ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

..ตะวันลับฟ้า..ที่ช่องแคบมะละกา..

เริ่มโดย ฟานดี้, 22:03 น. 06 ธ.ค 57

ฟานดี้

..และแล้ว..วันนี้เรามายื่นอยู่บนเมืิอง
มรดกโลก..เมือง มะละกา คร้าบบ..
มาถึงก็เย็นพอดี..เอารูปที่ตะวันจะลับ
ขอบฟ้ามาฝาก..คืนนี้ราตรีสวัสดิ์..
ก่อนนะคร้าบบ....

นายไข่นุ้ย

DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)

ฟานดี้

..มาเบิ่งกันต่อคับพี่น้อง..ค่ำคืนนี้ที่ มะละกา..

ฟานดี้

ยามเย็นที่นี่..คราคร่ำๆด้วยนักท่องเที่ยว

ฟานดี้

มะละกา..อยู่ห่างจากหาดใหญ่ประมาณ 700 กิโล +- นิดหน่อย
ผ่านรัฐเคดาร์-เปรัค-ปีนัง-เซลังงอร์-เนตรีซีบีลัง..นังรถกันตูดบวม
เลยล่ะ..อากาศร้อนอิ๊บอาย..เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร

ฟานดี้

เมืองมะละกา..มีประวัติน่าสนใจดังนี้.-

มะละกาและจอร์จทาวน์ นครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา
ประเภท : มรดกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ. 2551
ชื่อเป็นทางการ : มะละกาและจอร์จทาวน์ นครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา
(Melaka and George Town, Historic Cities of the Straits of Malacca)
ที่ตั้ง : มะละกาและปีนัง มาเลเซีย
เรียบเรียง : เสถียรพงศ์  ใจเย็น

มะละกาและจอร์จทาวน์ นครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา (Melaka and George Town, Historic Cities of the Straits of Malacca)

ความเป็นมา
มะละกา เป็นเมืองหลวงของรัฐมะละกา ประเทศมาเลย์เซีย เป็นอาณาจักรเก่าแก่ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรมาเลย์ด้านทิศตะวันตก ติดกับช่องแคบระหว่างคาบสมุทรมาเลย์กับเกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นช่องทางการเดินเรือและค้าขายทางทะเลระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิคข้ามไปยังมหาสมุทรอินเดียและแอตแลนติค จึงอยู่ในเส้นทางที่ประเทศมหาอำนาจของโลกในเวลานั้นต้องการยึดครองเพื่อการขยายอาณาเขต

มะละกามีต้นกำเนิดมาจากรัฐสุลต่านมาเลย์ ผู้สถาปนาอาณาจักรแห่งนี้คือ เจ้าชายปรเมศวรแห่งเมืองปาเล็มบัง ที่ลี้ภัยการเมืองออกมาจากอาณาจักรมัชปาหิตบนเกาะชวา ในปี พ.ศ. 1939 และกลายเป็นจักรวรรดิการค้าที่ยิ่งใหญ่ในอีก 200 ปีต่อมา และเป็นแหล่งแรกที่ศาสนาอิสลามเข้าสู่มาเลเซียผ่านทางพ่อค้ามุสลิมอินเดียที่มาจากปาไซ และเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบสุลต่าน...

ฟานดี้

มาม่ะ..ไปชมเมืองกัน..

ฟานดี้

เป็นเมืองภายใต้อาณานิคมฝรั่งอยู่หลายร้อยปี.ผลัดการหมุนเวียนกัน.ทั้งโปรตุเกส-ฮอลแลนด์-อังกฤต-ญี่ปุน
รูปทรงบ้านเมืองก็เป็นไปลักษณะของประเทศนั้น ๆ.,

ฟานดี้

ลักษณะตึกแถวเก่าๆเหมือนตรงสาย 1หลังโรบินสันหาดใหญ่ หรือถนนนครนอก-ใน เมืองสงขลา
หรือที่ จ.ภูเก็ต..คงได้รับอิทธิพลมาจากยุคเดียวกัน..

