ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

นิทานอีสัด

เริ่มโดย TheRapist, 19:44 น. 21 ก.ย 54

TheRapist

นิทานอีสัด
มาฟังนิทานก่อนตื่นเล่นๆ เย็นๆไข่กันหน่อยจะเป็นไรไป ??

วันนี้เสนอตอน กบเลือกนาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยครีเตเชียส มีกบอยู่ฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในบึงกลางป่าใหญ่ อาศัยหาปลาเล็กปลาน้อย แมลงตัวกระจิ๋วหลิวกินกันไปวันๆ เพราะยังไม่มีกบตัวไหนผลิตตู้เย็นได้ จึงยังไม่รู้จักการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้กินในวันหน้า อันจักเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเหล่ากบชน เพราะการถนอมอาหารจักทำให้มีเวลาว่างเพื่อไปคิดค้นพัฒนาในด้านอื่นๆ อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงและยกระดับคุณภาพชีวิต และเพื่อสืบทอดทรัพย์สินและภูมิปัญญาให้หมู่กบในรุ่นหลังๆสืบไป



หมู่กบเหล่านี้ เมื่อมาอยู่รวมกันในบึงใหญ่ ก็ย่อมจะมีการแย่งชิงทะเลาะวิวาทกันเพราะไปทับสัมปทานการหาแมลงของกบตัวอื่นบ้าง ก็เป็นธรรมดาของการอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อกบแต่ละตัวต่างถือว่าความเห็นชี้ขาดของตัวเองย่อมดีและเลิศกว่ากบตัวอื่น การทะเลาะโต้เถียงกันด้วยวาจาย่อมมีขึ้น เมื่อสู้ด้วยกำลังภูมิปัญญาไม่ได้ ก็ต้องสู้ด้วยกำลังกาย เมื่อสู้ด้วยกำลังกายไม่ได้ ก็ต้องใช้สรรพาวุธเข้าต่อสู้ประหัติประหารกัน เพื่อยืนยันความเห็นและสิทธิของตน อันนำมาซึ่งความไม่สงบสุขแห่งบึงน้ำนั้นเนืองๆ



เหล่ากบเห็นดังนั้น จึงได้ประชุมปรึกษากัน และมีมติร่วมกันว่า สิ่งที่จำเป็นสูงสุดต่อการดำรงชีพคือความแข็งแรง ดังนั้น หมู่กบชนเราจงเลือกเอาสิ่งที่มีความแข็งแรงสูงสุดมาเป็นผู้ตัดสินคดีพิพาทและมาเป็นนายระหว่างเราเถิด เมื่อมีมติดังนั้น ฝูงกบจึงได้เลือกเอาท่อนไม่ท่อนนึงมาเป็นผู้ตัดสินข้อพิพาท เพราะมันคงทน ไม่เจ็บไม่ร้องแม้ว่าเหล่ากบจะทุบจะถองยังไง มันก็ไม่โอดครวญ แถมยังว่ายน้ำเก่ง ลอยตัวได้ตลอดเวลาไม่เคยจม ไม่เคยขึ้นฝั่งเพื่อมาพัก และนี่แหละ คือความแข็งแรงที่เหล่ากบเฝ้าใฝ่ฝันถึงคนึงหา



แต่การณ์กลับเป็นว่า ท่อนไม้นั้นมันไม่เคยตัดสินคดีให้ผู้ใดได้เลย นองจากนิ่งเฉยเป็นเตมีย์ใบ้ คงเพราะท่อนไม้ถือคติว่า เมื่อเราหุบปาก เขาจะคิดว่าเราโง่ แต่หากเราเปล่งวาจาออกมา เขาก็จะรู้ได้โดนฉับพลันทันทีว่าเรานั้นโง่จริงๆ เลยต้องเงียบเฉยเอาไว้ดีกว่า (เกร็ดเสริมความรู้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมท่อนไม้จึงไม่ยอมพูดออกมาจนถึงปัจจุบัน) เหล่ากบต่างลงความเห็นว่า ท่อนไม้นี้ไม่ได้ความเลย แต่จะปลดออกจากตำแหน่งเสีย ก็ยังไม่มีผู้ที่แข็งแรงอันเป็นที่ประจักษ์ไปกว่าท่อนไม้นั้น ก็เลยให้รักษาการในตำแหน่งเดิมต่อไป จนกว่าจะหาผู้ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ได้



