ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

หลอกกันทำไม !!!

เริ่มโดย ล ลิง, 20:26 น. 24 ส.ค 54

ล ลิง

ฟังแถลง(อ่าน)นโยบายนายกหญิงของเรา และการตอบคำถามของ
ท่านรองนายก ดร.เฉลิม ของทุกคน (ฮิ้ววว) แล้ว ได้ความกระจ่างขึ้นเยอะเลย
"เป็นเพียงเทคนิคการหาเสียง" , "เป็นเพียงนโยบายตอนหาเสียงไม่ใช่สัญญา" 555+

[attach=1]

"ไม่ใช่ค่าแรงขั้นต่ำ เป็นเพียงรายได้ขั้นต่ำที่คำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงาน" 555+

http://www.youtube.com/watch?v=RgBD4iSbMCk

555+


"คนอย่างแม้ว ผิดไม่ได้แพ้ไม่เป็น ผิดไม่เป็นแพ้ไม่ได้" (บัญญัติ บรรทัดฐาน : รายการลงเอยอย่างไร?)

ผู้ทรงสิน

อย่างน้อยพวกไพร่ก็เทคะแนนให้แล้ว

น้ำล้างโลก

.


...ไหนบอกว่า จะลดราคาน้ำมัน....

หรือ แค่เทคนิคการหาเสียง...แบบเหลิมว่า... ส-ดีใจ ส-เหอเหอ

คนค้าแก้ว

นักการเมืองก็แบบนี้วันนี้พูดอย่างนี้คำพูดเดียวกันแต่ความหมายมันผันแปรได้ตลอด คนเป็นนักการเมืองสีข้างมักจะด้านเพราะแถมันตลอด
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

แฟนเก่าชื่อส้ม

เฉลิม ต้องชน กับชูวิทย์ น่าจะสนุก
ก่อนตายคุณอยากอยู่กับใครเป็นคนสุดท้าย

kantirak

ป๋าเหลิม ยังเคยเอาคุณปื๊ดมาช่วยเลย กรณียิงดาบตำรวจ เป็นเทคนิคการหาเสียงรึเปล่าครับ

ซุปเปอร์ฮีโร่

ดูพูดเข้า(เป็นเพียงเทคนิคการหาเสียง)แทงใจจริงๆครับ ไม่รู้ว่าคนที่เลือกพรรคนี้ เค้าจะเสียใจบ้างหรือเปล่าน้อ

........

ตาสว่างกันบ้างยัง 55+ ส.หัว ส.หัว

ล ลิง

รัฐบาล "ยิ่งหลอก"

จากการอภิปราย "นโยบายรัฐบาล" 2 วันที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นว่า...
สิ่งที่จะทำให้ประชาชน ต่างกับสิ่งที่ให้คำมั่นสัญญากับประชาชน เหมือน ฟ้า ต่างกับ ดิน
ขอหยิบยกเรื่องใหญ่ๆ เป็นตัวอย่างให้เห็นภาพครับ

1.ค่าแรงขั้นต่ำ 300บาท

เมื่อวานนี้ รัฐบาล บอกว่า จะทำให้ผู้ใช้แรงงานมี "รายได้ ไม่ต่ำกว่า 300บาท" แต่ ไม่กำหนดกฏหมายว่า "ค่าจ้าง หรือค่าแรง" ต้องเป็น 300 บาท .. ความหมายสุดท้ายคือ "ค่าจ้าง หรือค่าแรง" อาจจะยังเป็นเท่าไหร่ก็ได้ หรืออาจจะเท่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ถ้าบวกโน่น บวกนี่ เช่น (ค่าล่วงเวลา ค่าอาหารกลางวัน ค่าที่พักพนักงาน ฯลฯ) ก็อาจจะเท่ากับ 300 บาท หรือมากกว่า
พรรคเพื่อไทยไม่ได้ "หาเสียง" ไว้แบบนี้แน่นอน แต่ในการแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวาน ขนาด สส.เพื่อไทย เองได้ยินแล้วก็ยังนิ่งอึ้งอยู่ในสภาฯ

[attach=1]

2.เงินเดือน ปริญญาตรี 15,000 ทุกคน

เลิกหวังได้เลยครับ เมื่อวาน รัฐบาลก็พูดชัดเจนว่า "ลูกจ้างภาคเอกชนจะไม่ได้" ทั้งๆที่ คุณยิ่งลักษณ์เองให้สัมภาษณ์ไว้เต็มๆ ตอนหาเสียงว่า "ทุกคน" จะได้ ในส่วนของ รัฐวิสาหกิจก็ไม่ได้ ที่แย่ใหญ่คือ ลูกจ้างประจำในระบบข้าราชการก็ไม่ได้ และ แม้แต่ ข้าราชการเอง ตอนนี้ความจริงมีอยู่ 860,000 คน ที่มีวุฒิปริญญาตรี แต่เงินเดือนเฉลี่ยแค่ 10,400 บาทเท่านั้น ถ้าเพิ่มเงินเดือนเป็น 15,000 บาทตามนโยบาย จะต้องใช้งบฯ มากถึง 45,000 ล้านบาท แต่ เขาตั้งงบไว้แค่ 15,000 บาท ต้องไปแย่งกันเองครับ ว่าใครได้ ใครไม่ได้
แล้วที่จะได้แกก็คุยคั่นไว้ว่า จะไม่ให้ เป็น "เงินเดือน" นะครับ แต่จะเป็น "เงินเพิ่ม" คือ ไม่ถาวร และเอาไปคำนวณเป็น เงินบำนาญ ก็ไม่ได้

3.พักหนี้ 500,000 บาท ให้เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย

เลิกรอครับ รัฐบาลจะให้กับลูกค้า ธกส.กับ ออมสินเท่านั้น (ความจริงจะได้หรือเปล่า ยังไม่รู้เลย เพราะ ตามนโยบายนี้ รัฐบาลต้องใช้เงินภาษีไปชำระหนี้แทน 70% ของสินเชื่อทั้งหมดของธกส. ผมกลัวว่าผู้เสียภาษีจะกบฏกันครับ) เมื่อวานนี้ รัฐบาลก็ยืนยันว่า โครงการพักหนี้ จะไม่ครอบคลุมลูกหนี้ภาคเอกชน หรือ ลูกหนี้นอกระบบ ผมได้ชี้แจงในสภาฯ ว่า ปัจจุบันมีลูกหนี้บัตรเงินสด และบัตรเครดิต มากถึง 19 ล้านบัญชีที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000บาทต่อบัญชี และหลายคนได้เทคะแนนให้ "เพื่อไทย" เพราะหวังว่า จะไม่ต้องจ่ายดอกและต้น ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ... อดหมดครับ

[attach=2]

4.คืนภาษีรถคันแรก

เขาจะ "ไม่คืน" ครับ แต่เขาจะให้เอาไปหักภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ดังนั้น ใครจะซื้อรถคันแรก แต่ไม่ได้เป็น มนุษย์เงินเดือนก็จะหมดโอกาส แม้แต่ผู้ที่มีภาษีให้เขาหัก ก็ดูให้ดีนะครับ รถ 1 ล้านบาท ภาษีน่าจะประมาณ 300,000 บาท แต่เขาเสนอให้หักได้แค่ 100,000 บาทเท่านั้น

5.ยกเลิกกองทุนน้ำมัน

"ไม่ยกเลิก" แล้วครับ และจะแค่ "งด" การเก็บเข้ากองทุน แค่ "ชั่วคราว" เท่านั้น อย่างนี้เราถึงเรียกว่า "นโยบายแก้บน" แถมบนหมูทั้งตัว แต่แก้บนด้วยหัวหมูเท่านั้นอีกต่างหาก และที่ ไม่ได้ตอบเลย คือ จะมีมาตรการอย่างไรรองรับ ที่นโยบายนี้ จะทำให้ แก๊สโซฮอล์ แพงกว่า เบนซิน แบบนี้ นโยบายพลังงานทดแทนเลิกฝันได้เลยครับ เพราะแม้แต่ บางจาก ยังออกมาบอกว่า จะเลิกขาย แก๊สโซฮอล์


http://www.facebook.com/TeamKornChatikavanijPage#!/notes/korn-chatikavanij/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5-%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81/10150288236259730
"คนอย่างแม้ว ผิดไม่ได้แพ้ไม่เป็น ผิดไม่เป็นแพ้ไม่ได้" (บัญญัติ บรรทัดฐาน : รายการลงเอยอย่างไร?)