ฟานดี้

ตรงตึกแดงเจออาบังเข้าพิธีแต่งงานคงมาถ่ายเวดดิ้ง..
สวยงามมากคับ..

ฟานดี้

..บรรยากาศเมืองมะละกา..

ฟานดี้

บรรยากาศช่วงเย็น.มุ้งมิ้ง 1 ทุ่ม.ยังสว่าง..
สวยงาม..

ฟานดี้

..มื้อเย็นกับอาหารสไตย์ บ๋าบ๊า-ย๋าย๊า ร้านนี้ครับ..
อร่อยม๊ากกก..เกินบรรยาย..

ฟานดี้

..ร้านชาวจีนมุสลิม..ไม่มีบาบี๋..
กินได้สบายใจ..บาบี๋ถูกปากปากพอง..ถูกลิ้นกลืนเลย.555

ถ่ายไม่ทันหิวมากได้แค่นี้แหล่ะ..ฮา

ฟานดี้

..นั่งกินข้าวอยู่ก็เหลือบไปเห็นภาพวาดของ..เจิ้งเหอ.นักเดินเรือชาวจีนซึ่งเป็นขันที
และเป็นมุสลิม..ยิ่งใหญ่ไม่แพ้โคลัมบัสของมะกันเขาล่ะ
..มาดูประวัติเขาหน่อย :


เจิ้งเหอ (Zheng He หรือ Cheng Ho) (ค.ศ.1371-1433) เป็นผู้บัญชาการกองเรือมหาสมบัติของจีนสมัย ราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) การเดินเรือสำรวจทางทะเลในระยะเวลา 28 ปีของเจิ้งเหอ ประกอบด้วยกองเรือกว่า 300 ลำ ลูกเรือเกือบ 28,000 ชีวิต ออกสำรวจทางทะเลรวม 7 ครั้ง เดินทางมากกว่า 50,000 กิโลเมตร ท่องต่างแดนมากกว่า 30 ประเทศจากทะเลจีนใต้ไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของอาฟริกา เริ่มต้นเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1405 (พ.ศ.1948) ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราชแห่งราชวงศ์อู่ทองปกครองกรุงศรีอยุธยา สิ้นสุดในปีค.ศ.1433 (พ.ศ.1976) พร้อมกับการเสียชีวิตของเจิ้งเหอ

กองเรือมหาสมบัติของจีนเคยติดต่อกับอาณาจักรอยุธยาด้วย กาวิน แมนซี (Gavin Menzies)[1] อดีตทหารเรือชาวอังกฤษ เสนอทฤษฎีว่า ในการเดินเรือครั้งหนึ่งของเจิ้งเหอ เขาน่าจะไปไกลถึงทวีปอเมริกา ซึ่งหากเป็นจริง เขาก็จะเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัสเกือบร้อยปี

ภูมิหลังเจิ้งเหอ

เจิ้งเหอ เป็นคน ชนชาติหุย[2]  แซ่หม่า (มาจากคำภาษาอาหรับว่า มุฮัมหมัด) ซึ่งเป็นแซ่ของ ชาวหุย ส่วนใหญ่ เดิมชื่อ หม่าเหอ เกิดในครอบครัวมุสลิม ที่เมืองคุนหยาง มณฑล ยูนนาน ซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของกองทัพมองโกล และพวกที่ภักดีต่อมองโกลทางตอนใต้ของประเทศจีนที่ราชวงศ์หมิงยังยึดไม่ได้ในสมัยนั้น[3] เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1371 (พ.ศ.1914) ในต้นราชวงศ์หมิง เป็นลูกหลานชั้นที่หกของ ซัยยิด อัจญาล ชัมสุดดีน อุมัร (Sayyid Ajjal Shams al-Din Omar) แม่ทัพของกองทัพมองโกล จากบุคอรอ เอเชียกลาง (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอุซเบกิสถาน) ซึ่งเป็นผู้ปกครองมณฑลเสฉวนและยูนนานผู้ลือนาม เจิ้งเหอมีพี่ชาย 1 คน พี่สาว 1 คน และน้องสาว 3 คน บิดาของเจิ้งเหอมีนามว่า หม่าฮายี หรือ ฮัจญีหม่า  (Ma Hazhi หรือ Ma Haji) ทั้งพ่อและปู่ของเจิ้งเหอได้ไปทำพิธีฮัจญ์ในมักกะฮ สันนิษฐานจากคำนำหน้าชื่อว่า ฮายี  จึงได้พบเห็นผู้คนจากทุกสารทิศ และต้องเล่าเรื่องนี้แก่เจิ้งเหออย่างแน่นอน

