ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

บุญมา วาสนาไม่ถึง

เริ่มโดย คุณหลวง, 11:10 น. 12 พ.ย 54

คุณหลวง

    สะบายดี...

    เรื่องนี้ ไม่เป็นการตำหนินะครับ เพียงแต่ฤดูกาลทอดกฐินที่ผ่านๆมา ผมอ่านใบฎีกาแล้วอดถอนใจไม่ได้ เพราะว่าทุกวัดล้วนต้องการนำเงินสร้าง สร้าง และสร้างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่รู้จักจบสิ้น

    ไม่ใช่ว่าสนับสนุนไม่ให้สร้าง แต่สนับสนุนให้สร้างแต่พอควร รบกวนชาวบ้านให้น้อยที่สุด ไม่สนับสนุนการสร้างใหญ่ๆโตๆเพื่ออวดบารมี แต่สร้างด้วยเล็งประโยชน์ที่จะเกิดได้จากสิ่งก่อสร้างนั้นจริงๆและจำเป็น พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้สร้างวัตถุมากอย่างนั้น ท่านเอาประโยชน์ในการดับทุกข์หรอกครับ ส่วนการสร้างนั้น ชาวบ้านที่เห็นประโยชน์เขาจะสร้างกันเองครับ

    ผมเคยไปพักที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลวงน้าสุขเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น ที่สำนักนั้นมีโบสถ์ที่คณะสงฆ์สมมติขึ้นเพื่อใช้ในกิจสงฆ์ สร้างง่ายๆด้วยเสา ๔ ต้น ไม้กระดานไม่กี่แผ่นและกระเบื้องไม่ถึง ๒๐ แผ่น เป็นโบสถ์ที่สมมติใช้มาหลายปี(ไม่ได้รับพัทธสีมาเพราะยังเป็นสำนักสงฆ์ แต่ใช้ทำกิจสงฆ์ได้ตามพระบรมพุทธานุญาต)

    อยู่มาหลายปี บุญพาวาสนาส่ง จู่ๆเลขานุการเจ้าคณะอำเภอ เข้ามาหาท่าน และแจ้งว่า มติทางอำเภอจะแยกการปกครองย่อยลงมาอีกตำบลหนึ่งเพื่อความสะดวกในการดูแล เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ วัดไกลกันมาก เจ้าคณะตำบลเดิมดูแลไม่ทั่ว เลยแยกตรงนั้นออกเป็นตำบลหนึ่ง โดยจะให้หลวงน้าสุขเป็นเจ้าคณะตำบล ดูแล ๔-๕ วัดละแวกนั้น

    โดยทางเจ้าคณะอำเภอจะดำเนินการเรื่องการขออนุญาตตั้งวัดให้ เพราะที่ตรงนั้นยังเป็นที่ของกรมป่าไม้ ที่กรมป่าไม้ยังไม่ยอมยกให้เป็นสมบัติศาสนา ทั้งๆที่การมีสำนักสงฆ์ทำให้พื้นที่ป่าตรงนั้นเหลืออยู่ได้อย่างสมบูรณ์ รอบๆนั้นเป็นสวนปาล์มแล้วทั้งสิ้น (กรมป่าไม้ดูแลป่าได้ดีจริงๆ-ฮา)

     ซึ่งหากทางคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ทำเรื่องให้ก็ง่ายเพียงดุจพลิกฝ่ามือ(คนมือดีนะครับ) และที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งและเป็นข้อแม้ต่อการเป็นเจ้าคณะตำบล ก็คือ ทางหลวงน้าสุขจะต้องจัดสร้างโบสถ์ขึ้นมา หากต้องการแบบก็มีอยู่แล้วทางคณะอำเภอจะส่งให้ ราคาประมาณ ๑๐ ล้านบาท

    "โบสถ์ผมมีอยู่แล้ว" หลวงน้าสุขบอก
    "ไหนล่ะท่าน" เลขาฯถาม หลวงน้าสุขชี้ให้ดู
    "โอ้ย....ท่าน ไม่ได้หรอกโบสถ์อย่างนั้น"
    "ทำไม"
    "มันไม่สมฐานะ ไม่สมหน้าตา" เลขาตอบเสียงดังฟังชัด

    "พระเรามีฐานะอะไรหรือท่าน" หลวงน้าสุขถาม และอธิบายต่อไปว่า "พระเราต้องเป็นนักบวชของพระพุทธเจ้า เรามีอะไรที่ไม่สมหน้าตาฐานะของเราอีกล่ะ พระพุทธเจ้าท่านอยู่อย่างไร ท่านอยู่บนดิน ท่านใช้โบสถ์บนดิน บนลานดิน ฝนตกหรือภัยมาก็ยกสังฆกรรมกันก่อน แล้วเรามีฐานะหน้าตาอันใดเหนือกว่าพระพุทธองค์ ถึงได้ต้องทำโบสถ์ที่ต้องรบกวนชาวบ้านขนาดนั้น อย่างของผมก็เลิศกว่าโบสถ์ของพระองค์เท่าไหร่แล้ว เราไม่ต้องนั่งบนดิน

    เราบวช อย่าเอาอะไรที่มันเหมือนชาวบ้านสิ เราบวชอุทิศพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ หรือว่าบวชอุทิศชาวบ้าน อย่าตามโลกจนลืมพระพุทธเจ้าเลย"

    ท่านเลขาฯลากลับทันที หลังจากที่ท่านหลวงน้าสุขอธิบายเรื่องโบสถ์ที่แท้จริงจบ ความจริงท่านคงไม่อยากฟังหรอก แต่เกรงใจ ซ้ำยังไม่อาจโต้แย้งหลวงน้าได้

    "บุญกูมา แต่วาสนากูไม่มี คุณคอยดูสิว่าผมไม่ได้เป็นหรอก" ท่านบอกกับผมแล้วหัวเราะ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

เพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมือง เข้าวัดในเมืองถึงไม่ค่อยจะได้เจอพระที่เป็นพระ ติดตามอ่านบทความของคุณหลวงอยู่เสมอ ทำให้มีมุมมองในทางพุทธที่กว้างขึ้น ขอบคุณครับ
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

Mr.No


จะว่าไป... ความมืดบอดของมนุษย์ มันครอบคลุมได้ทุกคน ทุกที่ ไม่เว้นแม้ ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีหน้าที่ในการเผยแพร่พุทธศาสนาที่ถูกต้อง ก็ยังเป็นเสียเอง... ส.อืม

อย่างที่คุณหลวงว่านั่นละครับ... ทุกวันนี้ วัดใด...สำนักใด ไม่เร่งสร้างวัตถุ ไม่แข่งขันกันสร้างโบสถ์ วิหารให้ยิ่งใหญ่งดงามราวกับตำหนักราชวัง ยิ่งเป็นเสมือนไม่ได้ทำหน้าที่ ให้สมกับตำแหน่งที่ได้รับ....