ปชปหัวก้าวหน้า

ไม่ได้ดูการถ่ายทอดตลอดเวลา ดูแต่ตอนกลางคืนบางคืน เมื่อได้มีโอกาสเห็นท่าทีของ สส.ปชป.ในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยแล้ว ขัดใจพอสมควร ที่เห็นก็เช่น

1. แม้การประท้วงแบบงี่เง่าและนอกเรื่องอาจจะลดลง แต่กลับหันไปใช้วิธีนำเสนอข้อมูลเท็จและพูดจากถากถางหรือไม่ก็ด่าทอคนที่ไม่ไ้ด้อยู่ในห้องประชุมและไม่มีโอกาสชี้แจงอย่างคุณทักษิณ หรือไม่อีกทีก็ด่าคนเสื้อแดงแทน เป้าหมายเพียงเพื่อกวนโอ๊ย สส.เพื่อไทยให้ของขึ้นโต้ตอบเอาเท่านั้น คุณณัฐวุฒิทำถูกแล้วที่ถอนคำพูดในวันต่อมา เรื่องจะได้จบและรัฐบาลทำงานได้

2. มีการนำเอาเรื่องสถาบันเบื้องสูงมาสร้างกระแสให้ตัวเองและโจมตีผู้อื่นอย่างชัดเจน เช่น ไอ้ สส.ที่สร้างปัญหาปั่นกระแสเรื่องนี้ตอนดึก จนเป็นเหตุให้สภาล่ม แล้วโยนปัญหาให้รัฐบาลและประธานสภานั้น คนที่ฟังอยู่ทุกคนรู้ดีว่าเรื่องนี้ใครเริ่มก่อน นายนิพิธนั่นแหละที่เอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกล่าวหาผู้อื่น หลังจากทำเป็นแต่เรื่องไร้สาระของทนายความหาเหตุเล็ก ๆ ไปเล่นงานเขามาตั้งแต่นอกสภาแล้ว

3. สันดานถ่อยของ สส. ปชป. ยังอยู่ครบ เช่นไอ้ สส.เพชรบุรีหน้าตากังฉินตัวหนึ่งที่แสดงท่าทางถ่อยสถุลด้วยการชี้หน้า รมต.พลังงาน ท้าทายว่าแล้วเจอกันแบบอันธพาลข้างถนน ถ่อยสถุลแบบนี้คนเพชรบุรีเลือกมันมาได้อย่างไร แล้วยังแสดงวุฒิภาวะของพรรค ปชป ในการเลือกผู้สมัครด้วย

4. เห็นชัดว่าพรรค ปชป.ไม่ไ้ด้วิจารณ์นโยบายในด้านหลักการเลย แต่ใช้วิธีแบบนักโต้วาที หาจุดเล็ก ๆ ที่อาจมีปัญหาในทางปฏิบัติมาโจมตีเท่านั้น พรรค ปชป ไม่สามารถหาเหตุผลมาลดคุณค่าของนโยบายหลักพรรคเพื่อไทยเลย จากนั้นก็รีบแถลงผลงานของตัวเองแทน

ในรายละเอียดของนโยบายบางนโยบายนั้น ในทางหลักการแล้วพรรค ปชป ไม่สามารถเสนอแนวทางที่ดีกว่าพรรคเพื่อไทยได้เลย ใช้แต่วิธีสุมหัวกันย้ำเป็นระลอก ๆ ว่ารัฐบาลใช้คำไม่ถูกต้อง เช่น อ้างคำว่าค่าแรงขั้นต่ำบ้าง เงินเดือนบ้าง ซ้ำซากอยู่ตลอด ปัญหาไม่ใช่คำว่าค่าแรงขั้นต่ำหรือคำว่าเงินเดือน แต่อยู่ที่รัฐบาลทำได้ที่ให้ประชาชนรากหญ้าและมนุษย์เงินเดือนได้รับสิ่งที่รัฐบาลหาเสียงไว้ต่างหาก

เรื่องพลังงาน พรรค ปชป ก็ยังหน้าตัวเมียทั้งพรรคเช่นเดิม การไม่เก็บเงินกองทุนน้ำมันนั้นทำให้น้ำมันราคาถูกลงแน่นอน สู้หลักการไม่ได้ ก็หันไปใช้เรื่องราคาแก๊สโซฮอลล์มาพูด ซึ่งถ้าไม่เก็บเงินกองทุนน้ำมัน ต้นทุนน้ำมันที่จะเอามาทำแก๊สโซฮอล์ก็จะลดลงเหมือนกัน สิ่งที่ ปชป กลัวที่สุดนั้น ไม่ใช่เรื่องแอลกอฮอล์จากอ้อยหรือมันสำปะหลังหรอก แต่เป็นน้ำมันปาล์ม ที่ สส.พรรค ปชป. แก๊งค์กักตุนกลุ่มไอ้เทือกทำมาหากินกันอยู่ จนใช้วิธีหน้าด้านทำให้ขาดแคลนแล้วสุมหัวกันปล้นเงินมหาศาลจากประชาชนไปเมื่อเร็ว ๆ นี้มาแล้วต่างหาก เพราะเอามาทำแก๊สโซฮอล์เยอะมาก
ฯลฯ

ผมยังไม่เห็นการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์หรือข้อเสนอแนะดี ๆ ใดจากพรรค ปชป เลย ตลอดที่ฟังในวันอภิปราย นอกจากวิธีดราม่าสร้างกระแส มันแสดงชัดว่า พรรคนี้ยังคงเป็นพวก "ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ เฮ็ดเมียเพื่อน" ได้อย่างคงเส้นคงวา ทำเป็นแต่การมุ่งทำลายผู้อื่นด้วยสารพัดวิธี ใช้สันดานทนายความและนักโต้วาทีมาด่าทอคู่แข่งโดยตลอด ขอให้พรรค ปชป.ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งทำคนก็ยิ่งตาสว่าง อย่าคิดว่าไม่จริง ผลการเลือกตั้งใน กทม.ครั้งนี้เป็นตัวอย่าง ปชป เสียที่นั่งไปเท่าไหร่ ว่ากันว่าควรจะสูญพันธุ์เสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีการใช้วิธีพิเศษในการเพิ่มคะแนนเสียง ทำแบบนี้แหละ เลือกตั้งคราวหน้าก็จะยิ่งพินาศฉิบหายเพิ่มขึ้นอีก พรรคการเมืองชั่ว ๆ มันจะได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศเสียที

ปชปหัวก้าวหน้า

พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่อาจก้าวข้ามทักษิณและวิธีการเดิม ๆ ของตนได้

