ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ปฎิรูปหาดใหญ่...ปฎิวัติตัวเรา!

เริ่มโดย Mr.No, 20:32 น. 01 ก.ย 57

Mr.No

[attach=1]


"ถึงเวลาปฎิรูปประเทศไทย",   "คืนความสุขให้ประชาชน"

ถึงเวลานี้....สองประโยคทองข้างต้นที่คนไทยคนไหนไม่ได้ยิน ต้องบอกว่า "เชย"  สุด ๆ
ขนาดพวกรถแห่ขายของ...ขับไปประกาศปาว ๆ ว่า "ลดราคาโง้นงี้...ตบท้ายด้วย "คืนความสุขให้ประชาชน(ผู้ซื้อ) ซะงั้น!"

เล่นเอาเอาเทรนด์นี้ไปใช้  แบบไม่ต้องขออนุญาตลิขสิทธิ์จาก คสช.หน้าตาเฉย

สองคำนี้จึงเป็นประโยคที่เน้น เหตุและผล อย่างชัดเจนตามตรรกะ ด้วยเงื่อนไขว่า  ต้องปฎิรูปก่อนความสุขจึงจะกลับคืนมาสู่ประชาชน!

ขนาดเทศบาลนครหาดใหญ่ก็ไม่พลาดขบวนเกาะแข้งเกาะขา...เพราะอะไรๆก็ต้องลากประโยค "คืนความสุขให้กับประชาชนชาวหาดใหญ่" มาใช้กะเค้าเหมือนกัน

ขึ้นป้าย "คืนความสุขให้คนหาดใหญ่" จนชาวบ้านเริ่มงงและเริ่มจับต้นชนปลายได้แล้วว่า   ก่อนหน้าที่คนหาดใหญ่ไม่มีความสุขนั้น  ใครหนอมันแอบมาขโมยความสุขของชาวบ้านชาวช่องไป!!!

แอบสงสารตัวเองและคนหาดใหญ่มาเป็นเวลานาน ..เพราะสังคมและการบริหารจัดการมันเละเทะกันจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่า ใครมีหน้าที่อะไร...และไม่ยอมทำอะไร  แต่ดันอาศัยสถานการณ์เกาะท้อปบู้ตไปกะเค้าเข้าลักษณะ "แมวเอ๋ยแมวเหมียว..เลี้ยวไปเลี้ยวมา ก็เลียแข้งขา" กันแบบนี้อยู่ร่ำไป

ที่ต้องเขียนเรื่องนี้...เพราะสองกระทู้ดี ๆ  ที่มีคนตั้งขึ้นอย่าง กระทู้ "ประชาชนต้องช่วยกันปฎิรูปจราจรหาดใหญ่" http://talung.gimyong.com/index.php/topic,303174.0.html  และ "ทหารขอคืนทางเท้าย่านธุรกิจหาดใหญ่" http://talung.gimyong.com/index.php/topic,304537.0.htmlแสดงให้เห็นว่า ปัญหาของหาดใหญ่ จะวาดหวังให้ใครมาแก้ปัญหาให้โดยเฉพาะคนที่มาจากระบบการเมืองนั้น ประตูมันปิดสนิทไปแล้ว!

จำได้ว่าเมื่อกันยายนปีที่แล้ว  ทาง มอ.มีการจัดงานสมัชาชาประชาชนหาดใหญ่ขึ้น ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติฯ หัวข้อคือ เวทีสมัชชาประชาชนนครหาดใหญ่ "คนหาดใหญ่กำหนดอนาคตตนเอง"  มีคุณชัยวุฒิ เกิดชื่น กับคุณบัญชร วิเชียรศรี เป็นคู่พิธีกร

ปีที่แล้วมีคนเข้ามาร่วมกันพูดคุย..ถกกันเกี่ยวกับเรื่องของหาดใหญ่ ทั้งภาคสังคม,การท่องเที่ยว มีอาจารย์ มอ.และที่ปรึกษาของเทศบาลนครหาดใหญ่  โดยรวมสรุปวันนั้นคือ ทุกคนต่างบ่นเกี่ยวกับเรื่องของการจัดการบ้านเมืองที่ไม่เอาอ่าวทั้งการปล่อยปละละเลยเกี่ยวกับเรื่อง การจราจร,ปัญหาขยะ,ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและมลพิษ ฯลฯ