สมัยก่อน... การปรากฏโบสถ์ วิหารให้ยิ่งใหญ่ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึง "ความศรัทธา" ในพระพุทธศาสนาที่ฝ่ายฆราวาสมีต่อศาสนา มิได้เกิดจาก การเรียกเอา...หรือ อยากมี อยากเป็น จากฝ่ายสงฆ์ แบบทุกวันนี้

ความเจริญทางศาสนาผ่านโบสถ์วิหารใหญ่โตวันนี้ จึงเป็นประเพณีที่ผิดเพี้ยน เพราะเป็นการ "ค้าบุญ" ไปในที่สุด

ทุกวันนี้...ผมไม่ค่อยสบายใจ เพราะจากที่เค้าประกาศกันปาว ๆ ว่า ทุกคนควรจะมีพระประจำตัว ไว้เพื่อเป็นหลักประกันบุญ ไว้ค้ำจุนภพชาติ...ดังนั้น ถ้าไม่ขวนขวายหาเงินมาสร้าง...ชาตินี้ ชาติไหน คงไม่มีปัจจัยไปอยู่สวรรค์ชั้นคอนโด แบบคนอื่น.. 

อ่านที่คุณหลวงเขียน.... ผมนึกถึง บางเสี้ยวของชีวิต หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระปฏิบัติบ้านนอก ที่มีผู้บันทึกว่า ..

...คราวหนึ่งหลวงปู่ได้รับอาราธนาให้เทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งท่านเจ้าคุณรูปนั้นเห็นหลวงปู่บุดดาเป็นพระบ้านนอก คงไม่มีความรู้ด้านปริยัติธรรมมากเท่าใด จึงถามหลวงปู่ทำนองหยั่งเชิงว่า "จะเทศน์เรื่องอะไร?"

หลวงปู่บุดดาตอบว่า "เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา" ท่านเจ้าคุณก็ถามลองภูมิต่อว่า "ตัวโกรธเป็นอย่างไร?"

"ส้นตีนไงล่ะ!" หลวงปู่ตอบ เท่านั้นแหละ ท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงและไม่ยอมเทศน์คู่กับหลวงปู่ หลวงปู่ต้องขึ้นเทศน์รูปเดียวเมื่อเทศน์จบแล้ว ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณรูปนั้น แล้วอธิบายให้ท่านเจ้าคุณรู้ว่า "ตัวโกรธ" เป็นอย่างนี้เอง...  ส.หัว ส.หัว
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คุณหลวง

    สะบายดี...

    ขอบคุณพี่คนค้าแก้วครับ ความจริงพระในเมืองใช่จะแย่หมดหรอกครับ มีบางรูปหรือหลายรูปเช่นกันที่สามารถปรับระบบชีวิตในธรรมให้อยู่กับความเหลวไหลยั่วยุในเมืองได้ พิจารณาดูเถอะครับ บางทีเราอาจจะไม่ได้มองให้นานๆเท่านั้นเอง และอย่ามองเพียงวินัยเลยครับ มองดูใจ นิสัยของท่านดีกว่า

    อย่างผมเคยไม่ชอบหลวงตาเจ้าอาวาสวัดที่ผมบวชคราวแรก คือ หลวงตาบุญช่วย ฐานุตตโร วัดถ้ำเขาพระ เพราะว่ารังเกียจที่ท่านไม่ถือวินัยเคร่งครัด พอพบพระที่เคร่งครัดก็นับถือ แต่พออยู่นานเข้า ก็เห็นว่าธรรมนั้น บางทีไม่ใช่วินัยครับ หลวงตาช่วยไม่เคยถือตน ไม่รังเกียจคน แม้กับสัตว์เล็กสัตว์น้อยท่านก็ให้ความสำคัญไม่รังแก

    ทุกวันนี้ผมเคารพท่านมากที่สุดอีกรูปหนึ่งครับ

    เรื่องพระหลงใหลในการก่อสร้างนั้นมีมานานครับ ตั้งแต่ครั้งพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ท่านเลยกำหนดมาตรฐานการก่อสร้างกุฏิไว้เป็นตัวอย่าง แต่สมัยนั้นมีแต่โบสถ์บนลานดิน เลยไม่มีบัญญัติเกี่ยวกับการสร้างโบสถ์ที่เกินความจำเป็น หรือโรงอะไรก็ตาม แต่หากความจำเป็นตามยุค ตามสถานที่ก็ต้องเข้าใจครับ อย่าเหมารวมเลย เช่น โรงเลี้ยง โรงครัว โรงธรรม เพียงอย่าสร้างจนรบกวนชาวบ้านมากไปเท่านั้น แม้ชาวบ้านเต็มใจ แต่ไม่เหมาะกับเพศสมณะเท่าไหร่

    ก็ต้องเลือกทำบ้างครับ และตั้งเจตนาตนให้ชัดว่าทำเพื่อประโยชน์พระศาสนา อย่าขัดใจกับเจตนาของคนอื่น ปล่อยช่างๆมันเสียบ้าง เราห้ามโลกไม่ได้หรอก ทำได้แค่เรียนรู้มัน และต้องเข้าใจมัน เพื่อจะได้อยู่อย่างมีความสุข

    ไม่ต่างกับการอยู่กับเมียหรอกครับ มีขัดใจ ไม่ตรงนิสัย ไม่เข้าท่าบ้างก็วางๆเสียมั่ง อย่าถือมาก ทุกข์กันเปล่าๆ(ฮา)

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 09:23 น.  13 พ.ย 54
ทุกวันนี้...ผมไม่ค่อยสบายใจ เพราะจากที่เค้าประกาศกันปาว ๆ ว่า ทุกคนควรจะมีพระประจำตัว ไว้เพื่อเป็นหลักประกันบุญ ไว้ค้ำจุนภพชาติ...ดังนั้น ถ้าไม่ขวนขวายหาเงินมาสร้าง...ชาตินี้ ชาติไหน คงไม่มีปัจจัยไปอยู่สวรรค์ชั้นคอนโด แบบคนอื่น.. 