การก้าวไม่ข้ามทักษิณก็จะวนไปวนมาอยู่ตรงนี้ มุ่งแต่จะใช้คำพูดเพื่อโยงถึงทักษิณ เสียดสี เหน็บแนมต่างๆ ซึ่งในทางการเมืองอาจทำให้คนที่สนับสนุน ปชป. ปัจจุบัน สะใจ แต่ "จำนวนคนที่สะใจกับกรณีแบบนี้" มันมีจำนวนจำกัด หากพูดว่า วิธีนี้คือสินค้า และลูกค้าที่ซื้อมีอยู่กลุ่มเดียว ขยายตลาดไม่ได้ หากมัวแต่เอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ตลาดก็ไม่โต กลายเป็น Niche Market สินค้าเฉพาะกลุ่มไป เมื่อรวมเสียงออกมาแล้วก็เหมือนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 คือ มีทั้งอำนาจรัฐ เงินตรา และคนกลุ่มนี้ออกมาหนุนเต็มที่ แต่ก็ได้แต่ 159 เสียง ลดลงด้วย

หาก ปชป. ตัดสินใจก้าวข้ามทักษิณไปเสีย อาจจะขยายตลาดได้มากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต
เพราะพอเอ่ยชื่อทักษิณขึ้นมา คนก็แบ่งออกมาเป็นสองขั๋วทันที และขั๋วที่เกลียดทักษิณนั้น "แพ้ด้านจำนวน" ตลอด

ส่วน "กลยุทธ์ทางการเมือง" ปชป. ก็ยังใช้โวหาร วาทะแบบเดิม คือใช้ "กลยุทธ์ทางการตลาดเดิมๆ" 60 ปีที่แล้วทำอย่างไร ก็ทำอย่างนั้นอยู่ เหมือน "วิทยุทราสซิสเตอร์ยี่ห้อธานินทร์" สมัยก่อน ที่ไม่มีการปรับปรุงรูปร่างเลย สุดท้ายก็เจ๋งในที่สุด กลยุทธ์ทางการตลาดของ ปชป.ก็เหมือนเดิม เมื่อกลยุทธเหมือนเดิม "ลูกค้ากลุ่มเดิม" ก็เลยกลายเป็น Niche  Market ไป

ก็ต้องเป็นฝ่ายค้านตลอดไป

บทความจาก คุณลูกชาวนาไทย

ล ลิง

 ส-เหอเหอ ส.หลก

[attach=1]

555+


ปล.ไปดูประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ พูดเรื่องมาตรฐานสรรพากรไทย !!
http://www.prasong.com/uncategorized/235/
"คนอย่างแม้ว ผิดไม่ได้แพ้ไม่เป็น ผิดไม่เป็นแพ้ไม่ได้" (บัญญัติ บรรทัดฐาน : รายการลงเอยอย่างไร?)

อยากเห็นหาดใหญ่ดีขึ้น

อ้างจาก: ปชปหัวก้าวหน้า เมื่อ 15:37 น.  26 ส.ค 54
ไม่ได้ดูการถ่ายทอดตลอดเวลา ดูแต่ตอนกลางคืนบางคืน เมื่อได้มีโอกาสเห็นท่าทีของ สส.ปชป.ในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยแล้ว ขัดใจพอสมควร ที่เห็นก็เช่น

1. แม้การประท้วงแบบงี่เง่าและนอกเรื่องอาจจะลดลง แต่กลับหันไปใช้วิธีนำเสนอข้อมูลเท็จและพูดจากถากถางหรือไม่ก็ด่าทอคนที่ไม่ไ้ด้อยู่ในห้องประชุมและไม่มีโอกาสชี้แจงอย่างคุณทักษิณ หรือไม่อีกทีก็ด่าคนเสื้อแดงแทน เป้าหมายเพียงเพื่อกวนโอ๊ย สส.เพื่อไทยให้ของขึ้นโต้ตอบเอาเท่านั้น คุณณัฐวุฒิทำถูกแล้วที่ถอนคำพูดในวันต่อมา เรื่องจะได้จบและรัฐบาลทำงานได้

2. มีการนำเอาเรื่องสถาบันเบื้องสูงมาสร้างกระแสให้ตัวเองและโจมตีผู้อื่นอย่างชัดเจน เช่น ไอ้ สส.ที่สร้างปัญหาปั่นกระแสเรื่องนี้ตอนดึก จนเป็นเหตุให้สภาล่ม แล้วโยนปัญหาให้รัฐบาลและประธานสภานั้น คนที่ฟังอยู่ทุกคนรู้ดีว่าเรื่องนี้ใครเริ่มก่อน นายนิพิธนั่นแหละที่เอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกล่าวหาผู้อื่น หลังจากทำเป็นแต่เรื่องไร้สาระของทนายความหาเหตุเล็ก ๆ ไปเล่นงานเขามาตั้งแต่นอกสภาแล้ว

3. สันดานถ่อยของ สส. ปชป. ยังอยู่ครบ เช่นไอ้ สส.เพชรบุรีหน้าตากังฉินตัวหนึ่งที่แสดงท่าทางถ่อยสถุลด้วยการชี้หน้า รมต.พลังงาน ท้าทายว่าแล้วเจอกันแบบอันธพาลข้างถนน ถ่อยสถุลแบบนี้คนเพชรบุรีเลือกมันมาได้อย่างไร แล้วยังแสดงวุฒิภาวะของพรรค ปชป ในการเลือกผู้สมัครด้วย

4. เห็นชัดว่าพรรค ปชป.ไม่ไ้ด้วิจารณ์นโยบายในด้านหลักการเลย แต่ใช้วิธีแบบนักโต้วาที หาจุดเล็ก ๆ ที่อาจมีปัญหาในทางปฏิบัติมาโจมตีเท่านั้น พรรค ปชป ไม่สามารถหาเหตุผลมาลดคุณค่าของนโยบายหลักพรรคเพื่อไทยเลย จากนั้นก็รีบแถลงผลงานของตัวเองแทน

ในรายละเอียดของนโยบายบางนโยบายนั้น ในทางหลักการแล้วพรรค ปชป ไม่สามารถเสนอแนวทางที่ดีกว่าพรรคเพื่อไทยได้เลย ใช้แต่วิธีสุมหัวกันย้ำเป็นระลอก ๆ ว่ารัฐบาลใช้คำไม่ถูกต้อง เช่น อ้างคำว่าค่าแรงขั้นต่ำบ้าง เงินเดือนบ้าง ซ้ำซากอยู่ตลอด ปัญหาไม่ใช่คำว่าค่าแรงขั้นต่ำหรือคำว่าเงินเดือน แต่อยู่ที่รัฐบาลทำได้ที่ให้ประชาชนรากหญ้าและมนุษย์เงินเดือนได้รับสิ่งที่รัฐบาลหาเสียงไว้ต่างหาก

เรื่องพลังงาน พรรค ปชป ก็ยังหน้าตัวเมียทั้งพรรคเช่นเดิม การไม่เก็บเงินกองทุนน้ำมันนั้นทำให้น้ำมันราคาถูกลงแน่นอน สู้หลักการไม่ได้ ก็หันไปใช้เรื่องราคาแก๊สโซฮอลล์มาพูด ซึ่งถ้าไม่เก็บเงินกองทุนน้ำมัน ต้นทุนน้ำมันที่จะเอามาทำแก๊สโซฮอล์ก็จะลดลงเหมือนกัน สิ่งที่ ปชป กลัวที่สุดนั้น ไม่ใช่เรื่องแอลกอฮอล์จากอ้อยหรือมันสำปะหลังหรอก แต่เป็นน้ำมันปาล์ม ที่ สส.พรรค ปชป. แก๊งค์กักตุนกลุ่มไอ้เทือกทำมาหากินกันอยู่ จนใช้วิธีหน้าด้านทำให้ขาดแคลนแล้วสุมหัวกันปล้นเงินมหาศาลจากประชาชนไปเมื่อเร็ว ๆ นี้มาแล้วต่างหาก เพราะเอามาทำแก๊สโซฮอล์เยอะมาก
ฯลฯ