ปีนี้..ก็มีการจัดอีกครั้ง ซึ่งก็ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่เรียกกันว่า "กรรมการสมัชชา" กันเกือบร้อยคน มีการเชิญผู้หลักผู้ใหญ่มาเป็นที่ปรึกษากันมากมาย(ตามธรรมเนียมของคนไทย)

เรื่องดี ๆ แบบนี้ ใครก็ต้องบอกว่า "ดี"   เพราะเมื่อเริ่มแล้วต้องทำ....

หลายเรื่องที่เป็นปัญหาจริงๆ  ใช่ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องสมัชชา ถ้า รู้จักหน้าที่...และทำหน้าที่ของตัวเองให้สมดั่งที่เค้ามอบหมาย   เชื่อหรือไม่ว่า  หลายปัญหาจะ "ไม่ใช่ปัญหา"

ปัญหาขยะส่งกลิ่น, ปัญหามลพิษ,ปัญหารถติด,ปัญหาด้านภูมิสถาปัตย์ ฯลฯ  หลายเรื่องเป็นเรื่องที่ ผู้มีหน้าที่ต้องทำแต่ไม่ได้ทำทั้งสิ้น... แต่กลายเป็นเรื่องของ "มหาชน" ไปขบไปคิดแก้กัน!!???

หลายเรื่องในการเสวนา คนที่แสดงความเห็นล้วนนำเอาปัญหามาถก อย่างที่ว่าข้างต้น...ส่วนเรื่องการกำหนดยุทธศาสตร์จะนำหาดใหญ่ให้กลายเป็นเมืองแห่งความสุข (city of happiness) ของท่านไพรหรือไม่นั้น เอาแค่แก้ปัญหาที่ตัวเองต้องทำให้สัมฤทธิ์ก่อนจะดีมั้ย?

จากสองกระทู้ที่ผมยกเป็นตัวอย่าง  อย่างกรณีเรื่อง  "ทางเท้า" นี่มันเป็นปัญหาของใคร?  และใครควรแก้ไข?
ทุกวันนี้มีคนหาดใหญ่คนไหนเดินบนฟุตบาทได้บ้างหรือไม่?   และเชื่อหรือไม่ว่า  เมืองแห่งความสุขนี้คือการให้คนหาดใหญ่ไม่ต้องเดิน!

เมื่อคนไม่ต้องเดิน..เพราะพื้นที่สำหรับจะเดินมันถูกยึดหมด ....สุดท้าย เมืองนี้เลยมีแต่คนมีความสุขเพราะ "ไม่ต้องเดิน" จนสุดท้าย "เดินไม่ได้" ต้องนอนที่!

เมืองหาดใหญ่กลายเป็นเมืองน่าอิจฉาต้นแบบที่ฝรั่งต้องอาย  เพราะแค่อายุยังไม่ทัน 40 ก็หัวใจวายตาย เพราะชีวิตทั้งชีวิตนับแต่เด็ก..วัยรุ่น จนหนุ่มใหญ่  เดินเองกันไม่เป็น...และที่สำคัญ  "ไม่มีที่จะเดิน"

นอกจากสถิติที่คนไทยต้องอับอายจากเรื่อง การอ่านหนังสือที่ปีหนึ่งคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัดแล้ว! 
คนไทยรวมคนหาดใหญ่อาจต้องเพิ่มสถิติให้ตัวเองอีกว่า ในชีวิตหนึ่งนับแต่เกิดจนเส้นเลือดอุดตัน เฉลี่ยแล้วเราเดินกันคนละวันละกี่เมตร..กี่กิโล??

แค่ตลาดกิมหยงซึ่งน่าจะถือเป็นแลนด์มารค์ของหาดใหญ่อวดนักท่องเที่ยว นี่ก็เล่นเอาอายขายขี้หน้า เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่นั่นนอกจากจะไม่เข้าใจเรื่องบาทวิถีตามนิยามที่เป็นข้อห้ามทั้งกฎหมายจราจรและเทศบัญญัติแล้ว ยังลากเอาเครื่องมือและขยายกิจการร้านค้าตัวเองลงมาบนถนนคั่วเกาลัดกันให้โขมง! 