    ส่วนที่พี่มิสเตอร์โนไม่ค่อยสบายใจน่ะ อย่าคิดมากครับ จะสร้างพระค้ำจุนภพชาติทำไมกัน หากสร้างก็ตั้งเจตนาเพื่อประโยชน์ศาสนาเถอะครับ อย่าบ้าภพชาติตามเขาว่า พวกนี้มันหลงในการเกิดไม่รู้จบ มันเลยต้องสร้างหลักประกันไว้ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะประกันได้จริงหรือเปล่า

    พระพุทธเจ้าท่านไม่สนับสนุนให้คนสร้างภพเสริมชาติต่อไปไม่รู้จบนะครับ ท่านกลับต้องการให้เราละภพชาติเสีย เพื่อความพ้นทุกข์ และการละภพชาติเพื่อความพ้นทุกข์นั้น มิต้องใช้วัตถุแม้เพียงปลายเล็บก็ได้ครับ แถมกลับจะได้มากกว่าเสียอีก

    อย่างสมมติว่า กรุงเทพฯเป็นนิพพานนะครับ การที่เราตั้งใจไปกรุงเทพฯ พวกพัทลุง นครฯ สุราษฎร์ฯ ชุมพร ฯลฯ ก็เป็นสวรรค์หรือพรหม แม้เราจะมุ่งกรุงเทพฯอย่างเดียว แต่เราต้องผ่านพวกนี้นะครับ เมื่อไปไม่ถึง เราต้องถึงที่ไหนสักที่อยู่ดี ไม่ว่าสวรรค์หรือพรหม หากไม่หลงก็ไม่ลงมายะลาแน่นอน

    ส่วนพวกที่หลงใหลในสวรรค์สมบัติ ราชาสมบัติ อะไรต่อมิอะไรนั่นก็เท่ากับวนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละครับ ไม่เข้าถึงกรุงเทพฯสักที และธรรมดาเมื่อวนมากเข้าๆมันก็ต้องตกนรกมั่งสิน่า

    เป็นกำลังใจให้ครับ แต่หากวันไหน พี่ไปเจอ หรือเกิดมีญาณทิพย์เห็นผมตกนรกอยู่ก็อย่าว่ากันนะพี่นะ แผ่ส่วนกุศลให้บ้างก็ยังดี(ฮา)
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

คุณหลวงครับผมขอรบกวนถามนิดนะครับ เอาแบบว่าคนไม่รู้อะไรจริงๆ ตัวผมเริ่มสวดมนต์ตามหนังสือที่เค้าพิมพ์แจกมาหลายปีแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไปถึงไหน คือในเวลาที่เราท่องสวดมันมักจะมีจิตวอกแวกคือปากก็ท่องไปแต่ใจมันไถลไปทางอื่น บางครั้งดึงกลับมาสักพักก็ไปอีกนี่เรียกว่าผมบาปหนาเกินไปรึเปล่าครับ แม้แต่เคยไปหัดนั่งสมาธิมีเพื่อนไปด้วย กลับออกมาเพื่อนๆคุยว่าเห็นแสงอย่างโน้นอย่างนี้ไอ้ตัวผมไม่เห็นอะไรเลย สมองมันคิดนั่นคิดนี่ตลอด ผมควรทำอย่างไรดีครับ รบกวนอยากรู้จริงๆครับ
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

ธรรมะใจ

คุณคนค้าแก้ว  ลองดูที่นี่สิครับ เผื่อจะได้ผล

ชื่อสถานที่: สวนธรรมสากล
ที่ตั้ง : เลขที่ 204/22 ถ. เพชรเกษม ซอย 41 หมู่ที่ 1
ต. ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110
หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้สะดวก : 089-2972219
หมายเลขโทรศัพท์อื่นๆ : 074-255-668
จุดประสงค์การจัดอบรม

สวนธรรมสากลและมูลนิธิสู่ธรรมชาติ ได้จัดให้มีการอบรมสติภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน 4 แก่บุคคลทั่วไป เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะนำไปใช้ในการศึกษา เรียนรู้ เฝ้าดุชีวิตด้านใน (กลไกและการทำงานของจิตใจ) จนเกิดปัญญารู้แจ้งรู้เห็นจริงตามความเป็นจริงในเรื่องราวของชีวิตมนุษย์รอบด้าน

การทำจิตภาวนาประยุกต์ร่วมกับการบริหารกาย เช่น การเดินจงกรม โยคะ ไทเก็ก และการรู้จักเลือกบริโภคอาหารธรรมชาติที่ถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาวะทางกายและจิต อาหารที่ผิดธรรมชาติจะส่งผลต่อร่างกาย จิตใจและอารมณ์ การภาวนาที่ถูกต้องจะต้องรู้จักดำเนินชีวิตซึ่งประกอบด้วยกายและจิตใจที่สมดุลย์ กลมกลืนกับธรรมชาติ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม

รูปแบบการจัดอบรม : การเจริญสติรู้การเคลื่อนไหวของกาย ตามหลักสติปัฏฐาน 4" แนวของ "หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

การปฏิบัติตน :

เน้นสติสัมปชัญญะในอิริยาบถต่างๆ มีรูปแบบของการเดินจงกรม การทำจังหวะมือ และการทำวัตรสวดมนต์ เป็นต้น โดยต้องทำความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ไม่เผลอหลับ ซึ่งจะได้ผลดีมากสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใหม่


คุณหลวง

    สะบายดี...

    ขอบคุณคุณธรรมะใจครับ ที่ช่วยเพิ่มช่องทาง และขอรบกวนท่านอื่นๆด้วยนะครับ หากมีความรู้ หรือสามารถแนะนำเพิ่มเติม เพราะว่าความหลากหลายจะทำให้คนที่สงสัยหรือต้องการคำตอบ ต้องการฝึกมีแนวทาง หรือค้นพบแนวทางที่ตนถนัดได้

อ้างจาก: คนค้าแก้ว เมื่อ 21:07 น.  14 พ.ย 54
คุณหลวงครับผมขอรบกวนถามนิดนะครับ เอาแบบว่าคนไม่รู้อะไรจริงๆ ตัวผมเริ่มสวดมนต์ตามหนังสือที่เค้าพิมพ์แจกมาหลายปีแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไปถึงไหน คือในเวลาที่เราท่องสวดมันมักจะมีจิตวอกแวกคือปากก็ท่องไปแต่ใจมันไถลไปทางอื่น บางครั้งดึงกลับมาสักพักก็ไปอีกนี่เรียกว่าผมบาปหนาเกินไปรึเปล่าครับ แม้แต่เคยไปหัดนั่งสมาธิมีเพื่อนไปด้วย กลับออกมาเพื่อนๆคุยว่าเห็นแสงอย่างโน้นอย่างนี้ไอ้ตัวผมไม่เห็นอะไรเลย สมองมันคิดนั่นคิดนี่ตลอด ผมควรทำอย่างไรดีครับ รบกวนอยากรู้จริงๆครับ