ผมยังไม่เห็นการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์หรือข้อเสนอแนะดี ๆ ใดจากพรรค ปชป เลย ตลอดที่ฟังในวันอภิปราย นอกจากวิธีดราม่าสร้างกระแส มันแสดงชัดว่า พรรคนี้ยังคงเป็นพวก "ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ เฮ็ดเมียเพื่อน" ได้อย่างคงเส้นคงวา ทำเป็นแต่การมุ่งทำลายผู้อื่นด้วยสารพัดวิธี ใช้สันดานทนายความและนักโต้วาทีมาด่าทอคู่แข่งโดยตลอด ขอให้พรรค ปชป.ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งทำคนก็ยิ่งตาสว่าง อย่าคิดว่าไม่จริง ผลการเลือกตั้งใน กทม.ครั้งนี้เป็นตัวอย่าง ปชป เสียที่นั่งไปเท่าไหร่ ว่ากันว่าควรจะสูญพันธุ์เสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีการใช้วิธีพิเศษในการเพิ่มคะแนนเสียง ทำแบบนี้แหละ เลือกตั้งคราวหน้าก็จะยิ่งพินาศฉิบหายเพิ่มขึ้นอีก พรรคการเมืองชั่ว ๆ มันจะได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศเสียที
อธิบายได้ดีมากครับ แต่ผมก็กลัวว่าพวกสะตอดักดานก็คงไม่ Get ขอใช้ประโยคเหล่านี้แทนพวกชอบเลือกเสาไฟฟ้านะครับ ไม่รู้เรื่อง(ไม่เข้าใจ) ไม่เปิดใจและอคติ(เข้าไม่ถึง) สุด้ทายก็คือดักดาน(ไม่พัฒนา) ภาคใต้มันถึงเป็นแบบนี้ ล้าหลังและวุ่นวายเกิดความรุนแรง ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้

ล ลิง

อีกหนึ่งนโยบายที่เข้าข่าย "หลอกกันทำไม"
เค้าบอกทำได้ต่อเมื่อสร้างรถไฟฟ้าครบ 10 สายก่อน   555+


'สุกำพล'ชี้รถไฟฟ้า20บ.ต้องรอสร้างครบ10เส้น
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย โดยให้พิจารณาเพิ่มเติมตามที่นายประภัสร์ จงสงวน กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ตั้งข้อสังเกตเรื่องการชดเชยรายได้ค่าโดยสารให้กับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเอ็มซีแอล และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ว่าจะกระทบกับผู้ถือหุ้น หากรัฐบาลแทรกแซงค่าโดยสาร เพราะอาจเป็นการเข้าข่ายจำกัดรายได้ของผู้ถือหุ้น และอาจเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องจากผู้ถือหุ้นในอนาคต


ตอนหาเสียงไม่เห็นพูดแบบนี้เลยว่าจะกระทบโน่นนี้...555+



สวัสดีประเทศไทย   ลั้นลาไปเถอะ "บาบู"



อ่านเพิ่มเติม :
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20110915/409461/สุกำพลชี้รถไฟฟ้า20บ.ต้องรอสร้างครบ10เส้น.html
"คนอย่างแม้ว ผิดไม่ได้แพ้ไม่เป็น ผิดไม่เป็นแพ้ไม่ได้" (บัญญัติ บรรทัดฐาน : รายการลงเอยอย่างไร?)

ปชปหัวก้าวหน้า

4.คืนภาษีรถคันแรก

เขาจะ "ไม่คืน" ครับ แต่เขาจะให้เอาไปหักภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ดังนั้น ใครจะซื้อรถคันแรก แต่ไม่ได้เป็น มนุษย์เงินเดือนก็จะหมดโอกาส แม้แต่ผู้ที่มีภาษีให้เขาหัก ก็ดูให้ดีนะครับ รถ 1 ล้านบาท ภาษีน่าจะประมาณ 300,000 บาท แต่เขาเสนอให้หักได้แค่ 100,000 บาทเท่านั้น
----------------------------------------------------------------------------------------------
เอาของจริงไป จัดให้ครับ

นโยบายคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก
ซึ่งถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะเริ่มดำเนินการในปีแรก เริ่มขึ้นแล้ว

โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ก.ย.
ได้อนุมัติหลักเกณฑ์การคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก ดังนี้

1. เป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อที่ซื้อตั้งแต่ วันที่ 16 ก.ย.54 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.55

2. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท/คัน

3. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ซีซี/
รถยนต์กระบะ (ปิกอัพ)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (ดับเบิลแค็บ)

4. เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ
ไม่รวมรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)

5. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีสรรพสามิตตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท/คัน

6. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

7. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือห้ามโอนภายใน 5 ปี

8. การคืนเงินจะคืนให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปี ไปแล้ว จ่ายคืนเป็นเช็ค

การคืนเงินผู้ซื้อรถยนต์คันแรกต้องมีเอกสาร 7 อย่างแนบไปด้วยคือ

1.แบบคำขอคืนภาษีเงินสำหรับรถยนต์คันแรก

2.สำเนาบัตรประชาชน

3.สำเนาทะเบียนบ้าน

4.สำเนาหนังซื้อเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

5.สำเนาคู่มือการจดทะเบียนรถ

6.หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี และ

7.หลักฐานการซื้อรถยนต์ ให้ที่กรมสรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ โดยกรมจะใช้เวลา 7 วัน
ยืนยันการได้รับคืนภาษี และผู้ซื้อรถจะได้รับเงินคืนภายหลัง 1 ปี ที่ซื้อรถยนต์

ขั้นตอนการคืนเงิน แบบคำร้องขอคืนเงิน
ดูรายละเอียดได้ในเว็บไซต์กรมสรรพสามิต www.excise.go.th

สำหรับผู้ที่จะได้รับสิทธิ์คืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก
จะต้องมีการจองซื้อรถยนต์หลังจากวันที่ 16 ก.ย.54 เป็นต้นไป
ถ้าจองซื้อก่อนหน้านี้ไม่ได้รับสิทธิ์
แต่ช่วงปิดโครงการวันที่ 31 ธ.ค.55
จะต้องมีการจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบกแล้ว จึงขอใช้สิทธิ์ได้

ส่วนผู้ที่ต้องผ่อนกับไฟแนนซ์รัฐบาลจะจ่ายคืนเงินให้กับผู้ซื้อรถ ไม่ใช่ไฟแนนซ์
แต่ถ้าผู้เช่าซื้อผ่อนต่อไปไม่ไหวถูกยึดรถ บริษัทไฟแนนซ์จะช่วยทวงภาษีคืนจากผู้ซื้อรถ

แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ กรมสรรพสามิตจะตามทวงเงินคืนเอง
และจะใช้กฎหมายแพ่งตามฟ้องเรียกเงินคืนจากผู้ซื้อรถเป็นรายๆ ไป
ส่วนรถดังกล่าวกรมสรรพสามิตจะพิจารณาคืนสิทธิ์การห้ามโอนให้กับไฟแนนซ์
เพื่อให้สามารถนำไปขายต่อได้

และเพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ซื้อจะทิ้งรถหลังได้คืนเงินแล้ว
ทางไฟแนนซ์จึงออกตัวมาแล้วว่าการปล่อยกู้คงเข้มข้นขึ้น
และคงต้องให้ผู้ซื้อวางเงินดาวน์เพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนที่เป็นประเด็นให้คนอีกกลุ่มใหญ่ได้ลุ้นคือ
กรณีที่ นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ระบุว่า
กรมได้เก็บสถิติการยื่นจดทะเบียนรถตั้งแต่ช่วงหลังปี"49 เป็นต้นมาเท่านั้น
ซึ่งอาจจำเป็นต้องยกประโยชน์ให้จำเลยสามารถใช้สิทธิ์ขอลดหย่อนภาษีได้