ที่นั่นไม่ธรรมดาเพราะขืนใครไปหือหา...มีปัญหากับพ่อค้าแม่ค้าแน่ เพราะหลายคนไม่ธรรมดา!

แค่นี้ยังหมดปัญญา...นี่ยังไม่ได้พาไปดูแถวตลาดสด ที่คนต่างจังหวัดเผลอพลัดหลงเข้าไปก็งงเป็นไก่ตาแตกว่านี่มัน ถนนหรือ "กลางตลาด"

อยู่กันมาได้ตั้งนาน....ถึงเวลา ทหารจะออกมาจัดการ ก็ดันจัดงาน "สมัชชา" ให้ประชาช่วยกันไปคิดหาหนทางแก้กันซะงั้น?

อย่างกรณีกระทู้ปฎิรูปจราจร.. นั่นแสดงถึงความเหลืออดของคนโพส.. เพราะทุกคนก็ล้วนมีชีวิตอยู่บนรถและบนถนน (เรื่องคิดจะเดินนั้นไม่ต้องพูด..เพราะคนหาดใหญ่ใครเดินถือว่าเป็น "คนประหลาด" ที่อาจถูกรถเฉียวตายได้)

ปัญหาการจราจรหาดใหญ่ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาด้านวินัยจราจร และ "ความเอาเปรียบเห็นแก่ได้" ของคนใช้รถ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ใช่ภาระของ "สมัชชา" จะไปสรรหาวิธีมาแก้ให้

กฎจราจร..กฎหมายมีไว้ครบถ้วน แต่คนมันไม่ทำ...คนที่ควรมีหน้าที่กำกับดูแลให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ทำหน้าที่กัน ..เรื่องมันก็มีแค่นี้!
จนถึงขนาดมีคนกระแนะกระแหนว่า...เวลารถติดจะมองหาจราจรซักคนแทบจะไม่มี...แต่เวลานัดหมายกันตั้งจุดตรวจจับปรับกัน พ่อเจ้าประคุณมาชุมนุมหัวขาวเต็มถนนยิ่งกว่า "สมัชชา" ซะงั้น!  เมื่อมีปัญหาก็โทษว่า "กำลังไม่พอ"  ...

รำพึงในป่าช้ามานานก็คงต้องเข้าประเด็นว่า   หาดใหญ่จะเดินไปได้อย่างที่จะหวังอะไร นอกจากจะช่วยกันทำกันเอง!
กฎจราจรต้องพัฒนาให้กลายเป็นจิตสำนึกของคนทุกระดับชั้นให้ได้เสียก่อน... ช่วยกันทำให้คนที่ฝ่าฝืนกฎจราจรและเอาเปรียบสังคมนั้น น่ารังเกียจเพียงใด

อย่างเรื่องการฝ่าฝืนกฎจราจร  5 จ.  นี่หาดใหญ่ยังอยู่ครบครับ.... คือยังฝ่าฝืนมันครบทุกข้อ!

จอดซ้อนคัน ไปดูสาย 1 กลางเมืองนี่  น่ารังเกียจและใกล้ตาจราจรมากที่สุด ...แต่กำลังไม่พอและ "ร้อน" จึงไม่อาจไปดูได้

[attach=2]

อย่างจอดล้ำเส้นจอดที่ฝรั่งเรียก  "Stop Line"  แต่คนไทยมันต้องออกลายว่า "ตูต้องล้ำกว่าเพื่อนจึงจะเจ๋ง"  นี่เป็นที่มาว่า เหตุใดรถราในหาดใหญมันดูจากโดรนแล้วถึงยั้วเยี้ยยิ่งกว่าหนอน

เส้นหยุดรถหรือแนวหยุดรถ ทั่วโลกรู้กันดีว่า เมื่อเส้นนี้มีก็ต้องหยุดในแนวเส้น ไม่แม้แต่จะล้ำเหยียบบนเส้นขาวด้วยซ้ำ!