เมื่อหม่าเหออายุได้ 11 ปี ตรงกับช่วงที่กองทัพของ จูหยวนจาง หรือ จักรพรรดิ หมิงไท่จู่ (ชื่อรัชกาล หงอู่) ปฐมกษัตริย์ ราชวงศ์หมิง นำกำลังทัพเข้ามาปราบปรามที่มั่นสุดท้ายของพวกเชื้อสายมองโกลที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ยูนนาน และยึดครองยูนนานเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรหมิงได้สำเร็จในปีค.ศ.1382 ในเวลานั้นเด็กชายหม่าเหอผู้มีเชื้อสายจากเอเชียกลาง ถูกจับกลับไปยังเมืองหลวง และถูกตอนเป็นขันทีมีหน้าที่รับใช้เจ้าชายจูตี้

หม่าเหอมีความสามารถสูง เฉลียวฉลาด ได้รับความไว้วางใจอย่างสูง กระทั่งต่อมาได้กลายเป็นแม่ทัพคู่ใจของเจ้าชายจูตี้ ในการทำศึกรบพุ่งกับกองทหารมองโกลทางตอนเหนือ และการยกทัพเข้ายึดนครนานจิง ช่วงชิงราชบัลลังก์จากพระราชนัดดาคือ จักรพรรดิ หมิงฮุ่ยตี้ (ชื่อรัชกาล เจี้ยนเหวิน) ที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากหมิงไท่จู่ ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์หมิง หม่าเหอมีส่วนสำคัญช่วยให้จูตี้ได้รับชัยชนะขึ้นสู่บัลลังก์เป็นจักรพรรดิ หมิงเฉิงจู่ (ค.ศ.1403-1424) จักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง มีชื่อรัชกาลว่า หย่งเล่อ ในปีค.ศ.1404 จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ตั้งให้หม่าเหอเป็นหัวหน้าขันที และพระราชทานแซ่เจิ้งให้ เรียกว่า เจิ้งเหอ แต่ชื่อที่รู้จักกันดีก็คือ ซันเป่ากง หรือ ซำปอกง  ตามบันทึกในประวัติศาสตร์จีน เจิ้งเหอมีรูปร่างสูงใหญ่กว่า 7 ฟุต น้ำหนักเกิน 100 กก. ท่วงท่าเดินสง่าน่าเกรงขามเหมือนราชสีห์ น้ำเสียงกังวานมีพลัง

ภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระองค์ได้เพียงปีเดียว จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ก็มีบัญชาให้สร้างกองเรือสินค้า เรือรบ และเรือสนับสนุน เพื่อไปเยือนเมืองท่าต่างๆ ในทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย นับเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติจีนและของโลกในยุคนั้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการออกไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้าและเครื่องราชบรรณาการจากรัฐต่างๆ อันจะสร้างความมั่งคั่งให้กับราชสำนักหมิง และความสันติสุขในบรรดาประเทศทางตอนใต้ นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงต้องการออกไปตามหาจักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้ พระราชนัดดา ที่ร่ำลือกันว่าได้ทรงปลอมเป็นพระหลบหนีออกจากวังไปได้ในระหว่างที่พระองค์ยกทัพเข้ายึดนครนานจิง โดยทรงเชื่อว่าพระราชนัดดาได้หลบหนีไปทางทะเลจีนใต้