    ความจริง ผมไม่ใช่คนที่มีความสามารถมากหรอกครับ แค่คนอวดรู้ประมาณนั้นเอง และแนวทางของผมบางทีก็ไม่ตรงกับจริตของคนอื่นๆ ดังนั้น พี่คนค้าแก้วครับ ผมจะพูดถึง วิธีการของผมก็แล้วกันนะครับ และหากสงสัยก็พูดคุยกันได้ ในหน้านี้ ผมว่ามีท่านที่สามารถให้ความรู้เราได้อีกมากครับ ผมเองก็กำลังศึกษาอยู่เช่นกัน

    การวอกแวกของจิตเวลาที่ทำอะไรก็ตาม เป็นเรื่องปกติของจิตที่ยังอยู่ในอำนาจของสังขารครับ(การปรุงแต่ง) ดังนั้น มิใช่เรื่องบาปหนาหรืออะไรทั้งสิ้น เป็นธรรมดาของจิตเท่านั้นเอง ส่วนการนั่งสมาธิแล้วไม่เห็นอะไรก็เช่นกัน เป็นธรรมดาของจิตที่สั่งสมความรู้ ประสบการณ์ แนวทางที่ต่างกันของแต่ละคน และการที่จิตนิ่งพอหรือไม่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

    ก่อนอื่นพี่ต้องเข้าใจนะครับว่า จิตของสัตว์ทั้งหลายนั้น ว่องไว รวดเร็วยิ่งกว่าอะไรหมด สามารถรับเอาผัสสะทั้งหก (ตา-รูป หู-เสียง จมูก-กลิ่น ลิ้น-รส กาย-สัมผัส ใจ-อารมณ์)มาปรุงแต่งได้ตลอดเวลา ดังนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝน หรือฝึกฝนยังไม่มากพอจะวอกแวกไปในทุกขณะที่มีผัสสะกระทบ

    ดังนั้น เมื่อเราสวดมนต์แล้วมันวอกแวกไปนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนธรรมดาสวดแล้วไม่วอกแวกนั่นแหละครับแปลก ดังนั้น เมื่อรู้ว่ามันวอกแวกไปก็ช่างมัน เราก็สวดต่อ มันเฉไปอีกก็รู้อีก ก็สวดต่อ อย่าสนใจมัน แค่รู้ว่ามันมาพาเราไปอีกแล้ว ก็บอกว่าเราไม่ไป "กูจะสวดมนต์"ว่างั้น ก็ทำไปเรื่อยๆครับ อย่าท้อ มันจะดีขึ้นมาเอง เมื่อใจเรารู้ทันอารมณ์มากขึ้น อารมณ์ก็จะไม่กล้ามากระทบเรา คือมากระทบน้อยลง เพราะเรารู้ทันมัน มันก็หยุด

    ก็เหมือนเด็กจ้องลักของเวลาเราเผลอแหละครับ หากเราไม่รู้มันก็ลักของเราไปเรื่อย แต่หากเรารู้ทัน หันมองมัน มันก็ชะงัก และถอยไปก่อน(เค้าเห็นเว้ย) การปรุงแต่งของใจก็เช่นกัน มันจ้องที่จะเอาความบริสุทธิ์ของใจเราอยู่ทุกขณะที่เราเผลอ เมื่อเรารู้ทันมันก็หยุด ดังนั้น การที่พี่รู้ว่าตัวเองวอกแวกไปเสมอนั้นเป็นการเริ่มต้นที่ถูกแล้วครับ ขั้นต่อไปก็คือรู้ให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง เมื่ออารมณ์มาก็รู้และวางมันอย่าสนใจ สวดมนต์ต่อไป เมื่อมาอีกก็รู้ วาง สวดต่อไป บางครั้งเผลอตามมันไปบ้างก็ช่างมัน รู้ตอนไหนกลับมาตอนนั้น อย่าจริงจัง จนทำให้ตัวเองเครียด

    เพราะความจริงจังนี่เองที่ทำให้หลายคนชะงักการปฏิบัติ ไม่ได้ดั่งใจก็ท้อ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่สิ่งที่เราจะคาดหวังได้ว่าวันนี้เราต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันจะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกำลัง การคาดหวังจึงเป็นการสร้างความเครียดให้ตนเอง และจะทำไม่ได้ในที่สุดก็ท้อถอยไป หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ท่านจึงว่า "ทำเล่นๆอย่างจริงจัง" คือทำไปเรื่อยๆ เหมือนเราเล่นอย่างนั้นแหละ แต่ไม่หยุดทำ  แต่อย่าทำจริงจังอย่างเล่นๆ

    การฝึกสวดมนต์อย่างรู้ใจไปด้วยนี้ ส่งเสริมทั้งสองทาง คือ สมาธิ และ วิปัสสนา คือ กำลังของจิตเพิ่มขึ้น และละทุกข์ไปด้วยในตัว เพราะทุกข์เกิดจากการที่เราไม่รู้เท่าทันอาการเกิด(อารมณ์)ของใจ หรือไม่รู้เท่าอาการตึดยึดของใจนั่นเอง

    แต่อย่างหนึ่งที่ผมต้องถามก็คือ พี่รู้หรือไม่ว่าพี่สวดมนต์ หรือ ฝึกสมาธิ ปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร หรือทำทำไม? เพราะหากไม่รู้ก็เท่ากับว่าพี่งมงาย หากรู้ผิดก็เท่ากับเดินผิดทาง หรือทำเพียงเพื่อต้องการอะไรบางอย่าง อันนี้พี่ต้องตอบตัวเองให้ได้ครับ

    พระพุทธองค์ตรัสยืนยันว่า "จิตนี้ประภัสสรมาแต่เดิม หากเศร้าหมองไปเพราะกิเลสที่จรเข้ามา" เพราะฉะนั้น หากเราต้องการจิตประภัสสรเราก็ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการรู้เท่าทัน(สติ สัมปชัญญะ)กิเลสที่จะจรเข้ามาฉาบทาใจเราก็เท่านั้น ส่วนการเริ่มต้น หลงตามมันไปบ้าง หรือ มาก ก็ช่างมัน เพราะเราสั่งสมอุปนิสัยตามใจกิเลสมานานเหมือนกัน จู่ๆจะทิ้งกันง่ายๆมันไม่ได้หรอกครับ ก็ต้องประนีประนอมกันไปเรื่อยๆจนมันรู้ว่ามันแพ้ไปเอง แล้วมันก็ไม่กล้ามารบกวนมากอีก

