ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

.จากอดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่..อนิจจา..

เริ่มโดย ฟานดี้, 10:23 น. 25 ต.ค 54

ฟานดี้











กัดดาฟี   เกิดเมื่อ ค.ศ. 1942 เขาเกิดในกระโจมในทะเลทรายใกล้เมืองเซอร์ตี มีชื่อเต็มๆว่า มูอัมมาร์ กัดดาฟี พ่อเป็นชาวอาหรับ เบดูอิน ซึ่งพเนจรเร่รอนไปในทะเลทราย เป็นชนเผ่าเบอร์เบอร์ อาชียเลี้ยงสัตว์ขาย ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่ล้วนเคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียน ที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับมาเลยทีเดียว ในวัยเยาว์กัดดาฟี เรียนหนังสือได้ดีมาก และเมื่ออายุได้ 14 ปี ใน ค.ศ. 1956 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกอาหรับ ก็ได้ก่อให้เกิดความสำนึกทางการเมืองแก่กัดดาฟีอย่างแรงกล้า เนื่องจากในปีนั้น นัสเซอร์ ผู้นำแห่งอียิปต์ได้โอนคลองสุเอชเป็นของรัฐ ยังผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล ยกทัพบุกอียิปต์ 

กัดดาฟี ได้จัดตั้งกลุ่มนักเรียนขึ้น เพื่อสนับสนุนนัสเซอร์ ผู้เป็นวีรบุรุษของเขา
                กัดดาฟี่ เคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งเดินขบวนและสไตร๊ค์จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ต้องจ้างคูรมาสอนที่บ้านจึงเรียนจบ เมื่ออายุได้ 19 ปี ก็เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่แบงกาซี ตามแบบนัสเซอร์ เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อยกัดดาฟี่ ก็ค่อยๆปลูกฝังความคิดในเรื่องชาตินิยมอาหรับแก่เพื่อนๆชั้นเดียวกัน ทำนองเดียวกับที่นัสเซอร์ จัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่ม เพื่อปฎิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุค นั่นเอง
                เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้ว กัดดาฟี่ได้เป็นนายทหารในกองทัพบก และทำงานใต้ดินติดต่อกับเพื่อนๆนายทหารของตน บรรดานายทหารที่ร่วมวางแผนปฎิวัติ กับกัดดาฟี่ล้วนใช้ชีวิตมัธยัสถ์อดออม เคร่งศาสนาเยี่ยงมุสลิมที่ดี ซึ่งกัดดาฟี่ได้ประพฤติปฎิบัติตนเป็นแบบอย่างมาตลอด ด้วยเหตุนี้คณะนายทหารกลุ่มกัดดาฟี่ จึงเป็นนายทหารที่หาได้ยากในลิเบีย เพราะไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกในเรื่องผู้หญิง
   