ทั้งนี้ จักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ทรงมอบภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ให้กับเจิ้งเหอ ในการควบคุมการก่อสร้างกองเรืออันยิ่งใหญ่ และเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุด ออกสมุทรยาตราไปบนผืนท้องสมุทร ในฐานะที่เป็นตัวแทนแห่งองค์จักรพรรดิมังกร การเดินทางสำรวจทางทะเลของเจิ้งเหอถูกบันทึกไว้โดย มุฮัมหมัด หม่า ฮวน หรือ มุฮัมหมัด ฮาซัน หนุ่ม จีนมุสลิม จากชนชาติหุย ชนชาติเดียวกับเจิ้งเหอ เขาสามารถพูดภาษาอาหรับได้ และเป็นล่ามให้เจิ้งเหอ เขาบันทึกการสำรวจทะเลของเจิ้งเหอในหนังสือชื่อ ยิงใยเช็งลัน หรือ การสำรวจชายฝั่งมหาสมุทร (Ying yai sheng lan หรือ The Overall Survey of the Ocean's Shores)

ฟานดี้

..เช้านี้..ที่ริมหน้าต่างโรงแรม Ecor tree..แลเห็นไปข้างหน้าเป็นท้องทะเล..นามว่า.ช่องแคบมะละกา..อิฮิ
เป็นช่องทางเดินเรือที่สำคัญของภูมิภาคนี้.,.

ฟานดี้

..หลังอาหารเช้าก็ไปต่อ.,

...ส่วนจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของเมืองมะละกาก็คือ "เรด สแควร์" (Red Square) หรือจัตุรัสแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อ "จัตุรัสดัตช์" ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้ามาปกครองมลายู อาคารต่างๆ ที่ล้อมรอบจัตุรัสเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ใจกลางจตุรัสเป็นลานน้ำพุแบบอังกฤษที่สร้างถวายแด่พระราชินีวิกตอเรียใน ค.ศ. 1904 ส่วนรอบๆ ลานน้ำพุคือหอนาฬิกา โบสถ์คริสต์ (Christ Church) ศิลปกรรมดัตช์ประยุกต์ ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1753 และอาคารสตัดธิวท์ (Stadhuys) ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1650 เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบันอาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดีของมะละกา อาคารทั้งสามต่างทาด้วยสีแดงเข้ม จนกลายเป็นชื่อเรียกจัตุรัสแดง...

ฟานดี้

กับอีกหนึ่งไฮไล..นางแบบหุ่นอวบกับประตูโบส.อิอิ
.

ฟานดี้

..ประวัติเมืองนี้คิอ..กระจง..ครั้งกะนู้นน..เจ้าชายจากอินโดทรงมาล่าสัตว์
ที่เมืองนี้แล้วไปเจอกระจงจากนั้นจึงให้เจ้าสุนัขไล่ติดตาม..จนมาถึงบ้านนางเอก..
..เฮ้ย..บ้านเจ้าหญิงผู้เลอโฉม..เจ้าชายจึงตกหลุมรักกับหญิงสาวผู้เลอโฉม
นางนี้..จึงตกลงปลงใจแต่งงานและสร้างเมืองขึ้นที่นี่..
..จึงเป็นที่มาของเมืองเป็นกระจงไงละคับ..อิอิ

ฟานดี้

..บ๊าย..บาย..มะละกา..เมืองที่มีประวัติศาสต์อันยาวนาน..
ถ้ามีโอกาสคงได้มาเยือนใหม่...

ไปเที่ยวมา

ดูเงียบ ๆ ไปเหมือนกันนะ เคยไปคนมากมายพลุกพล่านกว่านี้ แสดงว่าบ้านเค้าก็คงเงียบเหมือนบ้านเราเนอะ

ฟานดี้

คงเช้าอยู่มั้งครับ..ช่วงเย็น ๆ คนจะเยอะ..ที่นี่.ส่วนใหญ่ชาวสิงค์โปร์ชอบมาเที่ยว
มากินข้าวและแวะเติมน้ำมัน..ค่าครองชีพถูกกว่าบ้านเขาเยอะ..