ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เริ่มคุยเรื่องน้ำท่วมบ้านเรา จริง ๆ จัง ๆ กันดีกว่า

เริ่มโดย กิมหยง, 21:42 น. 23 ต.ค 54

กิมหยง

หลังจากได้ติดตามน้ำท่วมภาคอื่น รวมถึงกำลังลุ้นน้ำที่กรุงเทพ
เราก็คุยเรื่องบ้านเรากันบ้างดีกว่านะครับ 

ปีนี้เรามีข้อมูลรวมถึงเครือข่ายเยอะกว่าปีที่แล้วพอสมควร
น่าจะทำให้การแจ้งข่าวขยายเป็นวงกว้างขึ้น รวดเร็วขึ้น รวมถึงถูกต้องขึ้นด้วย

ก่อนเราจะทราบอย่างอื่น อยากให้ชาวกิมหยงทราบถึงข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ ก่อนนะครับ
แล้วค่อยต่อเป็นจิ๊กซอร์ ก็จะได้ทราบข้อมูลทั้งหมด จนทำให้สามารถประเมินผลด้วยตนเองได้ครับ

ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก่อน คือพื้นที่ที่เราอยู่ครับ
ต้องทราบรายละเอียดเกี่ยวกันพื้นที่อาศัยก่อนครับ
ซึ่งการแบ่งพื้นที่ ที่จะติดตามเรื่องน้ำท่วมนั้น
ไม่นิยมเรียกกันเป็นตำบลอำเภอครับ

เขาจะแบ่งกันตามหลักสันปันน้ำครับ
ซึ่งท้องที่เราเรียกกว่า "ลุ่มน้ำอู่ตะเภา" ครับ

ซึ่งขอยกข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากท่านสมาชิก "krerkchai" รหัสมาชิก 20899
ที่ได้เขียนเรื่องราวของ ลุ่มน้ำอู่ตะเภา ไว้อย่างน่าอ่านมากครับ

ลักษณะทางกายภาพลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา (ข้อมูล อ้างอิง ปี ๒๕๔๐ - ๒๕๕๐)

         ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ถือได้ว่าเป็นลุ่มน้ำย่อยที่ ๗ ในลุ่มน้ำที่ ๒๑ (ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา)
ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา ๕ ลุ่มน้ำของจังหวัดสงขลา
ตั้งอยู่ในพิกัดเส้นรุ้ง ๗ องศา ๑๔ ลิปดา เหนือ และเส้นแวง ๑๐๐ องศา ๒๘ ลิปดา ตะวันออก
มีพื้นที่วัดได้ประมาณ ๒,๘๔๐ ตารางกิโลเมตร
คลอบคลุมอาณาเขตพื้นที่ ๗ อำเภอ ๓๕ ตำบล ๒๕๒ หมู่บ้าน
อันได้แก่ อำเภอสะเดา อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอนาหม่อม
อำเภอหาดใหญ่ อำเภอรัตภูมิ อำเภอบางกล่ำ และอำเภอควนเนียง

โดยที่มีสายน้ำสำคัญคือคลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นสายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสงขลา
หากมองดูในเชิงกายภาพแล้วจะมีความกว้างของผิวน้ำในหน้าแล้งโดยเฉลี่ย
บริเวณต้นน้ำ ๖-๑๕ เมตร กลางน้ำ ๑๕-๓๐ เมตร และปลายน้ำ ๓๐-๕๐ เมตร
มีความลึก ๒-๕ เมตร พื้นที่รับน้ำ ๑,๖๐๐ ลูกบาศก์กิโลเมตร
คลองอู่ตะเภานี้ไหลจากทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือ

โดยมีจุดเริ่มจากชายแดนไทย-มาเลเซีย ไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบสงขลาตอนล่าง
บริเวณบ้านท่าเมรุ อำเภอบางกล่ำ และบ้านแหลมโพธิ์ อำเภอหาดใหญ่
รวมความยาวทั้งสิ้น (เฉพาะส่วนที่เรียกว่าคลองอู่ตะเภา) ประมาณ ๑๓๐ กิโลเมตร 
(กรมพัฒนาที่ดิน ๒๕๓๒ ระบุว่ายาวประมาณ ๙๐ กม.)

คลองอู่ตะเภาเกิดจากการไหลมาบรรจบของคลองใหญ่ ๒ สาย
ที่บางหรำ (บ้านคลองแงะ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา) คือ คลองรำ
ซึ่งไหลมาจากเขาลูกช้าง (สะเดา) และเทือกเขาบรรทัด (ผาดำ)
และคลองแม่น้ำที่ไหลมาจากเขาน้ำค้าง (นาทวี)
รวมความยาวเกือบร้อยกิโลเมตร ถึงปากอ่าวทะเลสาบสงขลา

จาก http://gimyong.com/talung/index.php?topic=30992.0
สร้าง & ฟื้นฟู

กิมหยง

ส่วนข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากกรมชลประทาน
บอกว่าพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภามีพื้นที่ทั้งหมด 2,392 ตารางกิโลเมตร

ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ซึ่งจะใช้ในการนำมาประเมินสถานการณ์น้ำ
จึงขอใช้ตัวเลขที่  2,400 ตร.กม. นะครับ

ข้อมูลจากกรมชลประทานสงขลา
http://irrigation.rid.go.th/rid16/sip/linkleft/5lumnam/lumnam_autapaow.html
สร้าง & ฟื้นฟู

Kungd4d


ฅนเกาะเสือ

นี้แหละครับ ของจริง ขอบคุณมากมายครับเฮีย กิมที่อนุเคราะห์ข้อมูลทางวืชาการ โหย้ มาครึ่งคนแล้ว ยังไม่รู้ ภูมิศาตร์ บ้านตัวเองเหลย
แม้ ความรู้อันน้อยนิด อาจช่วยชีวิต คนเป็น ร้อย