ระหว่างนั้นเองก็เป็นเวลาอันประจวบเหมาะให้มีเหี้ยผ่านมายังบึงแห่งนั้น ได้เห็นฝูงกบทะเลาะกันอยู่ จึงว่ายน้ำไปเกาะยังขอนไม้ที่ลอยอยู่กลางบึงนั้น เหล่าฝูงกบต่างก็อัศจรรย์ใจที่เห็นว่าผู้นี้ช่างมีร่างกายใหญ่โต เนื้อตัวกำยำล่ำสัน ชะรอยว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิมีฤทธิอำนาจมากเป็นแน่แท้ เราจักอัญเชิญมาเป็นนายเรากันดีกว่า เหล่ากบจึงได้อัญเชิญและสถาปนาตัวเหี้ยให้เป็นนายของเหล่ากบต่อไป



แต่ตัวเหี้ยนั้น เมื่อมีคดีพิพาทระหว่างกบ การตัดสินของตัวเหี้ยนั้นก็คือ เลือกกินเอากบตัวนึงในระหว่างคู่กรณี กบตัวที่ยังเหลืออยู่ก็เท่ากับเป็นผู้ชนะคดีวิวาทไปโดยปริยาย วิธีการนี้นำมาซึงความพอใจของเหล่ากบเป็นอันมาก ตัวเหี้ยก็มีความสุขอยู่ในบึงใหญ่นั้น แถมยังไปเอาเมียเอาลูกเอาหลานมาอยู่อาศัยในบึงนั้นด้วย และการณ์ก็ดำเนินไปเช่นนี้ตราบจนกระทั่งถึงกาลคริสตศักราช 1932



แน่อนว่า เหล่ากบเองต่างก็มิได้อยู่แต่ในบึงใหญ่นี้แห่งเดียวเท่านั้น มันยังกบหนุ่มรุ่นใหม่ๆที่ออกไปเผชิญโชค เห็นหนองบึง แม่น้ำ มหาสมุทรและมหาดินสอ ได้พบได้เห็นบึงที่แต่กตางออกไป ได้ไปพบเห็นบึงยูโทเปียของเซอร์โทมัสมอร์ แล้วก็กลับมาเล่าให้เหล่ากบในบึงนั้นฟัง เหล่ากบต่างใฝ่ฝันถึงบึงในอุดมคติว่า บึงของตนก็น่าจะเป็นเช่นนั้นบ้าง ก็ใครเล่าจักไม่ฝันถึงชีวิตอันดีกว่าในวันข้างหน้า และก็แน่นอนว่า ย่อมจะดีกว่าจมอยู่กับปัจจุบันอันเลวร้าย แม้บึงของตนไม่อาจเป็นไปได้ดังบึงยูโทเปีย แต่อย่างเลวร้ายที่สุด เหล่ากบก็คงจะไม่ตัวเหี้ยมาคอยกินเลือดกินเนื้อพวกตนอีกต่อไป



เมื่อเหล่ากบได้ประชุมปรึกษาหารือกัน และ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เหล่าครอบครัวตัวเหี้ยนั้นชักจะเบียดเบียนกินเลือดกินเนื้อพวกเราเหล่ากบมากไปเสียแล้ว เราจักขับไล่ตัวเหี้ยพวกนี้ออกจากตำแหน่ง และเราเอง เหล่ากบ จักเป็นผู้ปกครองเหล่ากบ โดยกบ และเพื่อกบสืบไป เหล่ากบจึงได้จับกระบองขึ้นสู้ปลดตัวเหี้ยออกจากตำแหน่ง พร้อมกับร่างแถลงการณ์ ประกาศแก่เหล่ากบว่า