นั่นหมายความว่า หากผู้ที่เคยยื่นจดทะเบียนการซื้อรถยนต์ก่อนหน้าปี"49
ถ้าซื้อรถใหม่ก็อาจได้รับสิทธิ์คืนเงินด้วย

แต่คงต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มข้น

แน่นอนว่าผลพวงจากนโยบายนี้ย่อมตกแก่ค่ายรถยนต์ต่างๆ
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
ผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ "โตโยต้า" เปิดเผยว่า นโยบายนี้เป็นเรื่องที่ดี
เพราะนอกจากกระตุ้นยอดขายรถยนต์แล้ว ยังรวมไปถึงเศรษฐกิจโดยรวมด้วย
เนื่องจากไม่ใช่แค่กับผู้ผลิตรถยนต์
แต่ยังรวมไปถึงซัพพลายเออร์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายเล็ก รายใหญ่ทั้งหมด
และกลุ่มรถยนต์ที่จำกัดไว้ที่ 1,500 ซีซี เป็นการเน้นผู้ที่ใช้งานรถคันแรก
แม้กลุ่มคอมแพ็กจะได้สิทธิจากภาษีสูงสุด
เพราะจ่ายอยู่ที่ 25% ส่วนอีโคคาร์ จ่ายภาษีอยู่ที่ 17%

สำหรับรถปิกอัพอาจจะได้รับประโยชน์ตรงนี้ค่อนข้างน้อย
เพราะเสียภาษีอยู่ที่ 3% และ 12% สำหรับรถแบบดับเบิลแค็บ
แต่ก็ถือว่าได้กันทั้งหมด
เพราะสุดท้ายขึ้นอยู่กับลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจเลือกซื้ออยู่ดี
ขณะที่กรอบระยะเวลา 15 เดือน นับว่าเหมาะสม
ช่วยให้ผู้ผลิตมีเวลาในการปรับไลน์ผลิต ให้ตรงกับความต้องการที่เกิดขึ้น
ซึ่งของโตโยต้า ขณะนี้ได้เดินสายการผลิตเต็มที่อยู่แล้ว
การได้แรงส่งตรงนี้ อาจทำให้ต้องเพิ่มการทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นอีก

นายพิทักษ์ พฤธิสาริกร
รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ "ฮอนด้า" กล่าวว่า
การตัดสินใจของรัฐบาล จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อรถ
ถือว่าเป็นผลบวกกับอุตสาหกรรม และสิ่งที่น่ายินดีขึ้นไปอีก คือ
การเลื่อนกำหนดวันเริ่มบังคับใช้ ขึ้นมาเป็นวันที่ 16 ก.ย.54 จากเดิม
คาดว่าจะเป็นวันที่ 1 ต.ค.54
เพราะไม่ทำให้ช่วง 2 สัปดาห์ที่รอผลบังคับใช้ เกิดความวุ่นวาย รวมถึงการชะลอการตัดสินใจของลูกค้า

สำหรับผู้ผลิตรถยนต์
จากนี้ไปต้องเฝ้าประเมินผลอย่างใกล้ชิด และรอบคอบกับการปรับเปลี่ยนกำลังการผลิต
เนื่องจากยังประเมินยากถึงความต้องการ และจำนวนที่แท้จริงที่มาจากโครงการนี้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มรถขนาดเล็กได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
และอาจมีไหลมาจากรถขนาดกลางอย่างแน่นอน
ด้านกำลังการผลิตของฮอนด้า ปัจจุบันเร่งเต็มที่จึงทำให้พร้อมรองรับ
และมีความยืดหยุ่นในการผลิต
ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามาโดยตลอดอยู่แล้ว

ส่วน นายประพัฒน์ เชยชม
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ "นิสสัน" เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว
เนื่องจากเป็นการกระตุ้นตลาด และสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น
สำหรับนิสสัน อยู่ระหว่างการ เตรียมความพร้อม
เพื่อรองรับลูกค้าที่ได้รับสิทธิ และไม่ได้รับสิทธิ รวมทั้งเตรียมกลยุทธ์การตลาด
เพื่อรองรับกับราคาส่วนลดที่ต่างกัน ของอีโคคาร์ กับเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี
โดยนิสสันมาร์ช จะชูเรื่องความคุ้มค่าระยะยาว
ทั้งราคาขายต่อ ประหยัดน้ำมันตลอดอายุรถ ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า มาเป็นจุดขาย

ในส่วนของโรงงานผลิต ยังคงต้องดำเนินตามแผนเดิมที่วางไว้
เนื่องจากที่ผ่านมาค่อนข้างเต็มกำลังการผลิต
อีกทั้งการขยายกำลังการผลิต ต้องมีการเตรียมความพร้อม
และระยะเวลาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง หรือรถปิกอัพก็ตาม

นายสาโรช เกียรติเฟื่องฟู
รองประธานฝ่ายการตลาด การขาย และการบริการ ฟอร์ด ประเทศไทย
ผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ "ฟอร์ด" เปิดเผยว่า
เป็นมาตรการที่ดี เพราะช่วยกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์คึกคักมากขึ้น
แต่ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินว่า
มาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากน้อยแค่ไหน
ต้องรอดูผล อย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป
แต่ที่ได้ประโยชน์เป็นรถขนาดเล็ก
ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าเปลี่ยนเซ็กเมนต์รถที่จะซื้อ
โดยมาจากกลุ่มเดิมที่ต้องการซื้อรถที่ใช้เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี บ้าง
แต่จำนวนอาจจะไม่มากนัก
ขณะที่ลูกค้าที่ต้องการซื้อรถที่เครื่องยนต์ใหญ่กว่านั้น
มองว่าไม่น่าจะเปลี่ยนใจมาซื้อ แม้จะได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เป็นกลุ่มบริษัทเช่าซื้อ ไฟแนนซ์
เนื่องจากปล่อยสินเชื่อไปแล้ว เมื่อลูกค้าเข้ามาซื้อรถยนต์
แต่หากไปขอคืนภาษีไม่ได้ เชื่อว่าจะมีลูกค้าบางคนที่นำรถมาคืน หรือไม่ผ่อนต่อ
เนื่องจากไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ ซึ่งต้องมีการพิจารณาในจุดนี้อย่างรอบคอบ



ด้าน น.ส.สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้จำหน่ายรถยนต์ "มาสด้า" กล่าวว่า
ขณะนี้บริษัทได้แจ้งให้ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
เตรียมความพร้อม ในการให้ความรู้กับลูกค้าในนโยบาย
ทั้งด้วยการอธิบาย และเอกสาร โดยจัดทำเป็นพื้นที่เฉพาะ
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่ารถยนต์นั่งขนาด 1,500 ซีซี หรือบีคาร์
จะได้รับความตอบรับจากนโยบายนี้มากที่สุด เพราะได้รับการคืนภาษีสูงสุด

ทั้งนี้ บริษัทได้แจ้งไปยังออโต้อัลลายแอนซ์
ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์มาสด้า 2 ให้เพิ่มยอดส่งกับบริษัท เพิ่มเป็น 3,500 คัน ต่อเดือน
จากเดิมที่ส่งให้อยู่ 3,000 คันต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่ายอดขายตลาดรวมรถยนต์ในปีนี้จะอยู่ที่ 9.2-9.3 แสนคัน
โดยยอดขายที่เติบโตขึ้นมากนี้ เป็นเพราะราคาน้ำมันที่ลดลง
ประกอบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ขยายตัวมาก
ส่วนนโยบายการคืนภาษีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
ขณะที่ในปีหน้าตลาดรวมรถยนต์มีโอกาสทะลุ 1 ล้านคัน
จากปัจจัยบวกที่มีอยู่ รวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่
ไม่ว่าจะเป็นปิกอัพ และอีโคคาร์ ที่หลายค่ายเตรียมทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
จะกระตุ้นตลาดได้เป็นอย่างดี