แต่หาดใหญ่...ใครว่างลองไปดูเส้นหลักเข้าออกหาดใหญ่ บริเวณถนนศรีภูวนารถ ที่ขึ้นจากอุโมงค์จะตรงไปถนนพลพิชัย  เมื่อถึงสามแยกทีตัดกับถนนรัตนอุทิศ ...เลนซ้ายสุดมีป้ายเขียนชัดว่า "รถตรงไปให้หยุดรอสัญญานไฟ"  นั่นแปลภาษาไทยว่า  พวกที่จะขับตรงไปกรุณาดูไฟจราจรว่ามันเขียวให้ไปได้หรือไม่? 

ป้ายที่ติดกลายเป็น ป้ายคนโง่  เพราะถ้าใครที่จะไปตรงแล้วต้องหยุดรอไฟเขียวตรงจุด Stop Line จะกลายเป็นพวกโง่ตัวประหลาด เพราะใคร ๆ เค้าก็ต้องไหลไปเรื่อยแบบเขียวผ่านตลอดทุกคน
นี่คือปัญหาคอขวดที่เกิดจาก "เราทำกันเอง" เพราะเมื่อรถจากถนนรัตนอุทิศได้ไฟเขียวก็เลี้ยวขวาเข้าศรีภูวนารถ..ก็ไปไม่ได้ เพราะไอ้เลนซ้ายสุดไม่เคยคิดจะหยุดให้ใครไป!

ตัวอย่างพวกนี้...เล่าไปก็อายชาวโลก ต่อให้จัดสัมมนาเชิญพวกปัญญาแก่กล้ามาแก้ไข...แต่คนหาดใหญ่และระดับที่มีหน้าที่ต้องทำให้ไปเป็นตามกฎหมายยังไม่ทำ  ...จะจัดให้เปลืองไฟ...เปลืองน้ำชักโครกห้องประชุมกันไปเพืออะไร?
แค่เทศบาลนครหาดใหญ่...เดินไปจับมือกับ งานจราจรหาดใหญ่ บอกว่าจะร่วมมือกันปฎิรูปคืนพื้นที่ทางเท้าให้ประชาชน...คืนเนื้อที่ถนนให้ยวดยาน...คืนความเป็นจราจรมืออาชีพให้ตัวเอง  แบบ จับจริง..ไม่อิงหน้าเบ็นซ์...หน้าบีเอ็ม  แบบนี้ สาระในการประชุมสมัชชาก็อาจต้องซาความขลังไปโดยพลัน


สมัชชา ไม่ใช่ "เจ้าพนักงาน" ตามประมวล ป.วิ  .... ดังนั้น คนที่ต้องทราบว่า เมื่อมีการจอดซ้อน...จอดล้ำ..สองแถวปาดขึ้นสะพานลอย ฯลฯ พวกนี้จับและปรับกันได้แบบที่หลายคนจะโมทนา ....และที่สำคัญ  จับจริง ๆ ...ก็ได้เงินจริง ๆ แบบไม่ต้องไปตั้งกรวยตั้งจุดให้มันเอิกเกริก

แค่เลนซ้ายสุดบนถนนศรีภูวนารถตรงไปพลพิชัย นั่นก็ได้ค่าปรับเข้าหลวงบาน แบบไม่ต้องมีคำครหาตามหลังด้วยซ้ำ

จราจรหาดใหญ่ต้องแสดงความกล้า....เป่า ปรื้ดดดดดด ให้ดังลั่น  เรียกแล้วออกใบสั่งชัดเจน แบบนี้ ไม่เกินอาทิตย์เดียว ดูซิมันจะกล้ากันมั้ย?


[attach=3]
ที่อินเดียประเทศที่ ระบบการจราจร..มันวุ่นจนเป็นจราจล หวังพึ่งกฎหมายและหน่วยงานรัฐ..ก็น่าจะอีกชาติ
ก็เกิดกรณีนาย ราชา หนุ่มที่มีฐานะไม่ดี..แต่จิตสำนึกสูง  ออกเดินเชิญชวนให้คนในพื้นที่เค้า ช่วยกันสร้างจิตสำนึกความเป็น "บ้านเรา" ด้วยการยืนถือป้ายรณรงค์ให้รถ หยุดหลังเส้นให้หยุดรถ

[attach=4]
ฝนตก..แดดออก  นายราชา ก็ยังถือป้ายเชิญชวน จนสุดท้ายคนแถวนั้นเริ่ม "อาย" และ "ตระหนัก" ว่า หมอนี่ไม่ได้บ้า แต่ "กล้าที่จะทำดี!"