"เหล่ากบทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า บึงน้ำนี้เป็นของเรา "



แต่เหล่าตัวเหี้ยนั้น ก็อ้างว่า บึงน้ำแห่งนี้ พวกตนก็อยู่มานมนานเช่นกัน แถมพวกตนยังมีบุญคุณต่อเหล่ากบอย่างหาที่เปรียบมิได้นับมาแต่รุ่นบรรพบุรุษของกบๆทั้งหลาย พวกกบทั้งหลายนี้ช่างเนรคุณ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้หรือว่า บรรพบุรษตัวเหี้ยของตนก็เตรียมที่จะให้พวกกบได้ปกครองพวกกบกันเองอยู่แล้ว แต่ว่าต้องรอให้พวกเหล่ากบในบึงนั้นมีสมองและรู้จักดี รู้จักชั่วเสียก่อน พวกเหล่ากบช่างชิงสุกก่อนห่ามไร้สมองเสียโดยแท้ ฯลฯ ฯลฯ และ ฯลฯ

พอสิ้นเสียงลำเลิกบุญคุณของพวกเหี้ยๆ เหล่าฝูงตัวเหี้ยก็รุมกินโต๊ะเหล่าฝูงกบตาดำๆต่อไป


ส่วนเนื้อเรื่องที่เหลือของนิทานเรื่องนี้นั้น ทุกท่านก็คงทราบดีอยู่แล้ว หุหุหุ






นิทานเรื่องนี้ สอนให้คิดว่า ตัวเหี้ยมันชั่วและเห็นแก่ตัว ชอบอ้างเรื่องเหี้ยๆว่าเป็นบุญคุณ และอ้างได้ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที


มาชี้แจงกันก่อนนะฮัฟ เรื่องนี้เป็นนิทาน ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ก็มันจจะจริงไปได้ยังไงที่สัตว์มันคุยกัน มีสมองก็คิดเอาบ้าง
อย่าหาว่าตูไปเสียดสีหรือด่าใคร ตูแค่เขียนเอาหนุกๆ นึกเพ้ออะไรก็บ่นไปเรื่อยๆ
หากมีเหตุการณ์ตอนใดไปพ้องกับใครเข้า อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับตู ตูไม่ของรับผิด แต่รับชอบตูเอา ตูก็บ้ายอพอสมควร หุหุหุ

และที่เรียกว่านิทานอีสัด อย่าหาว่าเอาคำหยาบมาเขียนให้อ่านกัน ซึ่งจริงๆเขียนมาหลอกด่ามากกว่า เฮ๊ย!!!ม่ายช่ายยยยยยยย

คือ ขึ้นชื่อว่านิทาน มันก็เป็นเรื่องแต่ง คนชอบก็อาจจะมี คนไม่ชอบก็ย่อมมีแน่นอน และพออ่านนิทานเสร็จ อาจจะร้องอุทานออกมาว่า ไอ้สัด!!!

แต่คนที่มีอคติเหยียดหยามทางเพศ คิดว่าเพศหญิงเป็นเพศที่ต่ำกว่าเพศชาย ได้ด่าตัวผู้ว่าเป็นตัวเมีย ก็เหมือนลดค่าความเป็นมนุษย์ลง ถ้ารักจะคิดอย่างนั้นก็ตามสบาย และเมื่อได้อ่านนิทานแล้ว ก็อาจจะด่าว่าอย่างมึงนี่น่าจะไปเอาผ้าถุงมาสวมซะ และจิกด่าว่าอย่างมึงเนี่ยต้องเรียกว่า อีสัด จึงจะเหมาะกว่า ไม่กล้าเขียนด่าตรงๆก็มาเขียนเหน็บแนม ก็ขอบอกว่าใช่ กูก็กลัวคุกเหมือนกันนี่หว่า