กิมหยง

ครับงั้นได้คุยกันในประเด็นต่อไป

หลังจากทราบภูมิศาสตร์ของบ้านเราแล้ว
ต่อไปมาดูเรื่องน้ำ เรื่องฝนกันนะครับ

จากข้อมูลของกรมชลประทานสงขลา
บอกว่าลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยทั้งปี 1,243.67 ล้าน ลบ.ม

มีใครรู้ไหม ว่าน้ำท่าเฉลี่ยนี่มันคืออะไร  น้ำที่ท่วม ๆ เราเป็นน้ำท่าด้วยหรือเปล่า
สร้าง & ฟื้นฟู

กิมหยง

คุยกันต่อ แล้วค่อยสรุปอีกทีครับ

ว่ากันเรื่องน้ำท่า หลังจากที่ตั้งประเด็นสงสัยไว้มีผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำตอบมาแล้วครับ

เอากันแบบง่าย ๆ บ้าน ๆ จะได้เข้าใจกัน

เมื่อเกิดฝนตกลงมา น้ำส่วนหนึ่งจะซึมลงดิน
ซึ่งจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับสภาพดิน หากฝนทิ้งช่วงนาน ๆ
อันตราการซึมลงชั้นใต้ดินก็จะเยอะ อาจซึมลงหมดเลยก็ได้
แต่หากอยู่ในหน้าฝน อัตราการซึมลงใต้ดินก็จะมีน้อย
หรือไม่ซึมเลยก็เป็นได้

ส่วนที่ไม่ซึมลงดิน ก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำ ลงสู่คูคลองที่มีอยู่
ซึ่งน้ำส่วนนี้แหละเขาเรียกกว่า "น้ำท่า"

เข้าใจหรือยังพี่น้องชาวกิมหยง


สร้าง & ฟื้นฟู

ตระหนก ตระหนัก!!!


โปร่งแสง

: เวลาถูกต้องแล้วทำให้ตัวของเราเป็นคนที่น่าเคารพหรือรู้สึกว่าตัวของเรามันดีขึ้นหรือเปล่า :

กิมหยง

ข้อศอกเคล็ดอยู่ครับ ใช้นิ้วก้อยขวาไม่ได้

พิมพ์ยังไม่ค่อยถนัดครับ  เวรกรรมจริง ๆ

แล้วเดี๋ยวจะสรุปข้อมูล ที่น่าสนใจมาให้ติดตามกันต่อนะครับ
สร้าง & ฟื้นฟู

ฟ้าเปลี่ยนสี

การเตือนภัยน้ำท่วมเมืองหาดใหญ่

น้ำท่วมเมืองหาดใหญ่สาเหตุและแหล่งที่มา
โดยทั่วไป ภัยน้ำท่วมมักจะเกิดช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคมของทุกปี  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน  ซึ่งเคยเกิดน้ำท่วมหนักกับเมืองหาดใหญ่มาแล้วเมื่อปี 2531 และ ปี 2543 และปี 2553 ปัจจัยสำคัญ คือ เกิดจากปัจจัยสำคัญ คือ เกิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำ หรือมีพายุหมุน เขตร้อนพัดผ่านเข้าทางภาคใต้ของ ประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนัก และเกิดน้ำหลากจากภูเขาลงสู่ คลองอู่ตะเภา คลองอู่ตะเภาที่ไหลผ่านเมืองหาดใหญ่  มีต้นน้ำอยู่ที่อำเภอสะเดา  จ.สงขลา มีคลองสาขา ที่สำคัญ คือ ค.สะเดา ค.หล้าปัง ซึ่งเป็นสาขาลุ่มน้ำอู่ตะเภาตอนบน  ไหลมารวมกันทางตอนบน ของบ้านคลองแงะ อ.สะเดา จ.สงขลา และยังมีคลองสาขาในลุ่มน้ำอู่ตะเภาตอนล่าง คือ ค.ตง ค.ประตู ค.หลา ค.จำไหร  ไหลลงสู่คลองอู่ตะเภาตอนล่าง ที่บ้านบางศาลา อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา

การเตือนภัยน้ำท่วมเมืองหาดใหญ่ ใช้ข้อมูลทางอุทกวิทยา จากสถานีวัดระดับน้ำและปริมาณน้ำ ที่บ้านม่วงก็อง (สถานี X.173A) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหาดใหญ่ที่บริเวณ ปตร.อู่ตะเภาทางเหนือน้ำ ประมาณ 37 กิโลเมตร   (กรณีน้ำท่าในลุ่มน้ำอู่ตะเภาตอนบน) และใช้ข้อมูลทางอุทกวิทยา จากสถานีวัดระดับน้ำและปริมาณน้ำที่บ้านบางศาลา (สถานี X.90)  ซึ่งห่างจากเมืองหาดใหญ่ที่บริเวณ ปตร.อู่ตะเภาทางเหนือน้ำ ประมาณ 12 กิโลเมตร   (กรณีน้ำท่าในลุ่มน้ำอู่ตะเภาตอนล่าง)


กำหนดการเตือนแบ่งเป็น 2 ช่วง ดังนี้
กรณีน้ำท่าจากลุ่มน้ำอู่ตะเภาตอนบน  อาศัยข้อมูลระดับน้ำของสถานี X.173A ที่บ้านม่วงก็อง และ สถานี X.90 ที่บ้านบางศาลา อ.คลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา เป็นสถานีหลัก
กรณีน้ำท่าจากลุ่มน้ำอู่ตะเภาตอนล่าง อาศัยข้อมูลระดับน้ำของสถานี  X.90 ที่บ้านบางศาลา สถานี หน้า ปตร.อู่ตะเภา และสถานี X.44 บ้านหาดใหญ่ใน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นสถานีหลัก

