ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมกันหน่อย บริษัท "เอ็มทีฯ"

เริ่มโดย ยำแล้ว, 00:27 น. 05 ต.ค 54

ยำแล้ว


จุดสลบพรรคแมลงสาบเรื่องใหม่ "เอ็มทีฯ"
โดย arira เมื่อวันจันทร์ ที่ 03 ตุลาคม 2011

ไม่น่าแปลกใจเลย ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำงานได้เพียง 1 สัปดาห์ สมุนรับใช้พรรคแมลงสาบก็รีบออกมาค้านเรื่องจำนำข้าวทันที

จนดูเหมือนภารกิจค้านเรื่องนี้มันดูลุกลี้ลุกลนมากจนนผิดสังเกตุ

สุดท้ายเราก็คงพอจะได้คำตอบแล้วว่า ทำไมคนของพรรคแมลงสาบถึงได้ออกมาต่อต้านการจำนำข้าว

สาเหตุน่าจะเกิดจากข่าวล่าสุดเรื่องนี้....

รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ทยอยระบายสต๊อกข้าวเรื่อยมาจนถึงลอตสุดท้ายที่เปิดระบายในเดือนสิงหาคม 2553 และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เนื่องจากเป็นการเปิดประมูลเฉพาะกลุ่ม ส่งผลให้มีบริษัทผู้ส่งออกข้าวเพียง 4 รายเท่านั้นที่สามารถซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้ ประกอบด้วย บริษัทเอเชีย โกลเด้นท์ไรซ์ บริษัทนครหลวงค้าข้าว บริษัทข้าวไชยพร และบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด

แหล่งข่าวกล่าวว่า 3 บริษัทแรกถือเป็นท็อปไฟฟ์ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ และมีความสามารถที่จะเข้าถึงข้าวในสต๊อกรัฐบาลมาทุกสมัย ส่วนบริษัทเอ็มทีฯนั้นน่าสนใจมากกว่า เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดเล็กและไม่เป็นที่รู้จักในวงการ แต่คว้าสัญญาซื้อขายข้าวไปได้ถึง 1.9 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าที่ 3 บริษัทข้างต้นได้รับ แม้ว่าถึงที่สุดแล้ว เอ็มทีฯจะไม่สามารถหาเงิน 690 ล้านบาท มาวางค้ำประกันสัญญาซื้อขายข้าวทั้ง 1.9 ล้านต้นได้ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ต่อมามีข้อน่าสงสัยว่า ทำไมรัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายข้าว ที่มีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในขณะนั้น ได้อนุมัติให้เอ็มทีฯซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้อีกเป็นครั้งที่ 2 ในปริมาณ 450,000 ตัน มูลค่า 5,000 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่การทำสัญญาข้าวลอตแรก 1.9 ล้านตันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า บริษัทไม่มีความสามารถในการหาเงินมาวางค้ำประกันได้

นอกจากนี้ ยังมีข้อน่าสังเกตว่าการขายข้าวให้เอ็มทีฯทั้ง 2 ลอต เป็นราคาที่เท่ากันทั้ง 2 ครั้ง ในราคาตันละ 12,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ราคาข้าวในตลาดขณะนั้นเคลื่อนไหวอยู่ในระดับตันละ 13,000-14,000 บาท นั่นหมายความว่า นอกจากจะให้โอกาสกับบริษัทนี้แล้ว ยังให้ขายข้าวในราคาที่รัฐขาดทุนด้วย

"การขายข้าวลอตที่ 2 ไม่ได้จบลง แค่นี้ เพราะมีกระแสข่าวว่า มีการนำเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ของวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาให้บริษัทนี้วางค้ำประกันค่าข้าว แต่เรื่องก็เงียบไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่"

ล่าสุด ได้มีการตรวจสอบข้อมูลการส่งออกข้าวของคณะกรรมการตรวจข้าว-คณะกรรมการสาขาข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า บริษัทเอ็มทีฯมีการส่งออกข้าวในระดับที่ต่ำ ซึ่งไม่สอดคล้องกับการได้รับสัญญาซื้อขายข้าวจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยปี 2553 มีปริมาณส่งออกข้าวไปเพียง 480 ตัน และช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ส่งออก 1,430 ตัน รวมมีปริมาณการ ส่งออกข้าวไม่น่าเกิน 2,000 ตัน