เฮ้ย!!! ไม่ใช่ กูไม่ได้เขียนมาเหน็บแนมใคร กูเขียนหนุกๆเท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองกลับไปอ่านบรรทักแรกดูเด่ะ 555 

ไปแระซ์ 

TheRapist

นิทานอีสัด

วันนี้เสนอตอน "องุ่นเปรี้ยว"






กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมเทือกเขาหิมพานต์ มีอาณาจักรแห่งหนึ่งอันอุดมไปด้วยเทวดานางฟ้านางสวรรค์ ันชื่อว่ากรุงอสูรา และก็มีฝูงสุนัขจิ้งจอกซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของพญามังกร ได้พำนักอาศัยอยู่ใต้ร่มเขาพระสุเมรุแห่งนั้นด้วยเช่นกัน อาณาจักรแห่งนี้ ปกครองโดยถือคติว่า สัตว์ที่มีบุญบารมีสูงถึง ๑๐ ประการเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นผู้ปกครองอาณาจักรของเหล่าสุนัขจิ้งจอกได้ และในประการสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าสมควรจะได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรกรุงอสูราแห่งนี้จริงๆก็คือ การไปค้นหา "ตัวองุ่น" ซึ่งซ่อนตัวพำนักพักอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ตีนเขาพระสุเมรุและได้ลิ้มชิมรส"ตัวองุ่น"เท่านั้น




และก็มีความเชื่อสืบต่อกันมาตั้งกะดำบรรพ์นานนับอสงไขยว่า สัตว์ที่จะสามารถจับ"ตัวองุ่น"มากินได้นั้น จะต้องสั่งสมบุญญาบารมีมาหลายภพหลายชาติ มีชาติกำเนิดที่สูงส่ง ผิวพรรณงดงาม จึงจะสามารถได้ลิ้มรส"ตัวองุ่น" อันแสนจะโอชารส และผู้ที่จะสามารถเช่นนั้น ก็จักเป็นผู้ใดไปเสียมิได้ นอกจากต้นตระกูลของพญามังกรผู้ครองอาณาจักรกรุงอสูราแห่งนั้นนั่นเอง



กาลเวลาได้ดำผ่านไปเนิ่นนานเช่นนั้นนับแสนล้านกัลป์ คือ พญามังกรและครอบรัวเป็นผู้ปกครอง เหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ทำงานออกล่าสัตว์ หาเนื้อมาให้พญามังกร ฝูงเล่าสุนัขจิ้งจอกผลัดเวรกันหาเนื้อหาปลามาถวายพญามังกรกันมิได้ขาด ผอมจนซี่โครงขึ้นกันถ้วนหน้า แต่เหล่าครอบครัวพญามังกรและบริวารกลับอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นทุกวัน มีเนื้อมีปลาที่เก็บสะสม ไว้มากมายก่ายกองเสียจนกระทั่งสามารถไปทำการค้าขายกับป่าข้างเคียง จนสามารถมีปักษีตัวเท่าภูเขาถึงสองตัว ให้ลูกของพญามังกรขี่หลังพานังกระซู่ผู้เป็นนางสนม บินไปจับ "ตัวองุ่น" กิน ณ ตีนเขาพระสุเมรุอยู่เนืองๆมิได้ขาด



แต่เหล่าพญามังกรและบริวารก็มิได้พอใจเพียงแต่เพียงแค่นั้น มันเฝ้าพร่ำเฝ้าสอนว่า ฝูงเหล่าสุนัขจิ้งจอกไม่ควรที่จะกระทำตัว หรือใช้ชีวิตให้เกินความสามารถและบุญญาบารมีของตน ต้องรู้จักเก็บจักออมมิได้ขาด ประหยัดมัธยัสถ์ ขยันเก็บขยันออม ก็จักมีชีวิตที่เป็นสุขและสามารถเดินทางไปกิน "ตัวองุ่น" ณ ตีนเขาพระสุเมรุได้เช่นกัน ว่าแล้วก็พลางบรรยายถึงสรรพรสอันแสนจะโอชา หนทางอันทุรกันดาร ความพยายามและอุตสาหะของบรรพบุรุษพญามังกรในการเดินทางไปจับ"ตัวองุ่น" ในอดีต ให้เหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกฟังแล้วน้ำลายไหลด้วยความอยาก และสำนึกในความต่ำต้อยในวาสนาของตนไปตามๆกัน



เหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกก็ได้แต่เฝ้าฝันถึง"ตัวองุ่น"ที่พญามังกรได้หยิบยกมาบรรยายสรรพคุณอันแสนจะเลิศรส แต่เหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกก็มิได้เคยได้เห็นหรือได้ยินแม้กระทั่งเสียงของ "ตัวองุ่น" แต่ประการใด แต่พญามังกรก็ยังยืนยันว่า "ตัวองุ่น" นั้นมันมีจริง แต่ผู้มีบุญญาบารมีอันเหมาะสมเท่านั้น จึงจะสามรถได้เห็นและได้ลิ้มรส"ตัวองุ่น"




แต่แล้ววันหนึ่ง นิตยสาร "แฟ้บ" ก็ได้ทำสกู๊ปเกี่ยกับ "องุ่น" วางจำหน่ายในบรรณภิภพเขาพระสุเมรุ




ฝูงเหล่าสุนัขจิ้งจอกก็ได้รู้ความจริงว่า "ตัวองุ่น" มันไม่เคยมีอยู่จริง มันมีแต่เพียงต้นองุ่นซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งเท่านั้น มันมีลำต้นเป็นเถาอย่างไม้เลื้อย มีผลที่รียกว่า ผลองุ่น หรือ ลูกองุ่น เท่านั้น ไม่เคยปรากฏในสากลจักรวาลของเขาพระสุเมรุว่า มี "ตัวองุ่น"ปรากฏอยู่


เมื่อเหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกได้ทราบความจริงเช่นนั้น ก็พลันหวนระลึกได้ว่า เหล่าพญามังกรและบริวาร มันกินแต่ซากพืชซากสัตว์ที่เหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกหามาให้ ไม่เคยเห็นพญามังกรและบริวารจะเคยสวาปามพืชชนิดใดๆให้ปรากฏในชั่วชีวิตของปู่ย่าตายาย โคตรพ่อโคตรแม่ของเหล่าสุนัขจิ้งจอกเลยนี่นา แต่พวกมันก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในหัวอกอันเหี่ยวแฟบดำกร้านของตนอยู่เช่นนั้น ไม่กล้าลุกขึ้นมาถามหาควาจริงจากพญามังกรและบริวารแต่ประการใด เพราะเกรงว่าจะถูกจับตัวไปคุมขังไว้ในถ้ำใต้หุบเหวลึกชายป่า เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๑๕ กัลป์



ก็ให้บังเอิญอีกนั่นแหละ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ก็ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับดินแดนลึกลับเต็มไปด้วยภูเขาไฟ ต้นไม้แห้งโกร๋น เต็มไปด้วยโครงกระดูกของผู้ถึงแก่อาสัญขาวเกลื่อนพื้นดินทั่วไปหมด และก็มีการค้นพบสัตว์ประหลาดอันน่าขยะแขยง ลำตัวน่าเกลียด เต็มไปด้วยตะปุ่มตะป่ำ กลิ่นกายน่ารังเกียจ เวียนหัว น่าคลื่นใส้จนแทบจะอาเจียน เป็นพวกชอบกินซากพืชซากสัตว์ หรือแม้แต่ไล่จับสัตว์มากินเองด้วยวิธีการกัด และปล่อยให้เหยื่อตายด้วยความทรมาณจากพิษร้ายของแบคทีเรียในปากกว่า ๒๐๐ ชนิด (อึ๋ย!!! บรรยายเองยังน่าขยะแขยงเลยว่ะ) ซึ่งสัตว์เลื้อยคลานอันน่ารังเกียจพวกนั้น มีชื่อว่า komodo dragon หรือที่รู้จักกันในนาม มังกรโคโมโด นั่นเอง