กรณีระดับน้ำเริ่มล้นตลิ่งพื้นที่ลุ่มต่ำ ตำบลบ้านพรุ  บริเวณคลองอู่ตะเภา
เมื่อระดับน้ำที่ไหลผ่านสถานีบ้านม่วงก็อง  X.173A  สูงประมาณ 15.90 เมตร จะสามารถคาดการณ์ไว้ว่า อีกประมาณ  12-13 ชั่วโมง ถัดไป  น้ำอู่ตะเภาจะเดินทางถึงสถานีบ้านบางศาลา   X.90 ทำให้ระดับน้ำสูงที่ระดับ 8.00 เมตร และหลังจากนั้น  อีกประมาณ 1- 2 ชั่วโมง ต่อมามีผลทำให้น้ำเริ่มท่วมตลิ่งพื้นที่ลุ่มต่ำ ตำบลบ้านพรุ บริเวณริมคลองอู่ตะเภา

กรณีระดับน้ำเริ่มท่วมล้นคันคลองฝั่งขวาของเมืองหาดใหญ่(บริเวณคันคลองหวะ)
เมื่อระดับน้ำที่ไหลผ่านสถานีบ้านม่วงก็อง   X.173A สูงประมาณ 16.40 เมตร จะสามารถคาดการณ์ได้ว่า อีกประมาณ 10-11 ชั่วโมง ถัดไป  น้ำอู่ตะเภาจะเดินทางถึงสถานีบ้านบางศาลา   X.90 ทำให้ระดับน้ำสูงที่ ระดับ 9.30 เมตร และหลังจากนั้น อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง ต่อมา ระดับน้ำที่ หน้า ปตร.อู่ตะเภา จะสูงถึงระดับ 7.20 เมตร ซึ่งก็มีผลทำให้น้ำเริ่มล้นคันคลองฝั่งขวาของเมืองหาดใหญ่ (บริเวณคันคลองหวะ)

กรณีระดับน้ำเริ่มล้นตลิ่งฝั่งชุมชนบ้านหาดใหญ่ใน ที่สถานี X.44 (ฝั่งซ้าย)
เมื่อระดับน้ำที่ไหลผ่านสถานีบ้านม่วงก็อง   X.173A สูงประมาณ 17.00 เมตร จะสามารถคาดการณ์ได้ว่า อีกประมาณ 9-10 ชั่วโมง ถัดไป  น้ำอู่ตะเภาจะเดินทางถึงสถานีบ้านบางศาลา   X.90 ทำให้ระดับน้ำสูงที่ ระดับ 10.30 เมตร และหลังจากนั้น อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง ต่อมาระดับน้ำที่ หน้า ปตร.อู่ตะเภา จะสูงถึงระดับ 8.40 เมตร และอีก 0.5 ชั่วโมง ถัดมา ระดับที่สถานี X.44 จะสูงถึง 7.40 เมตร ก็จะมีผลทำให้น้ำเริ่มล้นตลิ่งฝั่งชุมชนบ้านหาดใหญ่

กรณีระดับน้ำเริ่มล้นตลิ่งฝั่งอำเภอหาดใหญ่ ที่สถานี X.44 (ฝั่งขวา)
เมื่อระดับน้ำที่ไหลผ่านสถานีบ้านม่วงก็อง   X.173A สูงประมาณ 17.10 เมตร จะสามารถคาดการณ์ได้ว่า อีกประมาณ 8-9 ชั่วโมง ถัดไป  น้ำอู่ตะเภาจะเดินทางถึงสถานีบ้านบางศาลา   X.90 ทำให้ระดับน้ำสูงที่ ระดับ 11.00 เมตร และหลังจากนั้น อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง ต่อมาระดับน้ำที่ หน้า ปตร.อู่ตะเภา จะสูงถึงระดับ 9.30 เมตร และอีก 0.5 ชั่วโมง ถัดมา ระดับที่สถานี X.44 จะสูงถึง 8.30 เมตร ก็จะมีผลทำให้น้ำเริ่มล้นตลิ่งฝั่งอำเภอหาดใหญ่

หมายเหตุ
      1.  ปตร. อู่ตะเภา  ปิดกั้นลำน้ำอู่ตะเภา  ตั้งอยู่ทางด้านเหนือน้ำของสถานี X.44 ประมาณ 2 กม.  ตามลำน้ำ เป็นตัวควบคุมปริมาณน้ำในคลองอู่ตะเภาที่ไหลผ่าน สถานี X.44  ซึ่งควบคุมให้ปริมาณน้ำ ไหลผ่านได้ไม่เกิน  465 ลบ.ม./วิ
      2.  ปตร. หน้าควน ปิดกั้นปากคลอง ร.1  ตั้งอยู่ทางด้านเหนือน้ำ ทางด้านฝั่งซ้ายของปตร.อู่ตะเภาเป็นตัวควบคุมการระบายน้ำ เข้าสู่คลอง ร.1  ซึ่งเปิดระบายน้ำได้ไม่เกิน  465 ลบ.ม./วิ