[attach=5]

จากแค่นายราชา กลายเป็นว่า มีแนวร่วมเพิ่มจากหนึ่งเป็นสองสามสี่ห้า ฯลฯ ทั้งหญิงและชายร่วมกันยืนตรงสี่แยก รณรงค์ให้ช่วยกันรักษากฎจราจร

แม้นจะไม่ช่วยให้อินเดียเป็นประเทศที่คนทั้งประเทศมีจิตสำนึกร่วมกันแบบที่นายราชาวาดหวัง...แต่อย่างน้อย พื้นที่รับผิดชอบของนายราชาก็มีคนนับหลายหมื่นที่ยืนอยู่ข้างเขา!

ตัวอย่างข้างต้น นั่นเห็นชัดว่า  ขืนรอ "เจ้านาย" ระบอบประชาธิปไตยมาแก้ปัญหา  ...ชาติหน้า ยังไปไม่ถึงไหน

ลำพังเทศกิจเทศกาล ..ขอเหอะ...อย่าเที่ยวแต่ไปไล่ดักแต่ปลาซิวปลาสร้อย....หันไปปรึกษานายหน่อยว่า   พวกที่ยึดฟุตบาท นายจะว่าไง? 

เมื่อก่อน..ไม่กล้ารื้อเพราะเกรงใจคะแนนเสียง.... เที่ยวนี้ มี คสช. เป็นแบ๊คแล้ว ก็ต้องเดินหน้าเต็มที่
กฎหมาย..เค้าเขียนให้คนปฎิบัติ.....   ไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม

ถ้ารื้อแล้ว ..ใครมันจะไม่เลือกตั้งให้ก็ชั่ง  เพราะ เมื่อชีวิตคิดทำเพื่อ "ส่วนรวม" และ "ประเทศ" จะไปกลัวอะไร

แต่ ยื้อ ๆ ยัก ๆ  ยังออกอาการกั๊กการเมือง แต่เล่นเอาบ้านเมือง "เละเทะ" แบบนี้  กี่ปีก็อย่ามานั่ง มโน ว่า หาดใหญ่จะโกอินเตอร์ เป็นสวรรค์วิมานอะไรได้

ดังนั้น....การสร้างจิตสำนึกและระลึกเสมอให้หาดใหญ่คือ "บ้านเรา" 
และเมื่อเรารักและหวงแหน "บ้านของเรา" ฉันใด...ก็ควรอยู่ในหาดใหญ่ด้วยสำนึกเช่นนั้น

ขับรถทุกครั้งด้วยสำนึก "รักบ้าน" จะสร้างภูมิต้านทานให้เรากลายเป็น "คนอารยะ" ไม่ใช่พวก "มักง่ายไร้ราคา"

เส้นทุกเส้น..สัญญานไฟทุกแสง ล้วนมีความหมายให้ระลึกว่า เราจะปฎิบัติด้วยความเป็น "ชนอารยะ"

บาทวิถีคือพื้นที่จะช่วยให้เราเดินได้อย่างที่สัตว์สองขาใช้มันพาเดินไปไหนมาไหน เพื่อให้ร่างกายได้ขับเคลื่อนและเผาผลาญส่วนเกินอันตรายออกจากร่างกาย

ใครที่เบียดบังทางเท้า..พื้นสำหรับสาธารณะเอาไป...ต่างล้วนไร้สำนึก และที่สำคัญกฎแห่งกรรมถือว่า สุดท้าย...ที่ๆทีตัวเองอาศัยก็จะร้อนรนจนอยู่ไม่ได้เช่นกัน!


ปฎิรูปหาดใหญ่.......  ก็ต้องเริ่ม "ปฎิวัติ" ที่ เรา ๆ ท่าน ๆ  ด้วยกันครับ.