และที่สร้างความตกละลึงพรึงเพริดให้แก่เหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกจนแทบจะเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็เป็นภาพประกอบบทความในหนังสือเล่มนั้นนั่นเอง เพราะว่าภาพที่ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของพวกฝูงสุนัขจิ้งจอก มันกลับมีรูปกาย ลักษณะ ท่าทาง เหมือนกับพญามังกรที่พวกมันได้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มิได้ผิดเพี้ยนไปเลยแม้สักนิดเดียว




เหล่าบรรดาสุนัขจิ้งจอก อดรนทนไม่ได้ จึงต้องเดินทางไปถามพญามังกรเพื่อทำความจริงให้ประจักษ์ แต่กลับถูกบริวารของพญามังกรซุ่มโจมตีลอบทำร้ายอยู่รายทาง แต่ก็มีอาจหยุดยั้งเหล่าสุนัขจิ้งจอกผู้มีทุกข์สุมแน่นอยู่ในอกเอาไว้ได้ และก็ในระหว่างนั้นเอง บริวารของพญามังกรก็ดาหน้าออกมาแก้ต่างโต้แย้ง ได้เขียนจดหมายไปชี้แจงต่อทางนิตยสารฉบับนั้นว่าลงข้อมูลและภาพถ่ายคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง ข้อมูลไม่สมบูรณ์ ทางนิตยสารนั่งเทียนเขียนเอาเอง ทางนิตยสารไม่รู้จักป่าแห่งนครอสูราแห่งนี้ดีไปกว่าพวกตนไปได้ นครอสูราของตนนั้นมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างไม่เหมือนผู้ใดในสากลจักรวาลเขาพระสุเมรุ มีวัฒนธรรมอันดีงาม ไม่เหลวแหลกล่มจมกำลังจะล่มสลายเหมือนนครของทางผู้จัดทำนิตยสารฉบับนั้นหรอก ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ และอีกหลายๆๆ ฯลฯ



แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่า เหล่าบรรดาสุนัขจิ้งจอกต่างก็ไม่เชื่อในคำแก้ตัวของพญามังกรแต่ประการใด แต่ก็จำใจ ต้องยกย่องและเรียกเหล่าพวกมันว่า"พญามังกร"ต่อไป เพราะการเรียกชื่อมันด้วยนามอันแท้จริงในที่สาธารณะว่า "มังกรโคโมโด" อาจมีโทษ ให้คุมขังไว้ในถ้ำใต้หุบเหวลึกชายป่า นานถึง ๑๕ กัลป์


ก็เป็นที่แน่นอนอีกเช่นกันว่า เหล่าพญามังกรต่างก็ไม่ยอมรับว่าพวกตนที่แท้นั้น ก็คือตัว "เหี้ย" ขนาดยักษ์นั่นเอง และออกมาโหมประกาศโฆษณาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า เหล่าสุนัขจิ้งจอกไม่เคยได้ลิ้มรสอันแสนจะโอชาของ "ตัวองุ่น" จึงได้ออกมาโจมตีเพื่อดิสเครดิต แปลเป็นไทยว่า ลดความน่าเชื่อถือในตัวตนของพญามังกร ไอ้พวกเหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกไม่มีบุญญาบารมีที่จะได้ลิ้มรส"ตัวองุ่น" ก็พลันกล่าวหาด้วยปากอันพล่อยสามานย์ว่า"ตัวองุ่น"นั้นไม่มีจริง มีรสเปรี้ยวบ้างล่ะ มีรสอันไม่น่าโอชาสมควรแก่สรรพสัตว์ผู้กินเนื้อเป็นอาหารมั่งล่ะ และไม่เพียงเท่านั้น เหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกถึงกลับกล้ามาสบประมาท ดูหมิ่น เหยียดหยาม อาฆาตมาดร้าย พญามังกรอีกว่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับ "ตัวเหี้ย" อันมีชาติตระกูลต่ำต้อย มีกลิ่นกาย กิริยาอาการ น่ารังเกียจขยะแขยงเยี่ยงนั้น