ขอขอบคุณข้อมูลของ ศูนย์อุทกวิทยาและบริหารน้ำภาคใต้ สำนักอุทกวิทยา กรมชลประทาน
                                   
สรุปง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน
น้ำจะท่วมหาดใหญ่หรือไม่ต้องดู สถานีบางศาลา เป็นหลัก เพราะเป็นสถานีที่ใกล้หน้า ปตร. อู่ตะเภา มากที่สุด (ดูรูปภาพด้านล่างประกอบ) โดยใช้หลักดังนี้
สถานีบางศาลา ถ้าระดับน้ำต่ำกว่า 8 เมตร จะเป็นภาวะปกติครับ............(1)
สถานีบางศาลา ถ้าระดับน้ำสูงที่ 8 เมตร  จะล้นตลิ่งที่บ้านพรุ   (ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด).............(2)
สถานีบางศาลา ถ้าระดับน้ำสูงที่ 9.30 เมตร  น้ำจะเข้าจันทร์วิโรจน์ครับ..................(3)
สถานีบางศาลา ถ้าระดับน้ำสูงที่ 10.30 เมตร  น้ำจะท่วมหาดใหญ่ใน และ น้ำจะไหลเข้า สาย 1, 2, 3 ครับ......(4)
สถานีบางศาลา ถ้าระดับน้ำสูงที่ 11 เมตร น้ำจะท่วมตัวเมืองหาดใหญ่ ครับผม............(5)

ขอขอบคุณข้อมูล คุณปพน  รักษ์ศรี  วิศวกรชลประทานชำนาญการ โครงการชลประทานสงขลา16 จังหวัดสงขลา

ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

เพิ่มเติมครับ
ไม่ต้องไปดูถึงสถานที่จริงน่ะครับ เราเป็นชาวไซเบอร์เราต้องใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชนืให้มากที่สุดครับ ให้ไปดูตามลิ้งค์ได้เลย ครับผม

http://www.hatyaicityclimate.org/flood/cam/3

เป็นส่วนรายละเอียดของสถานีบางศาลา ครับผม
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ไม่แน่ใจว่ามีใครโพสแล้วยังครับ เพราะผมไม่ได้ค้นกระทู้เก่าๆ เลยไม่ทราบ ถ้ามีใครโพสแล้วก็ถือว่าทบทวนความจำน่ะครับ
ส.ตากุลิบกุลิบ

คนที่เราต้องเชื่อเป็นคนแรกเมื่อเราไม่แน่ใจว่าฝนที่ตกจะมากหรือน้อย ก็ต้องนักวิชาการอุตุฯ ที่พยากรณ์อากาศ รับฟังได้คลื่น มอ. เวลาไม่ต้องบอกน่ะครับ รู้กันทุกคนแล้ว (ผมไม่ไช่หน้าม้าน้า แต่ของเขาแม่นจริงๆๆ) ก็ต้องเจอศัพท์คำพยากรณ์มากมาย บางครั้งรู้บ้างไม่รู้บ้าง ผมเลยนำมาบางส่วนเพื่อมาศึกษากันครับ

คำศัพท์น่ารู้ในคำพยากรณ์อากาศ

เกณฑ์ในคำพยากรณ์และรายงานอากาศ
เกณฑ์อากาศร้อน ใช้อุณหภูมิสูงสุดประจำวันและใช้ในเฉพาะในฤดูร้อน
อากาศร้อน (Hot) อุณหภูมิสูงสุดประจำวันและใช้เฉพาะในฤดูร้อน
อากาศร้อนจัด (Very Hot) อุณหภูมิตั้งแต่ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป

เกณฑ์อากาศหนาว ใช้อุณหภูมิต่ำที่สุดประจำวันและใช้เฉพาะฤดูหนาว
อากาศเย็น (Cool) อุณหภูมิตั้งแต่ 18.0 – 22.9 องศาเซลเซียส
อากาศค่อนข้างหนาว (Moderately Cold) อุณหภูมิตั้งแต่ 16.0 – 17.9 องศาเซลเซียส
อากาศหนาว (Cold) อุณหภูมิตั้งแต่ 8.0 – 15.9 องศาเซลเซียส
อากาศหนาวจัด (Very Cold) อุณหภูมิตั้งแต่ 7.9 องศาเซลเซียส

เกณฑ์การกระจายของฝน
1.   ฝนบางพื้นที่ (Isolated) หมายถึง มีฝนตกน้อยกว่า 20 % ของพื้นที่
2.   ฝนกระจายเป็นแห่ง (Widely Scattered) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 20 % ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 40 % ของพื้นที่
3.   ฝนกระจาย (Scattered) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 40 % ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 60 % ของพื้นที่
4.   ฝนเกือบทั่วไป (Almost Widespread) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 60 % ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80% ของพื้นที่
5.   ฝนทั่วไป (Widespread) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 80 % ของพื้นที่ขึ้นไป

เกณฑ์ปริมาณน้ำฝน
1.   ฝนเล็กน้อย (Light Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 0.1 มิลลิเมตร ถึง 10.0 มิลลิเมตร
2.   ฝนปานกลาง (Moderate Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 10.1 มิลลิเมตร ถึง 35.0 มิลลิเมตร
3.   ฝนหนัก (Heavy Rain ) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 35.1 มิลลิเมตร ถึง 90.0 มิลลิเมตร
4.   ฝนตกหนักมาก (Very Heavy Rian) ฝนตกมีปริมารตั้งแต่ 90.1 มิลลิเมตร ขึ้นไป