                 กัดดาฟี่ อายุได้ 24 ปี เขาถูกส่งไปศึกษาต่อวิชาสื่อสารที่ประเทศอังกฤษ   6 เดือน ต่อมาใน ปี ค.ศ. 1969 ก็ได้เป็นร้อยเอก ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารสื่อสาร และในปีเดียวกันนั้นเอง กัดดาฟี่กับคณะนายทหารของเขา จึงได้ตกลงใจกันที่จะยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลระบบกษัตริย์ของลิเบีย ซึ่งลิเบียในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น กลายเป็นแหล่งดึงดูดใจมหาอำนาจตะวันตก เพราะได้มีการค้นพบบ่อน้ำมัน ในปี ค.ศ. 1959 ชนชั้นปกครองร่ำรวยล้นฟ้า บริษัทต่างประเทศเข้ามาขอสัมทานน้ำมัน ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลิเบียถัดจากกษัตริย์ไอดริส ได้แก่ตระกูลเชลฮี ซึ่งกุมอำนาจสูงสุดทางการเมือง และจากความมั่งคั่งของชนชั้นปกครอง และความอดอยากยากจนของพลเมือง กัดดาฟีและคณะนายทหารของเขาจึงไม่อาจจะอดทนรอได้ต่อไป
               วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 1969 ขณะนั้นกษัตริย์ไอดริสเสด็จออกไปนอกประเทศ และในคืนนั้นเอง นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้เชิญนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากินเลี้ยงกันเป็นการใหญ่ พอตกค่ำกัดดาฟี่ก็เคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหาร และนายตำรวจเหล่านั้นได้ทั้งหมด จากนั้นนายทหารชั้นนายร้อยทั้งหลายก็แยกย้ายกันเข้ายึดเมืองตริโปลี และ เบงกาซี โดยใช้รถถัง และรถเกาะเข้ายึดสถานีวิทยุ ที่ทำการไปรษณีย์ และสถานที่สำคัญๆต่างๆ ตลอดจนค่ายทหารที่อาซีย์ และ พระราชวังด้วย
               นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพบก และตำรวจแห่งชาติก็อยู่ภายใต้การบังคับการของกัดดาฟี่ เพื่อสะดวกแก่การบังคับบัญชาเขาได้เลื่อนยศตนเองเป็นนายพันเอก และดำรงค์ตำแหน่งประมุขสูงสดุของสาธารณรัฐลิเบีย และผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานสภาปฎิวัติ ซึ่งสถานี้มีอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 12 คน ได้แก่นายทหารที่ร่วมคบคิดกันมากับกัดดาฟี่นั่นเอง
                  หลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลได้แล้ว กัดดาฟีได้แก้ปัญหาเรื่องเอกราชก่อน โดยการไม่ยินยอมให้สหรัฐฯและอังกฤษตั้งฐานทัพในลิเบียอีกต่อไป มหาอำนาจทั้งสองจึงต้องถอนกำลังออกทั้งหมด แล้วจึงขึ้นค่าภาคหลวงน้ำมันขึ้นมาอีก 120 เปอร์เซนต์ และภายหลังได้โอนมาเป็นของรัฐ ยังผลให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางสมัยนั้น
   
                  จากนั้นกัดดาฟี่ได้ใช้เงินที่ได้จากน้ำมันพัฒนาโครงการเศรษฐกิจ และก่อสร้างบ้านเรือนที่ทันสมัย ตั้งแต่ ทศวรรษที่ 1980 ปรากฎว่ารายได้เฉลี่ยของชาวลิเบียส฿ สูงถึง 7000 เหรียญต่อปี
                  กัดดาฟี่ ยึดรถยนต์เมอซีเดซ เบนซ์ ที่เจ้านายและนักการเมืองในอดีตใช้กันอย่างหรูหรา ได้ถึง 600 คัน ส่วนตนเองใช้รถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ และยังได้ลดเงินเดือนรัฐมนตรีลงครึ่งหนึ่ง ลดค่าเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยของคนจนลง 1 ใน 3
                หลักการปฎิวัติของกัดดาฟี่นั้น มีอยู่ในหนังสือที่เขาเขียนเอง ที่เรียกกันว่า  Green Book ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการต่าง ในพระคัมภีร์กุรอ่านมาปรับใช้ในโลกที่สมัยใหม่ เขาถือว่าลัทธิทุนนิยมล้าสมัยไปหมดแล้ว ส่วนลัทธิมาร์กซก็คือสังคมยูโทเปีย ที่ปกครองด้วยระบบราชการ
                   จากความจะเป็นอันเนื่องมาจากมหาอำนาจตะวันตก ล้วนเป็นปรปักษ์ต่อลิเบีย กัดดาฟี จึงต้องซื้ออาวุธจากโซเวียตเป็นจำนวนมาก ทั้งรถถัง เครื่องบิน ปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์อย่างอื่นอีก
                  จึงไม่แปลกเลยที่ ในสายตาของชาวลิเบีย และชาวอาหรับมากมาย กัดดาฟี่ คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอาหรับ ผู้สืบทอดอุดมการณ์ชาตินิยมอาหรับจากนัสเซอร์ ทั้งที่ในสายตาของรัฐบาลอเมริกา เขาคือปีศาจร้ายที่ต้องต้องทำลายให้สิ้น เพราะอยู่เบื้องหลังพวกก่อการร้ายชาวอาหรับจำนวนมาก(www.gmcities.com)




( โปรดติดตามตอนต่อไป )





อ้างอิง :


                       www.wikipedia.org




ข.ไข่ปิ้ง

เป็นห่วงคนไกลบ้านจังเลย ป่านนี้ยังอยากกลับบ้านอีกไหมหนอ?ระยะนี้ไม่ได้ยินเสียงโฟนอินมาบ้างเลย 555