แล้วเหล่าฝูงสุนัขจิ้งจอกทุกตัวก็ถูกจับไปคุมขังไว้ในถ้ำใต้หุบเหวลึกชายป่า เป็นเวลานานถึงตัวละ ๑๕ กัลป์ เพื่อสั่งสอนและดัดสันดานมิให้ปากพล่อยอยู่เช่นนั้นอีกต่อไป



นิทานเรื่องนี้สอนให้คิดว่า ความสงสัย การคิดต่าง และการพูดความจริง ไม่ใช่อาชญากรรม

5555+

เอาอีก ชอบ แต่ให้ดี ช่วยย่อให้เหมาะสมหน่อย มันยาวไป ไม่น่าอ่าน

TheRapist

นิทานอีสัด
นิทานทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด
การตีความเนื้อหาในนิทานย่อมขึ้นอยู่กับภูมิหลัง ประสบการณ์ และภูมิปัญญาของผู้อ่านแต่ละท่าน
ผู้เขียนนิทานย่อมมิอาจผูกมัดหรือจำกัดความเข้าใจในเนื้อหา หรือการตีความของผู้อ่านได้แต่ประการใดทั้งสิ้น
ดังนักคิดแนวโป๊ดโมเดิร์นเคยกล่าวไว้ว่า นักเขียนนั้นตายแล้ว

ไปแระซ์ 


วันนี้เสนอตอน ชาวนากับฝูงเป็ด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชาวนาผู้หนึ่งมีอาชีพเลี้ยงเป็ด เช้าก็ต้อนเป็ดไปเลี้ยง ตกเย็นก็ต้อนเป็ดเข้าเล้า และหากวันไหนชาวนาต้องเข้าไปทำธุระในเมือง ชาวนาก็จะฝากเป็ดไว้กับสุนัขคู่ใจให้เป็นผู้ต้อนเป็ดออกไปเลี้ยงแทน เหตุการณ์ก็สงบสุขอยู่เช่นนั้นนานแสนนาน จนกระทั่งวันหนึ่งที่สุนัขเลี้ยงเป็ดล้มป่วยลง และชาวนาก็มีธุระสำคัญที่จะต้องเข้าไปในเมือง



หันซ้ายหันขวา มองหน้าแลหลัง ไม่เห็นใครที่พอจะช่วยเหลือได้ ก็ให้พอดีมีตัวเหี้ยผ่านมา ชาวนาจึงฝากฝังฝูงเป็ดไว้ให้ตัวเหี้ยช่วยดูแล อีกทั้งตัวเหี้ยนั้นรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแก่ชาวนาว่า จะช่วยดูแลเป็ดให้เป็นอย่างดี ชาวนาจึงวางใจและเข้าเมืองไปทำธุระ



และก็เป็นอย่างที่ทุกท่านคาดคิดกันเอาไว้ อันตัวเหี้ยนี้น่ะหรือจะอดใจไม่แดกฝูงเป็ดได้ เพียงแค่ชาวนาคล้อยหลังไป มันก็ไล่กัดฝูงเป็ดล้มตายเป็นอันมาก เป็นที่สนุกสนานตามสันดาน เอ๊ย!!! สัญชาติญาณเหี้ยๆ ที่ชอบทำในสิ่งเหี้ยๆของมัน




พอตกเย็น ชาวนาก็กลับมาจากการทำธุระในเมือง พอกลับมาถึงบ้านก็เห็นฝูงเป็ดล้มตายเป็นอันมาก ด้วยความโกรธอันระอุอยู่ในอก จึงไปตามหาไอ้เหี้ยเพื่อที่จะถามไถ่ว่าเหตุการณ์มันเป็นอย่างไร ฝูงเป็ดของเราถึงล้มตายเป็นอันมาก มันมีสัตว์ดุร้ายอันใดบุกมาทำร้ายฝูงเป็ดของเราหรือ? ??