เกณฑ์จำนวนเมฆในท้องฟ้า โดยแบ่งท้องฟ้าเป็น 10 ส่วน
1.   ท้องฟ้าแจ่มใส (Fine) ท้องฟ้าไม่มีเมฆหรือมีแต่น้อยกว่า 1 ส่วนของท้องฟ้า
2.   ท้องฟ้าโปร่ง (Fair) ท้องฟ้ามีเมฆตั้งแต่ 1 ส่วน ถึง 3 ส่วนของท้องฟ้า
3.   ท้องฟ้ามีเมฆบางส่วน (Partly Cloudy Sky ) ท้องฟ้ามีเมฆเกินกว่า 3 ส่วนถึง 5 ส่วนของท้องฟ้า
4.   ท้องฟ้ามีเมฆเป็นส่วนมาก (Cloudy Sky) ท้องฟ้ามีเมฆเกินกว่า 5 ส่วนถึง 8 ส่วนของท้องฟ้า
5.   ท้องฟ้ามีเมฆมาก (Very Cloudy Sky) ท้องฟ้ามีเมฆเกินกว่า 8 ส่วนถึง 9 ส่วนของท้องฟ้า
6.   ท้องฟ้ามีเมฆเต็มท้องฟ้า (Overcast Sky) ท้องฟ้ามีเมฆเกินกว่า 9 ส่วน ถึง 10 ส่วนของท้องฟ้า

ยังมีต่อคราวหน้า ครับผม  ส.ยกน้ิวให้
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

 ส.ตากุลิบกุลิบ มาต่อแล้วครับ

เกณฑ์ความเร็วลมผิวพื้น ความเร็วลมที่ระดับสูงมาตรฐาน 10 เมตรเหนือพื้นดินในบริเวณที่โล่งแจ้ง

ลมสงบ CALM   ลมเงียบ ควันลอยขึ้นตรงๆ   มีความเร็วภาคพื้นดินน้อยกว่า 1 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วน้อยกว่า 1 Km./hr
ลมเบา   LIGHT AIR   ควันลอยตามลม แต่ศรลมไม่ทันไปตามทิศลม   มีความเร็วภาคพื้นดิน1-3 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว1-5 Km./hr
ลมอ่อน   LIGHT BREEZE   รู้สึกลมพัดที่ใบหน้า ใบไม้แกว่งไกว ศรลมหันไปตามทิศลม   มีความเร็วภาคพื้นดิน4-6 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว6-11 Km./hr
ลมโชย   GENTLE BREEZE   ใบไม้และกิ่งไม้เล็ก ๆ กระดิก ธงปลิว   มีความเร็วภาคพื้นดิน7-10 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว12-19 Km./hr
ลมปานกลาง   MODERATE BREEZE   มีฝุ่นตลบ กระดาษปลิว กิ่งไม้เล็กขยับเขยื้อน   มีความเร็วภาคพื้นดิน11-16 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว20-28 Km./hr
ลมแรง   FRESH BREEZE   ต้นไม้เล็กแกว่งไกวไปมา มีระลอกน้ำ   มีความเร็วภาคพื้นดิน17-21 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว29-38 Km./hr
ลมจัด   STRONG BREEZE   กิ่งไม้ใหญ่ขยับเขยื้อน ได้ยินเสียงหวีดหวิว ใช้ร่มลำบาก   มีความเร็วภาคพื้นดิน22-27   Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว39-49 Km./hr
พายุเกล อ่อน   GALE   ต้นไม้ใหญ่ทั้งต้นแกว่งไกว เดินทวนลมไม่สะดวก   มีความเร็วภาคพื้นดิน28-33 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว50-61 Km./hr
พายุเกล แรง   STRONG GALE   อาคารที่ไม่มั่นคงหักพัง หลังคาปลิว   มีความเร็วภาคพื้นดิน41-47   Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว75-88 Km./hr
พายุ   STORM   ต้นไม้ถอนรากล้ม เกิดความเสียหายมาก (ไม่ปรากฏบ่อยนัก)   มีความเร็วภาคพื้นดิน48-55   Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว89-102 Km./hr
พายุใหญ่   VIOLENT STORM   เกิดความเสียหายทั่วไป (ไม่ค่อยปรากฏ)   มีความเร็วภาคพื้นดิน56-63 Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว103-117 Km./hr
พายุไต้ฝุ่นหรือ เฮอร์ริเคน   TYPHOON or HURRICANE   เกิดความเสียหายทั่วไป (ไม่ค่อยปรากฏ)มีความเร็วภาคพื้นดินมากกว่า63   Knots   เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วมากกว่า117 Km./hr

เกณฑ์สถานะของทะเล
1.   ทะเลสงบ (Calm) ความสูงของคลื่น 0.0 เมตร ถึง 0.10 เมตร
2.   ทะเลเรียบ (Smooth) ความสูงของคลื่น 0.10 เมตร ถึง 0.50 เมตร
3.   ทะเลมีคลื่นเล็กน้อย (Slight) ความสูงของคลื่น 0.50 เมตร ถึง 1.25 เมตร
4.   ทะเลมีคลื่นปานกลาง (Moderate) ความสูงของคลื่น 1.25 ถึง 2.50 เมตร
5.   ทะเลมีคลื่นจัด (Rough) ความสูงของคลื่น 2.50 เมตร ถึง 4.00 เมตร
6.   ทะเลมีคลื่นจัดมาก (Very Rough) ความสูงของคลื่น 4.00 เมตร ถึง 6.00 เมตร
7.   ทะเลมีคลื่นใหญ่ (High) ความสูงของคลื่น 6.00 เมตร ถึง 9.00 เมตร
8.   ทะเลมีคลื่นใหญ่มาก (Very High) ความสูงของคลื่น 9.00 เมตร ถึง 14.00 เมตร
9.   ทะเลมีคลื่นใหญ่และจัดมาก (ทะเลบ้า – Phenomenal) ความสูงของคลื่นมากกว่า 14 เมตร

ยังมีต่อครับผม....



ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

 ส.อ่านหลังสือ ขออนุญาติท่านกิม น่ะครับ ต่อให้มันจบ ครับผม


บริเวณความกดอากาศสูง (High Pressure Area หรือ High) หรือแอนติไซโคลน (Anitcyclone)
    บริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลน คือ บริเวณที่มีความกดอากาศสูงกว่าบริเวณใกล้เคียงที่อยู่รอบๆ ในแผนที่อากาศผิวพื้น แสดงด้วยเส้นความกดอากาศเท่าเป็นวงกลมหรือเป็นวงรีรูปไข่ล้อมรอบ บริเวณที่มีความกดอากาศสูง นั่นคือบริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลน จะเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศสูงขึ้นจากขอบนอกเข้าสู่ศูนย์กลาง บริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลนนี้จะมีกระแสลมพัดออกจากศูนย์กลางในทิศทางตามเข็มนาฬิกาในซีกโลกเหนือ และทิศทางทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ การเคลื่อนไหวของอากาศรอบศูนย์กลางบริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลนเช่นนี้ เรียกว่าAnitcyclonic Circulation
    โดยทั่วไปในบริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลนลมอ่อนและลมมักสงบในบริเวณใกล้ศูนย์กลาง มีเมฆเพียงเล็กน้อย แต่อาจมีเมฆมากกับฝนได้ตามขอบของบริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโ๕ลนที่อยู่ใกล้กับแนวปะทะอากาศ
    ในซีกโลกเหนือทางตะวันออกของบริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโ๕ลน อากาศจะเย็นที่ผิวพื้นและเป็นลมฝ่ายเหนือพัดผ่าน เรียกบริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลนชนิดนี้ว่า Cold High ส่วนทางด้านตะวันตก อากาศจะค่อนข้างร้อนและเป็นลมฝายใต้พัดผ่าน เรียกบริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลนชนิดนี้ว่า Warm High บริเวณความกดอากาศสูงหรือแอนติไซโคลนชนิด Cold High แผ่ลงมาเมื่อไรอากาศจะหนาวเย็น ส่วน Warm High อากาศจะร้อนเนื่องจากลมพัดมาจากทางใต้ แม้ว่าจะมีความชื้นสูงแต่ไม่มีฝนตก จะทำให้อากาศร้อนอบอ้าว บางครั้งเรียกว่า คลื่นความร้อน (Heat Wave)

บริเวณความกดอากาศต่ำ ( Low Pressure Area หรือ Low )
    บริเวณความกดอากาศต่ำ คือ บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่าบริเวณใกล้เคียงที่อยู่รอบๆในแผนที่
อากาศผิวพื้นแสดงด้วยเส้นความกดอากาศเท่าเป็นวงกลมล้อมรอบบริเวณทีทมีความกดอากาศต่ำ นั่นคือ บริเวณความกดอากาศต่ำจะเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำลงจากขอบนอกเข้าสู่ศูนย์กลาง บริเวณความกดอากาศต่ำนี้จะมีกระแสลมพัดเข้าหาศูนย์กลางในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกเหนือ และในทิศทาง ตามเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ การเคลื่อนไหวของอากาศรอบศูนย์กลางบริเวณความกดอากาศต่ำเช่นนี้ เรียกว่า Cyclonic Circulation ตามปกติในบริเวณความกดอากาศต่ำจะมีเมฆมากและมีฝนตกด้วยบริเวณความกดอากาศต่ำ แบ่งออกได้ 2 ชนิด
        1.Cold Core ที่แกนกลางของความกดอากาศต่ำชนิดนี้ อุณหภูมิจะต่ำกว่าภายนอก และเกิดในแถบละติจูดสูงๆ ที่อากาศเย็น เมื่อเกิดขึ้นแล้วการหมุนเวียนจะต่อเนื่องกัน ความชันของความกดจะเพิ่มมากขึ้นตามความสูงซึ่งสัมพันธ์กับกระแสลม นั่นคือ บริเวณความกดอากาศต่ำชนิด Cold Core จะมีลมพัดแรงขึ้นตามความสูง และมักมีแนวปะทะอากาศขึ้นร่วมด้วยเสมอ
        2.Warm Core ที่แกนกลางของความกดอากาศต่ำชนิดนี้ อุณหภูมิจะร้อนกว่าภายนอก การหมุนเวียนจะเหมือนกับชนิด Cold Core และมีเฉพาะในเขตร้อนเท่านั้น เนื่องจากแกนกลางร้อน ฉะนั้นอากาศที่เย็นกว่าจะพัดเข้าแทนที่จมเข้าหาศูนย์กลาง ทำให้เกิดกระแสลมพัดเวียนเป็นก้นหอยเข้าหาศูนย์กลาง ขณะเดียวกันอากาศตรงกลางจะลอยตัวขึ้น ความชันของความกดตามระดับความสูงจะลดลง นั่นคือ ลมที่พัดเวียนเข้าหาศูนย์กลางรอบบริเวณความกดอากาศต่ำชนิด Warm Core ความเร็วลมจะลดลงตามความสูง พายุจะรุนแรงที่สุดที่ผิวพื้นเท่านั้น สูงขึ้นไปลมกำลังอ่อนลง
        บริเวณความกดอากาศต่ำทั้ง 2 ชนิด เกิดฝนตกหนักเท่าๆ กัน แต่ความเร็วลมจะต่างกัน
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ร่องความกดอากาศต่ำ (Intertropical Convergence Zone – ITCZ ) หรือ ร่องมรสุม (Monsoon Trough)
       ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมนี้ มีชี่อเรียกในภาษาอังกฤษหลายชื่อด้วยกัน เช่น Intertropical Convergence Zone , Equatorial Trough หรือ Monsoon Trough เป็นต้น เป็นโซนหรือแนวแคบๆ ที่ลมเทรดหรือลมค้าในเขตร้อนของทั้ง 2 ซีกโลกมาบรรจบกัน คือลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือของซีกโลกเหนือกับลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ของซีกโลกใต้
    ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสม มีลักษณะเป็นแนวพาดขวางในทิศตะวันออก-ตะวันตก ในร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ มีกระแสอากาศไหลขึ้น-ลงสลับกัน ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมจะอยู่ในเขตร้อนใกล้ๆ เส้นศูนย์สูตร และจะมีการเลื่อนข้น –ลงตามแนวโคจรของดวงอาทิตย์โดยจะล้าหลังประมาณ 1-2 เดือน ความกว้างของร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมประมาณ 6-8 องศาละติจูด เป็นบริเวณที่มีเมฆมากและฝนตกอย่างหนาแน่น ฉะนั้น เมื่อร่องนี้ประจำอยู่ที่ใดหรือผ่านที่ใดก็จะทำให้ที่นั้นฝนตกอย่างหนาแน่นได้
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

