทำหรือ ถูกจ้างต่ำกว่าวุฒิ ปรับหลักสูตรให้เชื่อมโลกของงาน (Work based/ integrated/ immersion) ทั้งภาคสังคม ธุรกิจ อุตสาหกรรม อุดหนุนหลักสูตรที่จำเป็นต่อสังคม จัดโปรแกรมพัฒนาความสามารถและอาชีพที่ไม่ใช่การศึกษาต่อ/หลักสูตร  สำหรับกำลังแรงงานและผู้สูงวัย เพื่อเพิ่มโอกาส  และผลิตภาพ ปรับเปลี่ยน /เพิ่ม Work profile ของบุคลากร  โดยมีประสพการณ์ในสถานที่ทำงานจริง(Professional leave)  ทำงานวิชาการที่มีคุณภาพจากโจทย์สังคมไทยได้ประโยชน์   สร้างความเป็นเลิศทางวิชาการ( academic excellence) จากความเป็นเลิศที่มนุษย์สัมผัสได้ และที่สำคัญทำให้มหาวิทยาลัยเป็นสังคมที่ไม่ทิ้งใคร" ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร กล่าว