ตัวเหี้ยก็เปิดปากเหี้ยๆของมันเปล่งวาจาอันเหี้ยๆ ออกมาว่า ฝูงเป็ดนั้น ถูกไอ้เหี้ยอย่างเรากัดกินเองแหละ



ชาวนาก็เงื้อฉมวกจะแทงตัวเหี้ยให้ตกตายไปด้วยความโมโหในความเหี้ยของตัวเหี้ย แต่ตัวเหี้ยก็เอ่ยวาจาอันเหี้ยๆขึ้นมาก่อนว่า



อันเราตัวเหี้ยนั้น เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 จําพวกสัตว์เลื้อยคลานชนิดที่ 91 หากผู้ใดฆ่าเหี้ย ผู้นั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เชียวนา




ชาวจึงชะงักไป เพราะเกรงอาญาบ้านเมือง ตัวเหี้ยได้ทีจึงกล่าวต่อไปว่า อีกทั้งการที่เป็ดของชาวนาถูกเหี้ยอย่างเรากัดกินจนล้มตายเป็นอันมากนั้น ก็เป็นเพราะความผิดของชาวนาเอง ชาวนาเองก็ย่อมจะรู้อยู่แล้วว่า อันตัวเหี้ยนั้นมันมีอุปนิสัยของกินซากสัตว์ใหญ่ที่ล้มตาย หากเป็นสัตว์เล็กๆ มันก็ไล่ล่าเอามากินทั้งเป็นได้เช่นกัน ตัวเหี้ยเช่นเรานี้ย่อมไม่เหมาะที่จะไปดูแลสัตว์เล็กๆอย่างเป็ด อันป็นสัตว์ชนิดที่ตัวเหี้ยอย่างเราไล่ล่าเป็นอาหารเป็นนิจสินอยู่แล้ว เพราะในป่าในดงนั้น มีทั้งตัวเหี้ย และไม่ใช่ตัวเหี้ย ไม่มีใครจะทำให้ตัวเหี้ยทุกตัวกลายเป็นสุนัขเลี้ยงเป็ดไปได้ทั้งหมด การจะเลี้ยงเป็ดให้ประสบความสำเร็จนั้น จึงมิใช่การกำจัดตัวเหี้ยหรือทำให้เหี้ยมีนิสัยอย่างสุนัขเลี้ยงเป็ด หากแต่อยู่ที่การใช้สุนัขเลี้ยงเป็ดเพื่อเลี้ยงเป็ดเท่านั้น เพื่อคอยคุ้มกันไม่ให้ตัวเหี้ยมากัดกินเป็ด อันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายแก่การเลี้ยงเป็ดได้




ชาวนาก็อึ้งและทึ่งในคารมของตัวเหี้ยเป็นอันมาก พร้อมกับเดินงงๆเง็งๆจากตัวเหี้ยมา พลางคิดในใจว่า อันการที่เป็ดของกูที่ได้ฝากตัวเหี้ยให้ช่วยดูแลพร้อมคำมั่นสัญญาจะดูและเป็ดของกูอย่างดีจากตัวเหี้ยนั้น ได้ถูกตัวเหี้ยกัดกินล้มตายเป็นมาก มันกลับกลายเป็นความผิดของตัวกูชาวนาผู้เชื่อใจเหี้ยไปได้ยังไง ??????????????







นิทานเรื่องนี้สอนให้คิดว่า อันตัวเหี้ยนั้น คิดก็คิดแต่เรื่องเหี้ยๆ พูดก็พูดแต่เรื่องเหี้ยๆ ทำก็ทำแต่เรื่องเหี้ยๆ จะกินจะนอนจะเดินจะหยิบจะจับอะไร มันก็ดูเหี้ยไปหมด

ก็มันเป็นเหี้ยนี่หว่า