    เหมือนอย่างคนที่เลี้ยงลูกตามใจมาโดยตลอด มาวันหนึ่งเห็นว่า ไม่ได้การล่ะ แล้วก็หักดิบทันที เด็กมันรับไม่ทัน จะโศกนาฏกรรมกันได้ มันก็ต้องค่อยๆปรับ ค่อยๆทำความเข้าใจกันไป ให้เค้าเห็นความตั้งใจดี เห็นความดีของเรา ซึ้งใจกับเรา เด็กก็จะคลายไปเอง ใจเราก็อย่างนั้น ตามใจมันมานาน หักดิบเลยก็ไม่ไหว เราก็ค่อยๆทำความรู้จักมันไป เท่าทัน มันไป

    แต่ทำอย่างนี้มันช้าครับ มันเห็นผลช้า แต่หากเราไม่รีบมันก็จะเห็นชัดขึ้น หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง บอกว่า มันก็เหมือนรองเท้าสึกนี่แหละ เราใส่ทุกวัน มันสึกทุกวัน แต่เราสังเกตไม่เห็น จนกระทั่งมันลึกพอนั่นแหละจึงจะมองเห็นได้ ดังนั้น อย่ารีบเห็นผลครับ ทำไป เดี๋ยวมันก็เกิดผลให้เห็นเอง แต่อย่างที่บอกการทำแบบนี้มันช้า อาจจะมีวิธีอื่นที่รวดเร็วหรือดีกว่านี้ ก็ลองค้นหาดูครับ

    นอกจากจะใช้วิธีนี้ในตอนสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว ก็ใช้ตอนใช้ชีวิตจริงด้วยนะครับ ให้สังเกตอาการใจเวลามีผัสสะ ให้รู้ว่า เฮ้ย ไม่พอใจแล้วนะ เฮ้ย กูชอบนี่หว่า เฮ้ย ดีใจว่ะ อ๊ะ เสียใจนี่นา สังเกตอาการใจที่เกิดขึ้น ควบคู่กับอาการกายด้วยก็ดี เพราะเวลาโกรธ ร่างกายเราอาจจะกระสับกระส่าย มือไม้ไม่นิ่งก็ให้สังเกตมัน เวลาได้เศร้าก็อาจจะหมองลง ไหล่ตกลง ปากหุบลู่ลง ก็รู้มัน (หากไม่ชัดก็ไปดูกระจก) พอเรารู้ทันอาการใจ กาย อย่างนี้ สติจะคืนมาครับ อารมณ์จะคลาย จิตก็ไม่รับเอาอารมณ์นั้นมาฉาบทาใจ เป็นวิปัสสนาในชีวิตประจำวันครับ

    ก็ว่าไปตามควรนะครับ ส่วนพี่จะใช้ได้หรือไม่นั้น ผมไม่ทราบได้ ขอบคุณที่ไว้ใจผม แต่ผมก็ยังโง่ ยังมีโลภ โกรธ หลง ก็เป็นเพื่อนร่วมศึกษาไปด้วยกันครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

samrit

เข้ามาติดตามผลงาน "คุณหลวง" ครับ... ส.ยกน้ิวให้
คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งที่ดีๆ...

คนค้าแก้ว

ขอขอบคุณครับคุณธรรมะใจ ผมจะหาเวลาไปศึกษาดูครับ
คุณหลวงครับที่พี่ถามว่ารู้ตัวไหมที่สวกมนต์ ฝึกสมาธิเพื่ออะไร ผมขอตอบพี่อย่างไม่อายเลยนะครับว่าที่ผมทำไปเพราะอยากรู้ว่ามันจะดีต่อชีวิตหรือการใช้ชีวิตประจำวันของผมยังไง จะช่วยให้ผมมีจิตที่ใสขึ้นหรือไม่ ในขณะที่ตัวเองยังใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งเร้าความปราถนาตลอดเวลา คือถ้าให้ผมไปบวชแล้วปฏิบัตรธรรมผมคงทำไม่ได้เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับข้อห้ามมากๆ(ตั้ง 227 ข้อ) คงจะอาบัติตั้งแต่วันแรก เลยลองคิดว่าถ้าเราลองเริ่มที่การสวดมนต์ทุกวันมันจะเป็นยังไง
ทีนี้จะลองทำตามคำแนะนำของพี่ดู ถ้าจิตมันเตลิดจะดึงกลับมาแล้วท่องสวดให้จบตามที่ตั้งใจไว้ และจะพยามยามทำทุกวัน มีความก้าวหน้าอย่างไรจะมาบอกพี่นะครับ ขอบคุณครับ
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

เด็กซอย5

อนุโมทนาครับคุณหลวง


คุณหลวง

    สบายดี...
   
       
อ้างถึงแต่อย่างหนึ่งที่ผมต้องถามก็คือ พี่รู้หรือไม่ว่าพี่สวดมนต์ หรือ ฝึกสมาธิ ปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร หรือทำทำไม?

     
อ้างถึงผมขอตอบพี่อย่างไม่อายเลยนะครับว่าที่ผมทำไปเพราะอยากรู้ว่ามันจะดีต่อชีวิต หรือการใช้ชีวิตประจำวันของผมยังไง จะช่วยให้ผมมีจิตที่ใสขึ้นหรือไม่

    ต้องขอโทษนะครับ หากบางคำพูดดูแรงไปบ้าง ที่ผมถามนั้นมีจุดประสงค์เพียงเพื่อรู้ก่อนว่าพี่ทำเพื่ออะไร เพราะหากพี่ทำในสิ่งเพื่อสิ่งที่ผมไม่รู้ ผมก็ไม่ต้องตอบต่อไป แต่หากสิ่งที่พี่ประสงค์แล้วผมพอช่วยได้ก็ยินดีครับ

    ในข้อสังเกตของผม คิดเห็นเอาว่า พี่เป็นคนที่ไม่ได้สนใจศาสนามาก่อนเท่าไหร่ เพียงแต่ผ่านหูผ่านตามาอย่างนั้นเอง เมื่อชีวิตประจำวันเกิดทุกข์มาก ก็เลยคิดถึงว่า เขาว่า การสวดมนต์ ทำสมาธิ ทำให้มีความสุขได้ ก็เลยทำ เพราะว่าตัวเองเครียดและเศร้าหมองอยู่มาก ??? ทำเพราะคาดหวังว่าตัวเองจะได้รับความสุขจากสิ่งนี้