พายุฟ้าคะนอง (Thunderstorm)
    พายุฟ้าคะนอง บางครั้งเรียกว่า พายุไฟฟ้า (Electrical Storm) โดยทั่วไปเป็นพายุที่เกิดเฉพาะท้องถิ่นเกิดจกเมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus-Cb) มีฟ้าแลบ (Lightning) กับฟ้าร้อง (Thunder) รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้มักจะมีลมกระโชกแรงและฝนตกหนักเกิดขึ้น บางครั้งยังมีลูกเห็บตกลงมาด้วย พายุฟ้าคะนองนี้เป็นพายุที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น มีน้อยครั้งที่เกิดขึ้นนานกว่า 2 ชั่วโมง
    พายุฟ้าคะนองเป็นผลเนื่องมาจากในเขตร้อนอากาศมีความชื้นมากและมีอุณหภูมิสูงทำให้อากาศไม่มีเสถียรภาพ (Instability) หรือบรรยากาศมีอาการไม่ทรงตัว เกิดการผสมคลุกเคล้าจากล่างขึ้นข้างบนและจาก ข้างบนลงข้างล่าง ในชั้นแรกอากาศหรือบรรยากาศเกิดการไหลขึ้นอย่างรุนแรง (Strong Convective Updraft) และในขั้นต่อมาซึ่งเป็นขั้นการสลายตัว (Dissipating Stage) จะมีกระแสอากาศไหลลงอย่างรุนแรง (Strong Downdraft ) ภายในคอลัมน์ (ช่วง) ของฝนพายุฟ้าคะนองนี้บ่อยครั้งที่ก่อตัวได้สูงถึง 40,000 – 50,000 ฟุต ในบริเวณละติจูดกลางและสูงมากกว่านี้ในเขตร้อน บรรยากาศตอนล่างของชั้นสตราโตสเฟียร์ที่มีเสถียรภาพดีมาก (Great Stability) เท่านั้นที่สามารถยับยั้งการก่อตัวของพายุฟ้าคะนอง

มรสุม (Monsoon)
         มรสุม เป็นการหมุนเวียนส่วนหนึ่งของลมที่พัดตามฤดูกาล คือลมประจำฤดู เป็นลมแน่ทิศและสม่ำเสมอ คำว่า "มรสุม" หรือ Mosoon มาจากคำ Mausim ในภาษาอาหรับ แปลว่า "ฤดูกาล" (Season) ในครั้งแรกได้นำคำนี้มาใช้เรียกลมที่เกิดในทะเลอาหรับก่อน ในทิศตะวันออกเฉลียงเหนือเข้าสู่ทะเลอาหรับเป็นระยะเวลา 6 เดือน แล้วเลี่ยนกลับไปในทิศทางตรงข้าม คือ จากทะเลอาหรับเข้าสู่ภาคพื้นทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะเวลา 6 เดือน เช่นกัน ต่อมาได้นำคำนี้ไปเรียกลมที่มีลักษณะอย่างเดียวกันแต่เกิดขึ้นในส่วนอื่นของโลกด้วย
       มรสุม เกิดจากสาเหตุใหญ่ๆ คือเกิดขึ้นเนื่องจากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของพื้นดินและพื้นน้ำทำนองเดียวกับลมบกลมทะเล ในฤดูหนาวอุณหภูมิของดินภาคพื้นทวีปเย็นกว่าอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรที่อยู่ใกล้เคียง อากาศเหนือพื้นน้ำจึงมีอุณหภูมิสูงกว่าและลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน อากาศเหนือทวีปซึ่งเย็นกว่าไหลเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดเป็นลมพัดออกจากทวีป พอถึงฤดูร้อนอุณหภูมิของดินภาคพื้นทวีปร้อนกว่าน้ำในมหาสมุทร เป็นเหตุให้เกิดลมพัดไปในทิศทางตรงกันข้าม
       มรสุมหรือลมประจำฤดูที่มีกำลังแรงจัดที่สุด ได้แก่มรสุมที่เกิดในบริเวณภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย อันเป็นที่ตั้งของประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว ไทย มาเลเซีย พม่า บังคลาเทศ อินเดีย และปากีสถาน โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตอิทธิพลของมรสุมลมตะวันตกเฉียงใต้เริ่มต้นพัดเข้าสู่ภาคกลางของประเทศประมาณกลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงต้นเดือนตุลาคมซึ่งเป็นระยะของฤดูฝน ต่อจากนั้นลมจะแปรปรวนและเริ่มเปลี่ยนทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระยะเวลาของฤดูหนาว


พายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone)
        เป็นคำทั่วๆ ไปที่ใช้เรียกพายุหมุนหรือพายุไซโคลน (Cyclone) ที่มีถิ่นกำเนิดเหนือมหาสมุทรในเขตร้อนแถบละติจูดต่ำ บริเวณที่พายุหมุนปกคลุมแคบกว่าบริเวณพายุหมุนในเขตอบอุ่น พายุดังกล่าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่เจริญเติบโตเต็มที่จะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดชนิดหนึ่งในบรรดาพายุที่เกิดขึ้นในโลก มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ใหญ่นักประมาณตั้งแต่ 100 กิโลเมตรขึ้นไป เกิดขึ้นพร้อมกับลมที่พัดรุนแรงมาก ระบบการหมุนเวียนของลมเป็นไปโดยพัดเวียนเป็นวงทวนเข็มนาฬิกา (Cyclonically) ในซีกโลกเหนือ ส่วนทางซีกโลกใต้พัดเวียนตามเข็มนาฬิกาเข้าสู่ศูนย์กลาง ยิ่งใกล้ศูนย์กลางลมจะหมุนเกือบเป็นวงกลมและมีความเร็วสูงที่สุด ลมที่ใกล้ศูนย์กลางมีความเร็วตั้งแต่ 117 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ( 64 นอต) ขึ้นไป บางครั้งมีความเร็วลมเกินกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (175 นอต) ความกดอากาศต่ำสุดที่บริเวณศูนย์กลางพายุโดยทั่วไปต่ำกว่า 1,00 มิลลิบาร์ มีความชันของความกดอากาศ (Pressure Gradient ) และความเร็วลมแรงกว่าพายุหมุนนอกเขตร้อน (Extratropical Storm) มีลักษณะอากาศร้ายติดตามมาด้วย เช่นฝนตกหนักมากกว่าฝนปกติธรรมดาที่เกิดในเขตร้อนมาก บางครั้งมีพายุฟ้าคะนองเกิดขึ้นด้วย ฝนและเมฆมีลักษณะไม่เหมือนกันนักในพายุแต่ละลูกส่วนใหญ่จะเห็นเป็นแนวโค้งหมุนเข้าหาศูนย์กลางหรือตาพายุ มีเมฆประเภทคิวมูลัส (Cumulus) และคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) ที่มีฝนอยู่ด้วย เกิดคลื่นสูงใหญ่ในทะเลและน้ำขึ้นสูง

        ตรงบริเวณศูนย์กลางพายุมีลักษณะคล้ายกับมีตาเป็นวงกลมอยู่มองเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายจากดาวเทียมเรียกว่า "ตาพายุ" (Eye) เป็นบริเวณเล็กๆ เส้นผ่าศูนย์กลางของตาพายุเพียงเป็นสิบๆ กิโลเมตรเท่านั้น (ประมาณ 15-60 กิโลเมตร) ภายในตาพายุนี้เป็นบริเวณที่มีอากาศแจ่มใส มีเมฆบ้างเล็กน้อยเท่านั้นและมีลมพัดอ่อน
พายุหมุนเขตร้อนนี้เกิดขึ้นหลายแห่งโลก โดยทั่วไปเกิดทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรในเขตร้อนบริเวรใกล้ศูนย์สูตร (ยกเว้นมหาสมุทรแอตแลนติกใต้และทางด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกใต้) เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก ทำความเสียหายให้แก่ทวีปต่างๆ ทางด้านตะวันออก พายุหมุนเขตร้อนนี้มีชื่อเรียกต่างๆ กันแล้วแต่ละท้องถิ่นที่เกิด เช่น
    ถ้าเกิดในบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกและในทะเลจีนใต้ เรียกชื่อว่า "พายุไต้ฝุ่น (Typhoon) "
    ถ้าเกิดในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทะเลคาริบเบียนและในอ่าวเม็กซิโก เรียกชื่อว่า "พายุเฮอร์ริเคน (Hurricane) "
    ถ้าเกิดในอ่าวเบงกอลและทะเลอาราเบียนในมหาสมุทรอินเดีย เรียกชื่อว่า "พายุไซโคลน ( Cyclone)
    และถ้าเกิดในทวีปออสเตรเลีย เรียกว่า "วิลลี่-วิลลี่ (Willy-willy)"
    หรือมีชื่อเรียกไปต่างๆกันถ้าเกิดในบริเวณอื่น

ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ได้จัดแบ่งชั้นของพายุหมุนเขตร้อนตามความรุนแรงของพายุได้เป็น 3 ชั้นดังนี้

1.   ดีเปรสชันเขตร้อน (Tropical Depression) มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางน้อยกว่า 34 นอต( 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
2.   พายุโซนร้อน (Tropical Storm) มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 34 ถึง 64 นอต(63 ถึง 117 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
3.   พายุไต้ฝุ่น หรือ เฮอร์ริเคน (Typhoon or Hurricane) มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 65 นอต หรือมากกว่า หรือ ตั้งแต่ 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นไป

จบแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
ที่มา กระดานข่าว กรมอุตุนิยมวิทยา ครับผม  ส.ตากุลิบกุลิบ

ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ติดตาม

  ไม่รู้ ..ก็..ได้รู้ ...

  รู้แล้ว...ก็..รู้ชัดขึ้น
ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้

ฅนเกาะเสือ

ขอบพระคุณมากมายครับสำหรับความรู้ครั้งนี้ครับ หูตาสว่างขึ้นมามากจะได้เก็บไว้วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆได้ดียิ่งขึ้นครับ

รู้ไว้ใช่ว่า....ใส่บ่าแบกหาม
แม้ ความรู้อันน้อยนิด อาจช่วยชีวิต คนเป็น ร้อย