น.ส.ศศินันทร์ ออลแมน
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ส
(ประเทศไทย จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ "เชฟโรเลต" เปิดเผยว่า
นโยบายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้บริโภค
และเป็นการกระตุ้นยอดจำหน่ายให้อุตสาหกรรมยานยนต์อีกทางหนึ่งด้วย
โดยในส่วนของเชฟโรเลต มีรถที่สามารถได้รับผลประโยชน์นี้
ทั้งจากรถอาวีโอ 1.4 รถกระบะ เชฟโรเลต โคโรลาโดปัจจุบัน และที่กำลังจะออกสู่ตลาดเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ตาม ด้วยกรอบเวลาและเงื่อนไขของนโยบาย
บริษัทเห็นว่าประโยชน์จากการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

ดังนั้น เพื่อประโยชน์สูงสุดกับประเทศในภาพรวม
บริษัทสนับสนุนการผลักดันให้เกิดนโยบายนำรถเก่ามาแลกซื้อรถคันใหม่
ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายๆ ประเทศ
โดยผู้บริโภคจะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากภาครัฐ
เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของรถคุณภาพดีได้ง่ายขึ้น

และนโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
อีกทั้งยังเป็นการควบคุมมลภาวะอันเกิดจากการที่รถเก่าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออก ไซด์อีกด้วย

ขณะที่ นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์
โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
สรุปว่า นโยบายนี้คาดว่าจะกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศในปี"55
จะมีมากกว่า 1 ล้านคัน จากปี"54 ที่อยู่ระดับ 9 แสนคัน

แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศของปีหน้าด้วยว่าจะดีขึ้นหรือไม่



เปรียบเทียบเงินคืนภาษี

ประเภทรถยนต์ อัตราภาษี (%) เงินคืนภาษี (บาท)

รถยนต์นั่ง (1,500 ซีซี) 2 5 93,500 - 100,000

ปิกอัพ 3  11,000 - 22,200

ดับเบิลแค็บ 1 2 58,600 - 99,000

อีโคคาร์ 17  51,000 - 69,100

รักเมืองไทย

มันหลอกใช้พวกไพร่ชัดๆ  รัฐบาลนี้พยายามยัดเยียดความเป็นทาษให้กับคนไทย เช่น  ให้บัตรเครดิตกับชาวไร่ ชาวนา  เป็นหนี้เป็นสินไม่ที่สิ้นสุด พอปลดหนี้ไม่ได้ก็ให้รัฐบาลปลดหนี้ให้  สมัยหน้าจะได้เลือกรัฐบาลชุดนี้อีก มันเป็นวงจรหรือวัฎจักรที่อุบาทก์ของรัฐบาลชุดนี้  ต่อมาก็งดส่งกองทุนน้ำมัน อย่างเช่น น้ำมันดีเซลล์ เพดานให้ขายไม่เกิน 30 บาท พองดส่งเข้ากองทุนน้ำมัน 3 บาท ก็เหลือ 27 บาท  ต่อมาบริษัทน้ำมันก็ถือโอกาสขึ้นราคาน้ำมันทันที เพราะมีส่วนต่างหรือช่องว่างอยู่ 3 บาท ส่วนเกิน 27 บาทนี้ไม่ต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันแล้ว  ทำให้บริษัทน้ำมันฟันกำไรเหนาะๆในส่วนนี้ อยากถามประชาชนที่เลือกรัฐบาลนี้เข้ามาว่าคนที่ถือหุ้นบริษัทน้ำมันมีใครบ้าง ก็คนในรัฐบาลนี้ทั้งนั้นแหละ นโยบายของรฐบาลชุดนี้เป็นการสร้างหนี้ให้กับประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรถคันแรก บ้านหลังแรก  ซึ่งเป็นการสวนทางกับเศราฐกิจพอเพียงของในหลวงที่ทรงชี้แนะไว้  กรรมของคนไทย

ปชปหัวก้าวหน้า

มติ ครม.ไฟเขียวคืนภาษี 10% บ้านหลังแรก ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เริ่ม 22 กย.54 ถึง สิ้นปี 55

ปชปหัวก้าวหน้า

ครม.ปรับเงินเดือนขั้นต่ำ ขรก.และลูกจ้างรัฐ 6.5 แสนคน เป็น 15,000 เริ่ม 1 เมย.55

ผัวปู

ค.ร.ม ปรับเงินเดือนลูกจ้างเอกชน ทั่วประเทศ เป็นเดือนละ 30,000 เริ่ม เริ่ม เริ่ม เริ่มเมื่อไหร่ว่ะ

gggh

ฉันเป็นแม่ค้าหนมครก จบปริริญญาตรีเหมือนกัน
เมื่อไรจะปรับให้ฉัน 30000  เมื่อไรวะ่ เหมือนกัน

ยิ้มแย้ม

ผมว่าให้โอกาศเขาทำงานดูครับ ผมว่าเริ่มทำงานยังไม่ได้ 3เดือน คงยังไม่เห็นอะไรมาก ลองนึกภาพตามดูนะครับ เหมือนเราจ้างพนักงานมาทำงานเราเป็นคนคัดเลือกถามว่าทำอะไรได้ เขาบอกว่าทำได้ 1 2 3 4 เราเชื่อมั่น เราก็รับ ทำงานได้ 3 เดือน ได้สัก 30-40 % ผมว่าโอเค กลับกันกับพนักงานที่อยากลาออกเพื่อต่อรองผลประโยชน์ที่มากขึ้น แต่บริษัทไม่รับต้องคิดว่าทำไมไม่รับพนักงานคนนั้นอาจเก่งแต่ทีมงานไม่เก่ง หรือทำงานแต่อยู่ในกรอบเลยไม่ผิดแต่ไม่เด่น หรือคิดในสภาพว่าบริษัทเราอยู่อย่างนี้ก็พอแต่บริษัทที่เคยล้าหลังเราจะแซงเราหมดแล้ว สุดท้าย คนที่เลือกพนักงานคนนี้มาทำงานโดนค่าใช้จ่ายเล่นงานจะตายอยู่แล้วพนักงานคนนั้นกลับบอกว่าที่ไหนก็เป็นเหมือนกันอดทนหน่อยกำลังแก้อยู่ ลองนึกดูนะครับ ผมว่าเราทุกคนลองให้โอกาศดูครับ ถ้าไม่ดีเราก็ช่วยกันปลดออกครับ ไม่ต้องสนใจครับ มองดูผลงานและสิ่งที่มากระทบกับตัวเราและภาพรวมมากกว่า อะไรดีกว่าก็เลือกสิ่งนั้นครับ จุดยืน=สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติ ประชาชน และสถาบัน

TheRapist

ในโลกประชาธิปไตยนั้นวิจารณ์กันได้ ด่ากันได้ ไม่พอใจเลือกใหม่ได้

คุณไม่พอใจนโยบายไหนคุณก็วิจารณ์ได้ รัฐบาลเขามาจากเลือกตั้งของประชาชน โดยพื้นฐานเขาก็ต้องฟังเสียงประชาชน

หากการวิจารณ์นั้นมีเหตุมีผล คนสนับสนุนมาก ผมเชื่อว่าเขาก็ต้องปรับปรุงให้นโยบายสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในที่สุด