..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

Pong77

ท่าน โน เขียนมาซะมากมาย อ่านแล้วไม่รู้จะแนะนำอะไรเพิ่ม เพราะมันสมบูรณ์มากในเนื้อหา
ขอขอบคุณและสนับสนุนอย่างยิ่ง ที่เราต้องพยายามเข็นให้ติด ต้องให้การแก้ไขจากผู้มีหน้าที่
สัมฤทธิ์ผลจนได้ จะช้า-เร็ว ก็จะร่วมมือช่วยกันเท่าที่มีโอกาส ถ้าเอาสามกระทู้ที่กล่าวถึงมารวมกัน
พลังขับดันจะทำให้ปัญหานี้แก้ได้ ในไม่ช้า
ท่านใดเข้ามาเจอ ช่วยกันดันด้วยนะครับ

เกลียดตำรวจของไทย

ประตู 109 มอ. มันจอดซ้อนสอง เพื่อรอให้อีกคนลงไปทำอะไรไม่รู้ ทั้งที่ถ้ามันขยับไปข้างหน้าแค่ 10 เมตร ก็มีที่ว่างให้เข้าไปจอดได้ แต่แม่งกลัวเดินไกล อยากให้สิบล้อเสยตูดแม่งจริง

Mr.No

อ้างจาก: Pong77 เมื่อ 00:45 น.  02 ก.ย 57
ท่าน โน เขียนมาซะมากมาย อ่านแล้วไม่รู้จะแนะนำอะไรเพิ่ม เพราะมันสมบูรณ์มากในเนื้อหา
ขอขอบคุณและสนับสนุนอย่างยิ่ง ที่เราต้องพยายามเข็นให้ติด ต้องให้การแก้ไขจากผู้มีหน้าที่
สัมฤทธิ์ผลจนได้ จะช้า-เร็ว ก็จะร่วมมือช่วยกันเท่าที่มีโอกาส ถ้าเอาสามกระทู้ที่กล่าวถึงมารวมกัน
พลังขับดันจะทำให้ปัญหานี้แก้ได้ ในไม่ช้า
ท่านใดเข้ามาเจอ ช่วยกันดันด้วยนะครับ

สวัสดีครับท่าน pong77

ผมเคยเข้าร่วมสัมมนา..เสวนา..ประชุม ฯลฯ สารพัน เกี่ยวกับเรื่องของปัญหาสังคม  แต่สุดท้ายสิ่งที่ผมพบก็คือ  ทุกอย่างมักจบลงเมื่องานประชุมเลิก!

ใช่ครับ..ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้   แทบจะทุกทีไป

ในการจัดสมัชชามีคนเข้าร่วมประมาณ 200 คน  ทุกคนแสดงความเห็นสลับไปมา...สุดท้าย ก็รับรู้กันแค่ 200 คน กลับบ้านไป ต่างคนก็ต่างดำเนินชีวิตตามปกติ!

หลัง ๆ มานี่ผมเลือกที่จะเขียนหรือระบายอะไรลงในบอร์ดสาธารณะหรือพวกโซเชียลมากกว่า...เพราะมันกระตุ้นให้มีคนติดตามอย่างน้อยก็มากกว่า 200 คน

ที่สำคัญ...การเขียนสิ่งต่างๆ ลงบนกระดานพวกนี้มันยังคงอยู่ 2-3 ปีก็ยังมีคนขุดกระทู้มาต่อความเห็นได้สบาย ๆ 

แต่การสัมมนา..ขนาดหลายคนให้ความเห็นดี ๆ ในการเสวนาในที่ประชุม สุดท้ายความเห็นดีๆ  เหล่านั้นและทุกคนก็เลือนไปหลังจากแค่เจ้าหน้าที่อาคารปิดแอร์ปิดไฟได้ไม่กี่นาที!

ผมว่า   เวทีกิมหยงดอทคอมนี่ละครับเจ๋ง!

เขียนไปเถอะครับ...อยากคิดอยากระบาย  ..อย่างผม ผมชอบเขียนลงไป แม้นไม่มีใครตอบ แต่เชือเถอะว่ามีคนแอบมาเฝ้าและติดตามแยะ

อย่างน้อย เทศบาล...ตำรวจ..หน่วยงานรัฐต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้าฯ ปะปา ฯลฯ  พวกนี้  เปิดอ่านทุกวัน ส-เหอเหอ ส-เหอเหอ


..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.