รัฐบาลชุดที่ผ่านมาเปิดระบายข้าวใน สต๊อกครั้งสุดท้ายในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 คาบเกี่ยวต้นปี 2554 มีปริมาณข้าวส่งออกประมาณ 4 ล้านตัน และหากคำนวณการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 600,000-700,000 ตัน จะต้องใช้เวลาประมาณ 5 เดือน (150 วัน) หรือส่งออกหมดไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ตามที่บริษัทผู้ส่งออกข้าวที่ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลขอขยายระยะเวลารับมอบข้าวจาก 90 เป็น 150 วัน

"ตรงนี้เราอยากให้คุณกิตติรัตน์เข้ามาตรวจสอบการส่งออกข้าวของบริษัทที่ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลในสมัยที่ผ่านมา ว่ามีการทำสัญญา การค้ำประกัน ทยอยรับมอบข้าวกันอย่างไร และมีการทิ้งสัญญาไม่มารับมอบข้าวหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้ว รัฐบาลจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ หากเกิดกรณีไม่ยอมวางค้ำประกัน หรือไม่มารับมอบข้าว มีการลงโทษหรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปแบบนี้" แหล่งข่าวกล่าว

หากการตรวจสอบพบว่า "เอ็มทีฯ" ได้สต็อคข้าวไปล้านกว่าตัน แต่ส่งออกข้าวไปเพียง 2,000 กว่าตันเป็นจริง เราอาจได้พบทุจริตครั้งใหญ่ เพราะข้อบกพร่องของการรับประกันราคาข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่เอื้อประโยชน์ให้กับบางบริษัท

แค่เงินประกันราคาข้าวคูณกับจำนวนข้าวที่หายไปล้านกว่าตัน ก็เป็นเงินหลายหมื่นล้านทีเดียว

.........

โทร.มือ2

ติดตามข่าวนี้อยู่เหมือนกัน  แต่ว่านั่นล่ะ ข้อมูลของ  บ. นี้  ลึกลับมาก
ทั้งจำนวนผู้ถือหุ้น ( หากมี ) รองประธาน / กรรมการ / ผู้จัดการ   มันดูลึกลับไปหมด
ค้นหาในพี่  ..กู.. ก็หาไม่พบ

แต่อย่างว่านั่นล่ะ  ในช่วงน้ำท่วมแบบนี้  ตอ..ยังผุดไม่ลดล่ะ  อิอิอิอิ....
สังเกตุสิ..เอาแค่เรื่อง น้ำมันปาล์มที่แสบ-ทรวง  ยังไปไม่ถึงไหนเลย
อะไรมันทำให้ความจรืง มาช้าอย่างนี้...
เรื่องกล้อง / กล่องเปล่าๆ / กล้องดัมมี่  ...ก็ดูจะเงียบๆ ไป  สื่อ ที่คิดว่าตัวเองทำหน้าที่..หมาเฝ้าบ้าน...
ก็ดูจะเงียบๆ ซาๆ ไปกับข่าวนี้   เพราะอะไรฤา-หรือว่ามีถุงขนมหล่นที่หน้าสำนักพิมพ์  อิอิอิอิอิ....

ยังคงจะทำให้คิดในมุมกลับ  ไม่ได้ว่า  หากเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดในตอนที่ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล..
ป่านนี้ เช้าได้ยิน เที่ยงได้เห็น ค่ำได้ดู  ทั้งวันแน่ๆ..
คำว่า 2 มาตรฐานนี่ .. ไม่ได้แต่ว่า สักจะพูดขึ้นมาลอยๆ จริงๆ.....

มันเจ็บ..มาตั้งแต่ สปก. 4-01 ล่ะ....  เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง  55555..
น่าจะยุบพัก......( คำหยาบที่ไม่สามารถพิมพ์ได้ )  ...
จะบริหารประเทศได้ยังไง กะอีแค่คำว่า....

....เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง....

มันยังไม่รู้เรื่องเลย  อิอิอิอิ   ส.อ่านหลังสือ

กินหรอย

ข่าวเก่า
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4253  ประชาชาติธุรกิจ

จับพิรุธ 'เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด' ดีลข้าว 1 ล้านตันอยู่หรือไป ?

การขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลมากกว่า 1 ล้านตันให้กับ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ในเครือเม้งไต๋ ใกล้จะถึงบทสุดท้ายเต็มทีแล้ว หลังจากที่ยึกยักกันมานาน เมื่อ "นายเฉิน" หรือ จุ้งเชียง เฉิน กรรมการบริษัท ออกมายอมรับแล้วว่า ในขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถเข้าไปดำเนินการทำสัญญาซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่ได้รับการ "อนุมัติ" จากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้

โดยนายเฉินอ้างว่า ระยะเวลารับมอบและขนย้ายข้าวสารที่กำหนดไว้ประมาณ 5 เดือนนั้น "ไม่สามารถดำเนินการได้ทัน" พร้อมกับพูดจาในทำนองที่ว่า ถ้ารัฐบาลอยากจะขายข้าวลอตนี้ให้กับบริษัท รัฐบาลควรที่จะขยายระยะเวลาการขนย้ายข้าวออกไปเป็น 18 เดือน ทั้งหมดนี้มีการการันตีเพียงแค่ "คำสั่งซื้อข้าว" หรือออร์เดอร์ของบริษัท กวางตง กวางหง อิมพอร์ท แอนด์ เอ็กพอร์ท จำกัด รัฐวิสาหกิจจีนที่ ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้งมาแสดงเท่านั้น

ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบในสิ่งที่เรียกว่า "หลักการใหม่" สำหรับกรอบระยะเวลาการรับมอบและขนย้ายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ที่กำหนดให้ 1) ข้าวหอมปทุมธานี นาปี 2551/52 นาปรัง 2552 ผู้ซื้อจะต้องรับมอบข้าวและขนย้ายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 60 วันนับจากวันทำสัญญาซื้อขายข้าวกับ อคส./อ.ต.ก.ขยายมาเป็น 90 วันแทน

2) ข้าวเหนียวขาว 10% นาปี 2551/52 นาปรัง 2552 จากเดิมให้รับมอบและขนย้ายภายในระยะเวลา 60 วัน ขยายมาเป็น 90 วันแทน และ 3) ข้าวขาว 5% นาปรัง 2551 นาปี 2551/52 นาปรัง 2552 ผู้ซื้อ จะต้องรับมอบข้าวและขนย้ายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 90 วันนับจากวันทำสัญญา ขยายมาเป็น 150 วันแทน

นั้นหมายความว่า ก่อนที่นายเฉินจะออกมาร้องขอให้ขยายระยะเวลาการรับมอบข้าวและขนย้ายข้าวออกไปไม่น้อยกว่า 18 เดือนนั้น รัฐบาลโดยนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ได้ขยายระยะเวลาการรับมอบข้าวแบบเงียบ ๆ อย่างลับ ๆ ระหว่าง 1-5 เดือนมาให้รอบหนึ่งแล้ว แต่บริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ก็ยังไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายข้าวกับ อคส./อ.ต.ก.ได้ ทั้งหมดนี้สร้างความสงสัยว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังทำอะไรกับดีลขายข้าวมากกว่า 1 ล้านตัน ให้กับบริษัท no name จาก อ.ม่วงสามสิบ ?

คำตอบในเรื่องมาจากการตั้งข้อสังเกตของผู้คนในวงการค้าข้าวถึงดีลที่ "ผิดปกติ" ที่คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร ชุดของ นายมนัส สร้อยพลอย อธิบดี กรมการค้าต่างประเทศ อนุมัติขายข้าวจำนวน 1.9 ล้านตันให้กับบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรดดังต่อไปนี้



1) บริษัทนี้มีตัวตนจริงหรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท แจ้งประกอบกิจการขายปุ๋ย-ค้าส่งที่ทำการตั้งอยู่ 169/80-81 บริเวณตึกร้านโจ๊กซีฟู้ดส์ รัชดา ไม่ปรากฏร่องรอยของผู้ประกอบกิจการส่งออก-ค้าข้าว เมื่อตรวจสอบลึกลงไปพบว่าบริษัทผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเอ็มทีฯ คือบริษัทเม้งไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนล ทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท ในเครือเม้งไต๋ ตั้งอยู่ที่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี แจ้งประกอบกิจการให้กู้ยืมเงิน-บริการ ทั้ง 2 บริษัทมีกรรมการผู้มีอำนาจลงนามกลุ่มเดียวกัน คือ นายจุ้งเชียง เฉิน กับ น.ส.ภารินี จารุมนต์