ไม่วิจารณ์รัฐบาลจะรู้ได้อย่างไรว่าประชาชนต้องการอะไร
วิจารณ์ไปเถอะครับ รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ไม่เอาสไนเปอร์ มายิงหัวคุณให้สมองเละ เหมือนวีรชนที่เพิ่งเผาไป

คงไม่เหมือนรัฐบาลที่เทวดาอุ้มมาแบบไอ้มาร์คแน่

พูดตรงๆ นะคนที่วิจารณ์นโยบายของพรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ก็คือพวกเรา "มวลชนพรรคประชาธิปัตย์" ทั้งนั้นแหละครับ และ tone ที่วิจารณ์คือ "ทำไม่ได้ โกหก"แต่เมื่อเขาทำได้ ก็จะวิจารณ์ว่า ไม่เกิดประโยชน์ แต่เมื่อเกิดประโยชน์ก็จะวิจารณ์ว่าคนส่วนน้อยได้ประโยชน์ มีการใช้เงินผิดประเภท ไม่ดีพอ

ตัวอย่างการวิจารณ์ในอดีตคือ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็วิจารณ์ในทำนองว่า 30 บาทตายทุกโรค เป็นต้น หรือโครงการ กองทุนหมู่บ้าน ก็วิจารณ์ว่า ชาวบ้านเอาเงินไปซื่อโทรศัพท์มือถือเป็นต้น

ผมบอกตรงๆ การวิจารณ์แบบนี้คนที่สะใจก็มีแต่คนที่ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย (หรือเกลียดทักษิณแต่เดิม) ข้อสำคัญจำนวนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ผ่านมา 10 ปีแล้ว ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น

การวิจารณ์แบบ "ศรีธนญชัย" จ้องจับผิดด้วยโวหาร ถ้อยคำ แต่ไม่มีสาระอันใด ที่คนที่เขาได้ประโยชน์จากโครงการตรงๆ จะไปสนใจ คนที่เข้าถึงโครงการแบบนี้มีมาก

และที่สำคัญอย่าวิจารณ์โครงการ "เดียว" ว่ามันจะตอบโจทย์ทุกข้อ รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ แลหรือแม้แต่ยุคคุณทักษิณ เขามี "โครงการจำนวนมาก กระจายไปยังทุกกลุ่ม" การจับมาแต่โครงการเดียวแล้วบอกว่ามันไม่ตอบโจทย์คนทุกกลุ่มและ "โมเม" สรุปเอาว่า รัฐบาลนี้ "หลอกชาวบ้าน" เพื่อสรุปโวหารรวบยอดว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์โกหก

ผมว่าพรรคประชาธิปัตย์และพลพรรค ทำแบบนี้มา 10 ปีแล้ว ตั้งแต่ยุคคุณทักษิณ แต่ "จำนวนคนสนับสนุน" ไม่ได้มีเพิ่มขึ้น

ผมไม่ได้ประโยชน์จากโครงการรถยนต์ หรือโครงการค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท แต่ผมก็สนับสนุนรัฐบาลนี้เพราะเขาทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ ผมพอช่วยเหลือตัวเองได้ ผมไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อคนไทยมีความสุขขึ้น ประเทศดีขึ้น ผมก็ได้ประโยชน์ เพราะผมอยู่ในประเทศที่เจริญขึ้น พัฒนาขึ้น ชีวิตผมก็ต้องดีขึ้นโดยรวม

เขามีนโยบายอีกหลายอัน ช่วยเหลือกลุ่มอื่นๆ จนครอบคลุมคนที่เลือกเขานั่นแหละครับ
ผมไม่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ ผมก็ได้จากโครงการอื่น

หรืออย่างน้อยผมก็ได้รัฐบาลที่ผมเลือกขึ้นมาเอง ไม่ใช่ เทวดาที่ไหนส่งมาให้

อีกอย่างนะครับ ผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์ การวิจารณ์นโยบายใด นักเศรษฐศาสตร์เขาถือหลัก Pareto Optimality คือ นโยบายที่ดี คือนโยบายที่อย่างน้อยต้องมีคนได้ประโยชน์หนึ่งคน โดยไม่มีใครเสีย

แต่การจับผิดคำพูด เล่นคำ โดยไม่ได้ดูสาระ เช่น หาเสียงไว้่อย่างนี้ ต้องเล่นคำตามนันเด๊ะ เหมือนเรื่องค่าแรง 300 บาท ทะเลาะกันเรื่องนิยามอยู่นั่นแหละว่า รับปากไว้ 300 บาท ต้องเป็นค่าแรงขั้นต่ำ พยายามนิยามแบบศรีธนญชัยให้ได้

แต่คุณยิ่งลักษณ์หรือพรรคเพื่อไทย เขาถือเป้าหมายเป็นหลัก ตั้งเป้าหมาย แล้วพยายามไปให้ถึงเป้าให้มากที่สุด

คนที่เลือกคุณยิ่งลักษณ์ก็เช่นกัน เขาก็คิดอย่างนี้ เขาไม่ได้คิดว่า 300 บาท ต้องเป็นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่เป้นถือว่า หลอกลวงประชาชน แล้วพยายามใช้โวหารด่าว่า

เขาเอาประโยชน์ ความตั้งใจเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่พยายามจับผิดคำพูดแบบเด็กไร้สาระ



แถมให้

คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดย content เมื่อ 23 สิงหาคม 2011 - 10:45am

คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาในวันอังคาร ที่ 23 สิงหาคม 2554 ว่าด้วยระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1(สมัยสามัญทั่วไป)  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 176 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อ รัฐสภาและชี้แจงการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามมาตรา 75 โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ โดยการแถลงนโยบายของรัฐบาลครั้งนี้กำหนดวันเวลาไว้ 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2554 และวันที่ 24 สิงหาคม 2554 เวลา 09.00น.

คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในส่วนของนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก มีดังนี้

1.1   คือสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย

1.1.1 สร้างความปรองดองของคนในชาติและฟื้นฟู ประชาธิปไตย โดยการเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้เกิดความสมัครสมาน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

1.1.2 เยียวยาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องแก่บุคคลทุกฝ่าย เช่น ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางความคิด ทางการเมืองและความรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของการใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2540

1.1.3  สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความ จริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ดำเนินการอย่างอิสระและได้รับความร่วม มือจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบหาความจริงกรณีความรุนแรงทางการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชน การสูญเสียชีวิต บาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจ ความเสียหายทางทรัพย์สิน

1.2  กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติโดย ยึดหลักนิติธรรมในการปราบปรามลงโทษผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพลและผู้ประพฤติมิชอบ โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม พร้อมทั้งมีกลไกติดตามช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ และดำเนินการอย่างจริงจังในการป้องกันปัญหาด้วยการแสวงหาความร่วมมือเชิงรุก กับต่างประเทศ ในการควบคุมและสกัดกั้นยาเสพติด สารเคมี และสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดที่ลักลอบเข้าประเทศ ภายใต้การบริหารจัดการอย่างบูรณาการแลมีประสิทธิภาพ รวมทั้งดำเนินการป้องกันกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง กับยาเสพติด ด้วยการรวมพลังทุกภาคส่วนเป็นพลังแผ่นดินในการต่อสู้กับยาเสพติด