พลพล

รบกวนตีเส้นขาวให้ชัดๆ หน่อย เพราะทุกวันนี้ เส้นมันเลือนๆ สีเดียวกันกับพื้นถนนแล้ว ทำให้พวกที่ใช้รถใช้ถนน ที่ไม่เคารพกฎ ขับรถเข้าไปจอดล้ำในช่องจอดมอเตอร์ไซค์ตรงแยกไฟแดงต่างๆ ทำมึนๆ อ้างว่าไม่รู้ ไม่เห็นได้

เบลอมัวเลือน

ขอข้อยกเว้นนิดหนึ่ง นะครับ เปิดใจให้กว้าง กรณี รถติดข้ามสี่แยก โดยเฉพาะ ช่วงระหว่างไฟแดงที่สั้นมากๆ เช่น แยกสามชัยตัดกับศุภสารรังสรรค์ มุ่งหน้า มอ บางครั้งไฟเขียว รถข้างหน้าติด รถคันถัดๆ มาขยับไม่ได้ จนกว่าข้างหน้าจะเคลื่อนได้ ทั้งที่กลายเป็นแดงแล้ว รถบางคัน ยอมที่จะไม่ฝ่าไฟแดงให้พ้นๆไปเพราะอีกฝั่งเขียวแล้ว เขาจะต้องการเคลื่อนที่เหมือนกัน ผลคือ อาจจะได้ เหมือนภาพข้างบน ที่กลายเป็นจอดล้ำเส้น ไปอยู่ในช่องจอดจักรยานยนต์ ทั้งที่เป็นเพราะ เขาไม่ยอกมฝ่าไฟแดงออกไปเท่านั้น

โลก มันมีมากกว่าที่เห็น

แต่คนที่อยู่นอกเหนือข่ายดังกล่าว และควบคุมได้ ก็ไม่สมควรที่ะล้ำเส้น เป็นเรื่องถูกต้องแล้วครับ

w_2005

อ้างจาก: เบลอมัวเลือน เมื่อ 09:59 น.  06 ก.ย 57
ขอข้อยกเว้นนิดหนึ่ง นะครับ เปิดใจให้กว้าง กรณี รถติดข้ามสี่แยก โดยเฉพาะ ช่วงระหว่างไฟแดงที่สั้นมากๆ เช่น แยกสามชัยตัดกับศุภสารรังสรรค์ มุ่งหน้า มอ บางครั้งไฟเขียว รถข้างหน้าติด รถคันถัดๆ มาขยับไม่ได้ จนกว่าข้างหน้าจะเคลื่อนได้ ทั้งที่กลายเป็นแดงแล้ว รถบางคัน ยอมที่จะไม่ฝ่าไฟแดงให้พ้นๆไปเพราะอีกฝั่งเขียวแล้ว เขาจะต้องการเคลื่อนที่เหมือนกัน ผลคือ อาจจะได้ เหมือนภาพข้างบน ที่กลายเป็นจอดล้ำเส้น ไปอยู่ในช่องจอดจักรยานยนต์ ทั้งที่เป็นเพราะ เขาไม่ยอกมฝ่าไฟแดงออกไปเท่านั้น

โลก มันมีมากกว่าที่เห็น

แต่คนที่อยู่นอกเหนือข่ายดังกล่าว และควบคุมได้ ก็ไม่สมควรที่ะล้ำเส้น เป็นเรื่องถูกต้องแล้วครับ

เยี่ยมครับ เราต้องมองให้หลายๆมุมครับ

Mr.No

ปฎิรูปหาดใหญ่...ปฎิวัติตัวเรา! 2 ตอน :  ขยะกับจิตสำนึกของหาดใหญ่


ถ้าใครจำได้ว่า ก่อนหน้านี้...จากกรณี หม่อมหลวงปนัดดา ท่านออกมาเปรยเรื่อง  นายก. อบจ แห่งหนึ่ง ใช้งบประมาณที่เป็นภาษีอากรประชาชนไปละเลงด้วยการนั่งเครื่องบินเฟริส์คลาส..แถมด้วยการเปิดไวน์ขวดเป็นแสน !

