ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เด็กเรียนรู้ไม่เท่ากัน แนะฟอร์แมทสมองเสริมพัฒนาการ

เริ่มโดย หาดใหญ่ใหม่, 14:50 น. 02 ก.ย 58

หาดใหญ่ใหม่

เด็กเรียนรู้ไม่เท่ากัน แนะฟอร์แมทสมองเสริมพัฒนาการ
โดย Prawpan Suriwong|http://www.thaihealth.or.th/


แพทย์เผย เด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่างที่คิดการรับรู้ของเด็ก เปรียบสมองเหมือนนิ้ว แนะพักผ่อนให้เพียงพอเพิ่มศักยภาพสมองเด็กเรียนรู้ไม่เท่ากัน แนะฟอร์แมทสมองเสริมพัฒนาการ

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนา เด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และอนุกรรมการขับเคลื่อนงานจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์และสัตว์ไม่ว่าจะเป็นผลของการพัฒนานวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง การทำ สงคราม และอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากประดิษฐกรรมของสมอง ดังนั้นสมองจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาทั้งซีกซ้ายที่เป็นเรื่องของศาสตร์ เน้นทักษะรู้คิด และซีกขวาเป็นเรื่องของศิลป์ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึก หากสามารถผนวกทักษะรู้คิดและมีจิตสำนึกทั้งต่อตัวเองและสังคมแล้วแสดงว่าสมองได้รับการพัฒนาอย่างเต็ม ศักยภาพสังคมก็จะมีแต่ความสงบสุขประเทศชาติก็จะพัฒนา

ซึ่งไม่ว่า จะเป็นคนหรือสัตว์ ก็มีสมองด้วยกันทั้งสิ้น โดยเปรียบสมองดั่งมือ และนิ้วทั้งห้า และให้นิ้วโป้งเป็นส่วนของความต้องการ ซึ่งเน้นอารมณ์ และความรู้สึก อยากได้ อยากมี อยากเป็น ส่วนอีก 4 นิ้วคือ สมองส่วนคิด ทั้งสี่นิ้วจะคอยกดนิ้วโป้งหรือส่วนอยากเอาไว้ เปรียบเหมือนเบรกให้เกิดสมดุลของชีวิต ซึ่งสัตว์ส่วนใหญ่จะมีสมองเฉพาะ ส่วนอยากเท่านั้น แต่มนุษย์จะมีส่วนคิดเข้ามาควบคุม อยู่ที่ว่าใครจะ มีศักยภาพในการนำมาควบคุมได้มากกว่ากัน

ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวต่อไปว่า หลายคนมักเปรียบเด็กเป็นผ้าขาว ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรา สอนเด็กเหมือนๆ กัน ให้ความรักความอบอุ่นเท่าเทียมกัน เด็กทุกคน ก็น่าที่จะมีทักษะความสามารถคล้ายคลึงกัน เป็นเด็กที่ได้รับความอบอุ่นเท่าๆ กัน ปัญหาสังคมเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ตามหลักการของ BBL แล้วเด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เพราะการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน และแต่ละช่วงวัยการรับรู้ก็ต่างกัน เด็กวัย 0-3 ขวบเป็นวัยที่ไม่สามารถแยกออกจากพ่อแม่และคนเลี้ยงดูได้ เด็กวัย 3 ขวบ สามารถบูรณาการเป็นเรื่องราวได้แต่ยังอยู่ใน วงแคบไม่ห่างไกลจากชีวิตมากนัก ในขณะที่วัยรุ่น เป็นวัยที่ต้องการ สิ่งท้าทายประลองพลังต้องการแสดงความคิดเห็นเป็นวัยที่เราไม่ควรปิดกั้นศักยภาพในความคิดและการแสดงออก

นพ.สุริยเดว กล่าวด้วยว่า จากเดิมที่เคยวางกรอบแนวคิดแบบ "บวร" หรือ บ้าน วัด โรงเรียน เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา ศักยภาพของเด็ก แต่ปัจจุบันอาจต้องปรับเป็น "บชร" คือ บ้าน ชุมชน โรงเรียน ซึ่งน้ำหนักยังคงให้เป็นในระดับครอบครัวเป็นด่านแรก หากเปรียบชีวิตเหมือนถนน ซึ่งอาจมีทั้งเรียบ และขรุขระ บางพื้นที่ เป็นถนนลูกรัง การพัฒนาสองอย่างเต็มศักยภาพ โดยใช้ทักษะ รู้คิด และจิตสำนึก ในการจัดการกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ซึ่งเปรียบเสมือน มีทั้งคันเร่ง และทั้งเบรก ก็จะทำให้เด็กสามารถผ่านถนนในทุกรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม สมองจะมีศักยภาพได้นั้น ต้องได้รับการฟอร์แมทอยู่เสมอ ซึ่งหมายถึงการนอนอย่างเต็มที่ โดยให้ร่างกายได้พักผ่อน ซึ่งในระหว่างที่ร่างกายพักผ่อนอยู่นั้นสมองจะมีเวลาที่จะจัดการฟอร์แมทเรียบเรียงข้อมูลเพื่อนำออกไป ใช้แต่เฉพาะที่ดีและจำเป็น ในไหนใช้บ่อยก็จะอยู่ในส่วนหน้า ส่วนที่ นานๆ ใช้ก็จะถูกเก็บอยู่ในถัง แต่หากไม่ได้ใช้อีกแล้วก็จะถูกลบทิ้งไปโดยอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้เกิดการล้นของข้อมูล


ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
หาดใหญ่ใหม่ www.facebook.com/hatyaimai
เมืองหลวงภาคใต้ หลากหลายเรื่องราว บอกเล่าแบ่งปัน