1.3  ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในภาครัฐอย่างจริงจัง โดย ยึดหลักความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลที่เป็นสากล เพื่อให้การใช้ทรัพยากรเพื่อการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิด ประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมอย่างแท้จริง(การปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายเพื่อ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบขยายการบังคับใช้บทบัญญัติ เรื่องการห้ามการขัดกันแห่งผลประโยชน์ให้ความคลุมผู้ใช้อำนาจรัฐในตำแหน่ง สำคัญและตำแหน่งระดับสูงอย่างทั่วถึง)เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อ แก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ เสริมสร้างมาตรฐานด้านคุณธรรมจริยธรรม และธรรมภิบาลของบุคลากรภาครัฐ ตลอดจนปลุกฝังจิตสำนึกและค่านิยมของสังคมไทยให้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริตและถูกต้องชอบธรรม





1.4  เร่งแก้ไขปัญหาความไม่สงบและนำสันติสุขกลับสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว โดย ระดมทรัพยากรและปรับปรุง บูรณาการการบริหารจัดการทั้งปวง ตามแนวทางพระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ให้สอดคล้องกับความหลากหลายของศาสนา และอัตลักษณ์ของพื้นที่ โดยการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมทั่วถึง พร้อมทั้งการสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อนสร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่



1.5  เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศเพื่อ สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคร่วมกัน โดยเฉพาะการเร่งแก้ไขปัญหากระทบกระทั่งตามแนวพรมแดน ผ่านกระบวนการทางการทูตบนพื้นฐานของสนธิสัญญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเร่งดำเนินการตามข้อผูกพันในการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตลอดจนการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งภายในและภายนอกภูมิประเทศ



1.6  แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง

1.6.1  ชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภทชั่วคราว เพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงทันทีและปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ให้มุ่งสู่การสะท้อนราคาต้นทุนพลังงาน และจัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสาร สาธารณะ ในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน

1.6.2  ดูแลระบบราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต

1.6.3  แก้ไขปัญหาค่าครองชีพ โดยการดูแลราคาสินค้าและการมีรายได้ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อสุทธิของประชาชน โดยป้องกันและแก้ไขการผูกขาดทั้งทางตรงและทางอ้อม



1.7   ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหาภาค ดังนี้

1.7.1 พักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่างน้อย 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้เกิน 5 แสนบาทรวม ทั้งการจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพและแผนการปรับโครงสร้างการผลิตอย่างครบวงจร เพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการมีรายได้ที่มั่นคง และสามารถใช้หนี้คืน

1.7.2  เพิ่มรายได้รายวันสำหรับแรงงานเป็นวันละ 300 บาท และรายเดือนของผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาทอย่าง สอดคล้องกับผลิตภาพและประสิทธิภาพของบุคลากร รวมทั้งมาตรการเพื่อลดภาระแก่ผู้ประกอบเพื่อลดภาระแก่ผูประกอลการที่ได้รับ ผลกระทบเพื่อให้แรงงานและบุคลากรสามารถดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมี คุณภาพชีวิตที่ดี

1.7.3  จัดให้มีเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุโดย ผู้ที่มีอายุ 60-69 ปี จะได้รับ 600 บาท อายุ 70-79 ปี จะได้รับ 700 บาท อายุ 80-89 ปี จะได้รับ 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป จะได้รับ 1,000 บาท

1.7.4  ให้มีมาตรการภาษีเพื่อลดภาระการลงทุนสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตของประชาชนทั่วไป ได้แก่บ้านหลังแรก และรถยนต์คันแรก



1.8  ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และลดลงร้อยละ 20 ในปี 2556เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน ขยายฐานภาษีและรองรับเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558



1.9  ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน สนับสนุนสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงเพิ่มสวัสดิการของรัฐเพื่อเป็นการดูแลสังคมในชุมชนจัดหาแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชน โดย

1.9.1  เพิ่มกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 1 ล้านบาท

1.9.2  จัดตั้งกองทุนพัฒนาศักยภาพสตรีเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท

1.9.3  จัดตั้งกองทุนตั้งตัวได้วงเงินประมาณ 1 พันล้านต่อสถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมโครงการ สนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อให้สามารถกู้ยืมเพื่อการสร้างอาชีพในสถานศึกษาโดยมุ่งให้เกิดวิสาหกิจ ใหม่ที่เป็นแหล่งมีงานทำ รวมทั้งเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ



1.10  ยกระดับสินค้าการเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยดุแลราคาสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพที่เหมาะสม คำนึงถึงกลไกราคาตลาดโลกโดย ใช้วิธีบริหารจัดการทางการตลาดและกลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งผลักดันให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูงเพียงพอเมื่อ เทียบกับต้นทุน และนำระบบรับจำนำสินค้าการเกษตรมาใช้ในการภัยพืชผลเพื่อลดความเสี่ยงให้แก่ เกษตรกร การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรให้สมบูรณ์ และออกบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร



1.11  ส่งเสริมให้มีการจัดการน้ำอย่างบูรณาการ และเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทานโดย การจัดให้มีการบริหารจัดการน้ำในระดับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพให้สามารถ ป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้วได้ รวมทั้งสนับสนุนภาคเกษตรด้วยการก่อสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และฟื้นฟู ขุดลอกคูคลอง และแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่เดิม ขยายเขตการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า และจัดสร้างคลองส่งน้ำขนาดเล็กเข้าสู่ไร่นา ขยายเขตการจัดรูปที่ดินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและการผลิต ส่งเสริมการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมกับชนิดของพืช และจัดหาแหล่งน้ำในระดับไร่และชุมชนอย่างทั่วถึง





1.12  เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยได้ปี 2554 - 2555 เป็นปีมหัศจรรย์ไทยแลนด์(Miracle Thailand Year) และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าร่วมเฉลิมฉลองในพิธีมหามงคลในช่วงปี 2554-2555



1.13  สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อสร้างเอกลักษณ์และผลิตสินค้าในท้องถิ่น

1.13.1  สนับสนุนภารกิจของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในการผลิตงานศิลปหัตถกรรมอันทรงคุณค่าที่มีความสามารถสูง และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ

1.13.2  บริหารจัดการโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ให้มีศักยภาพ ด้วยการสนับสนุนให้ชุมชน วิสาหกิจชุมชนใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นผนวกกับองค์ความรู้สมัยใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการ การเข้าถึงแหล่งทุนและการตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยส่งเสริม ให้มีศูนย์กระจายสินค้าถาวรในภูมิภาค และเมืองท่องเที่ยวหลักที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและการส่งออก



1.14  พัฒนาระบบประกันสุขภาพ เพื่อประสิทธิภาพของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรคเพื่อ ให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม ร่วมทั้งบูรณาการแผนงานของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงต่างๆ ให้สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน ตลอดจนส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและคุ้มค่าต่อการในให้ บริการมาใช้ให้แพร่หลาย รวมทั้งจัดให้มีมาตรการลดปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อสุขภาพ และภาวะทุพโภชนาการที่นำไปสู่การเจ็บป่วยเรื้อรัง ได้แก่ โรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิต รวมทั้งการเฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่ และมาตรการป้องกันอุบัติเหตุจากการจราจร



1.15  จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนเริ่ม ทดลองดำเนินการในโรงเรียนนำร่อง สำหรับระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ควบคู่กับการพัฒนาเนื้อหาที่เหมาะสมตามหลักสูตรบรรจุลงในคอมพิวเตอร์แท็บ เล็ต รวมทั้งจัดระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายในระดับการให้บริหาร และในพื้นที่สาธารณะและสถานศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย





1.16  เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขว้างโดย มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อวางกลไกการใช้อำนาจอธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม และองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐมีความรับผิดชอบต่อประชาชนและพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเห็นชอบโดยการออกเสียงประชามติ


23 สิงหาคม 2011