    ไม่แปลกครับ ผมเองแต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจศาสนาเลย การบวชก็เพื่อผ่านประเพณี หัดนั่งสมาธิหนแรกก็เพราะเห็นว่าพระเขามักจะนั่งกัน แต่นั่งทำไม ไม่รู้ การพบความเหลวแหลกไร้สาระของพระสงฆ์เป็นต้นเหตุที่ผมถามคำถามกับตัวเองว่า "พระพุทธองค์ประทานการบวชมาทำไม" หากแค่กินๆนอนๆสวดๆเงินๆ แล้วพระองค์เสียเวลาทรมานร่างกายทำไมตั้ง ๖ ปี

    การได้พบกับพระนักปฏิบัติ การได้พบประวัติหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ผมจึงคิดว่า ในพระสาสนานี้จะต้องมีดีมากพอที่ทำให้คนเรามากมายพากันทำตัวเองให้ลำบากเพื่อสิ่งนั้น และผมอยากให้พี่เชื่อบ้างครับ เพื่อกำลังใจในเบื้องต้น แม้ว่าการเชื่อคนง่ายจะไม่ดีนักก็ตาม(ฮา)

    ถ้าพี่เป็นอย่างที่ผมว่า คือมีทุกข์แล้วสวดมนต์ ทำสมาธิเพื่อหวังความสุข คนประเภทนี้เท่าที่ผมพบมามักจะเป็นคนที่คาดหวังมากเกินไปเสมอ หวังว่าจะสามารถสลัดความทุกข์ได้ไวๆ อยากมีความสุขอย่าที่เขาว่าไวๆ เมื่อคาดหวังไว้อย่างนี้ เวลาปฏิบัติก็มักเอาจิตวิ่งค้นหาความสุขจากสิ่งที่ทำ และจะไม่มีทางพบ สุดท้าย

    ๑.   หมดศรัทธา เพราะไม่เห็นว่าจะมีความสุขจริงอย่างที่ได้ยินมา
    ๒.   คิดว่าตัวเองบุญน้อย บาปหนา ทำไม่ได้แน่แล้ว เลยเลิก

   
     ก่อนอื่น พี่ต้องรู้ก่อนนะครับ ว่าที่พี่ทุกข์นั้น มันเป็นเพราะอะไร เพราะปัจจัยภายนอก ครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ไม่มีเงิน ไม่.......หรือ ความคิดของพี่เองที่ทุกข์

    ตามปกติของจิตนั้นมักรับเอาผัสสะมาฉาบทาจิตใจของตนเสมอ ไม่ว่าจะมาในรูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ หรือธรรมารมณ์ หลวงพ่อชาเคยถามว่า วันหนึ่งเราเดินออกจากบ้านมีคนๆหนึ่งมาด่าเรา เราทุกข์ ทุกๆวัน คนๆนั้นมาด่าเราทุกวัน เราทุกข์ทุกวัน คิดไปต่างๆนานา แล้ววันหนึ่งเรารู้ว่า คนๆนั้นมันเป็นคนบ้า เราก็อ้อ  คนบ้า เราทุกข์อีกมั้ย

    ดังนั้น สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ก็คือจิตเราที่ไปรับเอาผัสสะนั้นๆมาเป็นอารมณ์ มาเป็นเจ้านายใจของเรา ไม่ใช่ภายนอก   อีกครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์พระฝรั่งของท่านอยู่ที่หนองป่าพง เกิดความเครียด เพราะว่าเห็นว่าพระที่อยู่ในหนองป่าพง ทำตัวเหลวไหลหลายรูปไม่ได้ดีอย่างหวัง เลยอมทุกข์อยู่อย่างนั้น

    วันนั้น หลวงพ่อชากลับจากบิณฑบาตก็ชวนพระรูปนี้เดินเล่น เดินๆไป หลวงพ่อหันมาถามว่า "หนองป่าพงทุกข์มั้ย" พระฝรั่งรูปนั้นตอบไม่ได้ก็เดินกันไป หลวงพ่อถามอีก ถามจนกระทั่งพระรูปนั้นร้องอ้อ..หนองป่าพงไม่ทุกข์ มันเป็นของมันอย่างนั้น เราต่างหากที่ทุกข์

    พอเข้าใจไหมครับ

    คือความทุกข์มันเกิดจากจิตที่หลงผิดไปรับเอาสิ่งภายนอกมาเป็นอารมณ์ ดังนั้น การปฏิบัติธรรม ก็คือ การฝึกเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นของใจ ให้ใจมันรู้ เห็นตัวของมันเองว่ามันมีภาวะแห่งความสุขอยู่แล้ว แต่มันทำตัวเองให้ทุกข์เพราะไปรับเอาสิ่งภายนอกมาฉาบทาตัวเอง คือ คนมันสะอาดอยู่แล้ว แต่ชอบไปเล่นโคลน เล่นเหงื่อให้สกปรกแล้วบ่นว่าทุกข์เว้ยๆอยู่อย่างนั้น อยู่กับความทุกข์อย่างนั้น แต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำตัวเองให้ทุกข์ จึงไม่ยอมทำความสะอาดหรือเลี่ยงจากภาวะที่ทำให้เกิดทุกข์เสีย

    ดังนั้น การสวดมนต์ ทำสมาธิ ไม่ใช่เป็นการ ทำเพื่อค้นหาความสุข เพราะความจริงจิตมันสุข มันผ่องใสอยู่แล้ว แต่เป็นการปฏิบัติเพื่อละความยึดเอาความทุกข์เข้ามาปิดใจถมใจตัวเองหรอกครับ ถ้าปฏิบัติเพื่อค้นหาความสุขก็เท่ากับว่า เราวิ่งหนีความสุขออกไปเรื่อยๆ เพราะความคิดที่อยากสุขนั้นมันเป็นการวิ่งเข้าไปค้นหาด้วยตัณหา ด้วยความหลงของตนเองเท่านั้น

    แต่การที่พี่รู้ว่าพี่ต้องการทำเพื่อความสุขนั้น ดีแล้วครับ และขอให้พี่ระลึกถึงมันเสมอๆ เมื่อเกิดความคิดเฉไฉไป พี่ก็ลองถามตัวเองดูว่า มันเป็นไปเพื่อความสุขไหม หากไปกับมันแล้วไม่สุขก็อย่าไป คือถามตัวเองเสมอๆเมื่อเกิดความคิดเกิดอารมณ์ขึ้นมาว่าคิดแล้ว ทำแล้วเป็นไปเพื่อความสุขหรือเปล่า แล้วเลือกเอาตามที่ต้องการ