แต่บริษัทนี้หรือกลุ่มเม้งไต๋ สามารถคว้าสัญญาซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล 1.9 ล้านตัน เกือบ 1 หมื่นล้านบาทมาครอบครองได้ ในขณะที่ผู้ส่งออกข้าว 1-5 อันดับแรกของประเทศไม่มีใคร "กล้า" เสนอซื้อข้าว ใน สต๊อกรัฐบาลคนเดียวมากมายขนาดนี้ ภายใต้เงื่อนไขการรับมอบข้าวเพื่อการ ส่งออกภายในระยะเวลา 90 วันนับจากวันทำสัญญาซื้อขาย สร้างความสงสัยว่าบริษัทเอ็มทีฯ เครือเม้งไต๋ ที่มียอดการส่งออกข้าวปีละ 1,000 กว่าตัน จะบริหารจัดการ ส่งออกข้าวมากกว่า 1 ล้านตันให้ทันกำหนดระยะเวลารับมอบข้าวได้อย่างไร

2) การขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลชุดนี้ ได้ถูกคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร อ้างมาโดยตลอดว่า เป็นการดำเนินการในทางลับ พร้อมกับตีความว่า "ทางลับ" ในทางปฏิบัติก็คือ ไม่มีการเปิดประมูลเป็น การทั่วไป ไม่มีการประกาศว่าใครคือ ผู้ได้รับการอนุมัติให้ซื้อข้าวได้ในปริมาณเท่าใด และไม่มีการประกาศราคากลาง-ราคาซื้อขาย ส่งผลให้กระบวนการซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลครั้งนี้ไม่โปร่งใสเป็นอย่างยิ่ง

จนถึงกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยต้อง ทำหนังสือมาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขอ "ความเท่าเทียม" ในการรับทราบข้อมูล ในการเปิดระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ให้กับสมาชิกสมาคมได้ทราบ เพื่อให้ทุกคนเกิดความเสมอภาคใน "โอกาส" ทางธุรกิจการค้า ไม่ใช่ถูกผูกขาดกับกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

3) คำสั่งซื้อข้าวมากกว่า 1 ล้านตันของบริษัทกวางตง กวางหง อิมพอร์ท แอนด์ เอ็กพอร์ท ที่บริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด นำมาแสดงให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐวิสาหกิจจีน มีเป็นหมื่นเป็นแสนราย และได้รับความ น่าเชื่อถือในวงการค้าสินค้าเกษตรน้อยมาก หากไม่มีการติดต่อกันเป็นเวลานาน กระทรวงพาณิชย์เองในอดีตก็มีบทเรียนจากการขายสินค้าเกษตรให้กับรัฐวิสาหกิจจีนเหล่านี้ดี แต่ทำไมไม่มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อข้าวมากกว่า 1 ล้านตันในครั้งนี้

4) หากบริษัทกวางตง กวางหง อิมพอร์ท แอนด์ เอ็กพอร์ท รัฐวิสาหกิจจีนมีความประสงค์จะซื้อข้าวในสต๊อกจากรัฐบาลไทยมากกว่า 1 ล้านตันจริง ทำไม ไม่ดำเนินการซื้อแบบจีทูจี ซึ่งรัฐบาลไทยเปิดโอกาสและพร้อมที่จะขายให้อยู่แล้ว แต่กลับต้องทำเรื่องให้ลึกลับซับซ้อนด้วยการดำเนินการเปิดออร์เดอร์ผ่านบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ให้เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวจากรัฐบาล และส่งมอบให้บริษัทอีกต่อหนึ่ง เมื่อบริษัทเอ็มทีฯไม่สามารถวาง ค้ำประกันได้ เรื่องราวก็ชักจะไปกันใหญ่ เมื่อมีข้อเสนอจากบริษัทจะให้รัฐวิสาหกิจจีนเข้ามาเป็นผู้วางค้ำประกันและทำสัญญา ซื้อขายข้าวเสียเอง ถ้าทำแบบนี้แล้วจะมีบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรดไว้ทำไม

ส่วนข้ออ้างที่ว่า ที่ต้องดำเนินการในลักษณะนี้เพราะต้องการให้เป็นเรื่องลับนั้น ถือเป็นเรื่องตลกในวงการค้าข้าว อีกทั้ง ข้ออ้างดังกล่าวก็ละม้ายคล้ายกับข้ออ้างของคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารที่ต้องการขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลแบบ เงียบ ๆ อย่างลับ ๆ มาก