    สมมติว่าพี่อยากไปกรุงเทพฯ...(อืม..ทำไมต้องกรุงเทพอีกแล้ว ไปทำไม ทำไมต้องกรุงเทพฯ ไปให้กำลังใจนายกฯหรือ? หรือเอาน้ำไปให้พี่ตู่ ไปรอรับทักษิณ....(ฮา)) เปลี่ยนบ้างๆ สมมติว่าพี่จะไปปากโบระ แต่ไม่รู้ทาง แต่พี่จะไปให้ได้ พี่ขับรถไปๆก็ต้องถามหาปากโบระ พี่ต้องถามทางไปปากโบระเท่านั้น แล้วพี่จะถึง ถ้าถามอย่างอื่นก็ต้องเป็นจุดที่เป็นทางผ่านเพื่อถึงปากโบระใช่มั้ยครับ

    ความสุขก็เหมือนกัน เมื่อพี่จะเข้าถึงมัน พี่ก็ต้องถามตัวเองเรื่อยๆว่าทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้แล้วไปถึงความสุขไหม พี่สวดมนต์ไปๆแล้วคิดไปอย่างอื่น ก็ลองถามมันดูว่า คิดเรื่องนั้นๆแล้วถึงความสุข ความสงบไหม สวดมนต์ใจเริ่มสงบแล้วดันคิดเรื่องหมากัดกันชนกระถางต้นไม้แตกเมื่อเช้า ก็ถามมันดูว่าคิดเรื่องหมากัดกันแล้วสงบไหม ก็ลองๆไป

    การที่เห็นว่าตัวเองเป็นทุกข์นั้นเป็นเบื้องต้นแล้วครับในการไปถึงความสุข เพียงความสุขของจิตใจ มาจากการที่ใจรู้เท่าทันอารมณ์ ฝึกสติเพื่อรู้ทันสิ่งที่มากระทบเพื่อไม่ต้องรับมันมาเป็นอารมณ์ ใจที่ไม่มีอะไรมาปกปิดฉาบทา มันจึงมีความผ่องใสโดยธรรมชาติครับ

    แนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ที่คุณธรรมะใจแนะนำมานั้นก็เป็นการฝึกที่น่าลอง น่าทำครับ ให้ผลได้ค่อนข้างร็ว เพราะเป็นการฝึกสัมปชัญญะโดยตรง ซึ่งหลวงพ่อเทียนสมัยเป็นฆราวาสท่านก็ฝึกความรู้สึกตัวมาด้วยตนเองตลอด ท่านว่า ทำอะไรก็ได้ให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ ท่านทำงานไป ท่านเกระดิกนิ้วเท้าไป ถูนิ้วไป คือทำความรู้สึกที่ตัวอยู่เสมอ จนท่านบรรลุธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาส

    หลังบวชเพื่อสอนสิ่งที่ท่านได้รับผลมาแล้วแก่ผู้อื่น ท่านจึงคิดท่าฝึกขึ้นมา เพื่อการปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน เป็นอีกวิธีที่ผมสนับสนุนให้ทำครับ ส่วนทำแล้วจะโดนจริตหรือไม่ เป็นเรื่องที่ว่ากันทีหลัง แต่ฝืนใจเสียบ้างก็ดีครับ ฝืนเพื่อความสุข เหมือนฉีดยาเพื่อรักษาไข้ ไม่ทนเจ็บต่อเข็มไข้ไม่หาย นี่ทนเจ็บเพื่อหายไข้ก็คุ้มครับ

    เริ่มมาถูกทางแล้ว ก็อย่าให้เสียเปล่านะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ

สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

สวัสดีครับคุณหลวง
ขอบคุณมากครับในคำแนะนำ ที่พี่ว่ามานั้นเกือบถูกทั้งหมดครับ เพียงแต่ผมมาสวดมนต์หรือหัดทำสมาธิไม่ได้เกิดจากความทุกข์ในเรื่องการดำรงชีวิตแต่อย่างไร อาจมีบ้างที่เครียดกับธุรกิจแต่ก็เป็นบางครั้งครับ ถ้าว่าจะเกิดจากทุกข์ก็น่าจะมาจากที่ใจที่พี่ว่า คืออารมณ์ที่มันรับหรือสนองตอบต่อสิ่งเร้าในบ้างเรื่องเร็วเกินไป บางครั้งอารมณ์โกรธอารมณ์หงุดหงิดมันเกิดเร็วมาก การแสดงออกมันจะกระทำทันทีบางครั้งบอกตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเรื่องแค่นี้เองนะแต่มันก็หลังจากที่แสดงกิริยาอาการไปแล้ว
ก็เลยมาคิดว่าถ้าเราสวดมนต์หรือทำสมาธิมันจะช่วยให้เรามีสติมากขึ้น แต่อย่างที่บอกพี่นั่นแหละครับมันไปไม่ถึงไหนเพราะจิตตอนสวดมนต์หรือขณะทำสมาธิมันอยู่ได้ไม่นาน ก็เลยมารบกวนพี่นี่แหละครับ
อ่านข้อติดของพี่แล้วมันดีมีประโยชน์ จะพยายามทำให้บ่อยขึ้น อย่างที่พี่เคยบอกว่าให้ทำเล่นๆ(จนเป็นนิสัย) คงมีสักวันนะครับที่จะรู้สึกว่ามันดีขึ้น ได้พบความสุขที่แท้จริง
ขอบคุณครับ
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

คุณหลวง

    สะบายดี...

อ้างถึงอารมณ์ที่มันรับหรือสนองตอบต่อสิ่งเร้าในบ้างเรื่องเร็วเกินไป บางครั้งอารมณ์โกรธอารมณ์หงุดหงิดมันเกิดเร็วมาก การแสดงออกมันจะกระทำทันทีบางครั้งบอกตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเรื่องแค่นี้ เองนะแต่มันก็หลังจากที่แสดงกิริยาอาการไปแล้ว

    ก็นั่นแหละครับ คือการดำรงชีวิต หากไม่ดำรงชีวิตก็ไม่มีอาการแบบนั้น จริงมั้ยครับ แห่ะๆๆๆ

    ธรรมะคือชีวิต หากไม่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ใช่ธรรมะแท้จริง


    และการรู้อารมณ์ถึงแม้ว่ารู้ทีหลัง นึกทีหลังก็ยังดีกว่าครับ เพราะเป็นการเริ่มต้นของการรู้ทันที่เร็วขึ้น ตามกำลังสติครับ น้อยก็ช้า มากก็เร็ว ๒ จี ๓ จี นั่นแหละครับ

    สู้ๆครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

นิยโรจน์

อ่านแล้ว ได้ความรู้ ดีมากเลยครับ พี่ ๆ ทุกท่าน ครับ ขอบคุณ ครับ . .