5) การไม่ยอมเปิดประมูลเป็นการทั่วไป ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันทางด้านราคาและส่อให้เกิดการ "ฮั้ว" ในการเสนอราคารับซื้อข้าวจากผู้ส่งออกบางกลุ่ม ยกตัวอย่าง ข้าวหอมปทุมธานี ลอตแรก (28 กรกฎาคม) บริษัทเอเซียโกลเด้นไรซ์ ซื้อ 16,850 บาท/ตัน, บริษัทแคปปิตัลซีเรียลส์ ซื้อ 16,750 บาท/ตัน, บริษัทข้าวไชยพร ซื้อ 16,800 บาท/ตัน ลอต 2 (30 สิงหาคม) ถัดจากนั้นไม่ถึงเดือน บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ซื้อ 16,850 บาท/ตัน ทั้ง 4 บริษัทซื้อข้าวราคาห่างกันแค่ 50-100 บาท/ตันเท่านั้น

หรือข้าวขาว 5% ลอตแรก (16 สิงหาคม) บริษัทเอเซียโกลเด้นไรซ์ ซื้อ 12,000 บาท/ตัน, บริษัทข้าวไชยพร ซื้อ 12,005-12,010 บาท/ตัน ลอต 2 (30 สิงหาคม) บริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ซื้อ 12,000 บาท/ตัน ทั้ง 3 บริษัทซื้อข้าวราคาห่างกันแค่ 5-10 บาท/ตันเท่านั้น พฤติกรรมการเสนอราคาซื้อข้าวโดยไม่มีการเปิดประมูลแบบนี้จะเรียกว่าอะไร หากไม่มีการตกลงหรือแอบเปิดราคากันมาก่อน

6) หลังจากที่คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร "อนุมัติ" ขายข้าว 1.9 ล้านตันให้กับบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลเร่ขายข้าวให้กับบริษัทผู้ส่งออกและโรงสีข้าวที่ต้องการข้าวทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวเหนียว 10% ถึงกับมีคำสั่งอนุมัติให้เปิดคลังเพื่อตรวจสอบคุณภาพข้าวพร้อมส่งมอบได้ ทั้งนี้ผู้สนใจที่จะซื้อข้าวได้รับการบอกให้ทราบเงื่อนไขว่าต้องวางค้ำประกัน 10% ของมูลค่าข้าวที่จะซื้อ และผู้ซื้อจะต้องส่งเอกสารการส่งออกข้าวไปต่างประเทศให้กับผู้ขาย

การดำเนินการออกเร่ขายข้าวดังกล่าว กลับได้รับการปกป้องจาก นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ทำนอง ที่ว่า "ใคร ๆ เขาก็ทำกันมาก่อน" ทั้ง ๆ ที่เป็นการเร่ขายข้าวในประเทศ ผิดเงื่อนไขการระบายข้าวสต๊อกรัฐบาลที่กำหนดไว้ว่าระบายเพื่อการส่งออก

7) เมื่อข่าวความไม่ชอบมาพากลในการขายข้าวมากกว่า 1 ล้านตันให้กับบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ถูกเผยแพร่ออกไป ประกอบกับบริษัทไม่สามารถหาสถาบัน การเงินมาวางค้ำประกันมูลค่าข้าว 5% ประมาณ 690 ล้านบาท เพื่อทำสัญญาซื้อขายข้าวกับ อคส./อ.ต.ก. ได้มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการค้าข้าวก็คือ ไม่มีใครที่จะเสี่ยงวางค้ำประกัน 10% เพื่อซื้อข้าวจากบริษัทเอ็มทีฯจนกว่าบริษัทจะได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวกับ อคส./อ.ต.ก.

ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ไม่ใช่ผู้ส่งออกข้าวที่แท้จริง แต่เป็นเพียง บริษัทนายหน้า หรือตัวกลาง หรือนอมินีที่เข้ามา "หาประโยชน์" จากการขายข้าวลอตนี้ เนื่องจากตัวบริษัทเอง ก็ไม่มีความสามารถในการวางค้ำประกันมูลค่าข้าวเกือบหมื่นล้านบาท

กระบวนการต่อจากนี้ไปคงจะต้องจับตามองการตัดสินใจของ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธาน กขช.จะเลือกอย่างไรระหว่างข้อเสนอ 3 ข้อ การ "ลากยาว" ดีลนี้ต่อไปด้วยการอนุมัติขยายระยะเวลาการรับมอบและขนย้ายข้าวสารตามคำขอของบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด หรือยุติดีลนี้ทันทีแล้วหา "นอมินี" รายใหม่เข้ามาสวมซื้อข้าวใน สต๊อกรัฐบาลแทน หรือกลับไปขายข้าวให้กับผู้ส่งออกเหมือนเดิม