แป้ง2

ขอแจมด้วยคนนะจ๊ะ!  เริ่มต้นจากดิฉันกลัวขาดทุนถ้าไม่ได้ทำบุญ คืออิจฉาคนอื่นที่ได้ทำบุญเพราะฉะนั้นเราต้องทำบุญ ถ้าเราไม่ทำเราก็ไม่ได้ ในสิ่งที่เราปรารถนา กลัวม๊ากกกกกลัวขาดทุนเรื่องบุญอะไรก็ได้ที่เป็นบุญเราต้องมองว่าอะไรละที่เป็นบุญถ้าเราไม่รีบทำเราก็จะเสียโอกาส  ตอนแรกที่สวดมนต์เป็นภาษาบาลีมีจุดบนจุดล่างยากมาก ตะกุกตะกัก  แต่ก็ไม่ท้อ เพราะอะไรที่เป็นอุปสรรคสักพักก็ดีเอง  ไม่เข้าใจความหมายเลยสักคำแปลว่าอะไรไม่รู้ เพียงแต่ผ่านอุปสรรคกับบาลีนี้ให้ได้  เวลาสวดมนต์ดีอย่างคือเหนื่อยปาก แต่ก็สลบหลับสบาย  แต่ตอนนี้สบายมากเลยนะเขาแปลเป็นไทยมาให้แล้ว  สวดไม่ต้องเอาอะไรหรอก เพียงแต่ให้รู้ว่าวันนี้เราทำความดีแล้ว 1 อย่าง เราไม่เสียโอกาสแล้ว  เวลาเราสวดเราชอบแอบฟังเสียงเราว่าเสียงเราเพราะไหม ถ้าไม่เพราะ สวดให้เพราะ  เพราะเราสวดคนอื่นเขาก็แอบฟังอยู่ หรื่อสิ่งศักดิ์ฟังอยู่ อายท่าน เวลาสวดเราบอกท่านว่าวันนี้ลูกจะสวดมนต์ให้ฟังนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นจิตใจเราจะจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือไม่สนใจกับสิ่งอื่น  สวดให้ดังจะได้สมาธิได้ยินเสียงเราคนเดียว  สรุปอย่ที่เราตั้งใจขนาดไหน ถ้าเราไม่รีบเร่งขวานขวายเสาะหาเรื่องที่มันเป็นบุญ แล้วเมื่อไหร่ละ เมื่อเราไม่อยู่ไปเที่ยวเมืองนอกนาน ๆ เราไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิดใหม่  เพราะฉะนั้นจงเร่งทำบุญ อะไรที่เป็นบุญทำให้หมด และต้องบังคับตัวเองให้ได้ว่าชาตินี้เราจะพยายามไม่ทำบาป อีกแล้ว

saelim

สาธุ อนุโมทนาด้วยคน

คุนหลวง

.


...เพิ่งเห็นกระทู้นี้ เริ่มโดยคุณหลวง จึงเข้ามาดู

ได้อะไรหลายอย่าง และยังไม่เข้าใจหลายอย่าง

ผมคงบุญมา วาสนาไม่ถึง...

..ขอบคุณ ที่เผยแพร่ธรรมมะ.... ส.บ๊ายบาย ส-ฝนเล็บ

Gemini

อ้างจาก: แป้ง2 เมื่อ 18:53 น.  20 ธ.ค 54
ขอแจมด้วยคนนะจ๊ะ!  เริ่มต้นจากดิฉันกลัวขาดทุนถ้าไม่ได้ทำบุญ คืออิจฉาคนอื่นที่ได้ทำบุญเพราะฉะนั้นเราต้องทำบุญ ถ้าเราไม่ทำเราก็ไม่ได้ ในสิ่งที่เราปรารถนา กลัวม๊ากกกกกลัวขาดทุนเรื่องบุญอะไรก็ได้ที่เป็นบุญเราต้องมองว่าอะไรละที่เป็นบุญถ้าเราไม่รีบทำเราก็จะเสียโอกาส  ตอนแรกที่สวดมนต์เป็นภาษาบาลีมีจุดบนจุดล่างยากมาก ตะกุกตะกัก  แต่ก็ไม่ท้อ เพราะอะไรที่เป็นอุปสรรคสักพักก็ดีเอง  ไม่เข้าใจความหมายเลยสักคำแปลว่าอะไรไม่รู้ เพียงแต่ผ่านอุปสรรคกับบาลีนี้ให้ได้  เวลาสวดมนต์ดีอย่างคือเหนื่อยปาก แต่ก็สลบหลับสบาย  แต่ตอนนี้สบายมากเลยนะเขาแปลเป็นไทยมาให้แล้ว  สวดไม่ต้องเอาอะไรหรอก เพียงแต่ให้รู้ว่าวันนี้เราทำความดีแล้ว 1 อย่าง เราไม่เสียโอกาสแล้ว  เวลาเราสวดเราชอบแอบฟังเสียงเราว่าเสียงเราเพราะไหม ถ้าไม่เพราะ สวดให้เพราะ  เพราะเราสวดคนอื่นเขาก็แอบฟังอยู่ หรื่อสิ่งศักดิ์ฟังอยู่ อายท่าน เวลาสวดเราบอกท่านว่าวันนี้ลูกจะสวดมนต์ให้ฟังนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นจิตใจเราจะจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือไม่สนใจกับสิ่งอื่น  สวดให้ดังจะได้สมาธิได้ยินเสียงเราคนเดียว  สรุปอย่ที่เราตั้งใจขนาดไหน ถ้าเราไม่รีบเร่งขวานขวายเสาะหาเรื่องที่มันเป็นบุญ แล้วเมื่อไหร่ละ เมื่อเราไม่อยู่ไปเที่ยวเมืองนอกนาน ๆ เราไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิดใหม่  เพราะฉะนั้นจงเร่งทำบุญ อะไรที่เป็นบุญทำให้หมด และต้องบังคับตัวเองให้ได้ว่าชาตินี้เราจะพยายามไม่ทำบาป อีกแล้ว

ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้
ชอบฟังเสียงสวด ของตัวเองเหมือนกัน
ตอนหัดสวดตอนแรก โหลดจากเน็ตลงโทรศัพท์
ฟังไป สวดไป หลัง ๆ เริ่มคล่องละ
"ไม่สวย ไม่หล่อ หาหมอศัลยกรรม  ความคิด จิตต่ำ ศัลยกรรมช่วยไม่ได้จริง ๆ"

puiey

อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่ยึดติด
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

ม้าเหล็ก