เรื่องนี้เล่นเอา บรรดา นายหัวอบจ. ร้อนผ่าว ๆ บางแห่งถึงกับออกอาการสันหลังไม่ดี ด้วยการแอ๊คติ้งใสชุดดำโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน...  ไม่เว้น  อบจ. สงขลา บ้านเราด้วย

เรื่องนี้...ไม่ใช่แค่เรื่อง นั่งเครื่องบินหรือล่อไวน์ขวดละแสน เท่านั้น แต่การลุกขึ้นมาครั้งนี้ คือการเปิดประเด็นการต่อต้านสิ่งที่กำลังจะเกิดหรืออาจเกิด คือเรื่องการเตรียบยุบ  องค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ทางฝ่ายปกครองดูแล้วว่า มันซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ

ตัวอย่างข้างต้นก็คงพอมองเห็นว่า... การริอ่านจะอาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองนั้น  นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถแล้ว สิ่งที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้ก็คือ  ความสะอาด,โปร่งใส และมีจิตใจเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง

เพราะหลักคิดง่าย ๆ ว่าถ้าการขันอาสาเข้ามาทำงานเพื่อชาติ..แต่จำต้องลงทุนลงแรงไปนับหลายสิบล้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งการเสียสละ  ... ซึ่งเอาเข้าจริง เงินจำนวนนั้นแทบไม่ต้องอาสา..ถ้าจะนำเงินที่จะใช้หาเสียงเลือกตั้งเหล่านั้นไปบริหารเพื่อกิจการสังคมส่วนรวมโดยตรง ก็คงพอจะสนองตอบจิตอาสาของเค้าได้อย่างเต็มที่แล้วมิใช่หรือ?

เพราะฉะนั้น ...เมื่อพบว่าคนเหล่านี้ลงทุนมากขนาดนั้น....คงมีคำตอบในใจว่า  ต่อไปเค้าจะคิดอ่านประการใดต่องบประมาณแผ่นดินหรือฉวยโอกาสในการนั่งตำแหน่งนั้นแสวงหาประโยชน์ตอบแทนหรือไม่?


เกริ่นเรื่องนี้...เพราะเห็นเป็นประเด็นน่าสนใจและให้ติดตามกันต่อไปว่า อนาคตของ "อบจ." จะดำรงอยู่หรือสิ้นสุดลง ...


[attach=1]

วกมาเรื่องที่อยากนำเสวนาต่อ  เพราะ เมื่อ 2 วันก่อน เทศบาลนครหาดใหญ่ ท่านส่งรถกระจายข่าวออกไปตามถนนหนทาง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชน นำถุงขยะมาวางไว้ตามถนนตามกำหนดเวลา ที่ทางเทศบาลฯ ระบุ เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บขยะ  ถือเป็นเรื่องแปลก..เพราะนโยบาย "เมืองไร้ถังขยะ" แบบนี้ ผมก็พึ่งจะเห็น

เคยเห็นแต่ "ตลาดไร้ถังขยะ" แบบที่สมุทรสงครามนั่นเค้าทำกัน...นั่นก็แปลก  แต่สุดท้ายก็เป็นเฉลยว่า ทุกวันจะมีรถมาเก็บขยะเฉพาะในตลาดนั้น!

แต่ถ้าจะขยายให้เป็น "เมืองปลอดถังขยะ" ต้องบอกว่า มีที่เทศบาลนครหาดใหญ่ที่เดียวในโลกละมัง!

ตัวอย่างของนโยบายบางอย่าง..สะท้อนให้เห็นถึงภาวะวิสัยของผู้นำชุมชน..หรือท้องถิ่นนั้นว่า สะท้อนต่อปัญหาและมีกึ๋นในการแก้ปัญหาชุมชน,ท้องถิ่นอย่างไร?


[attach=2]
เลยจากหาดใหญ่ไปซัก 20 กิโลเมตรเมื่อเริ่มเข้าเขตเทศบาลนครสงขลา... ที่นั่นตอนนี้กำลังเป็นเมืองที่รณรงค์เรื่อง ขยะ และการพัฒนาให้เทศบาลนครสงขลาเป็นเมืองที่มีคาร์บอนต่ำ  ดังนั้นแนวคิดในการรักษ์โลก..รักษ์เมือง ที่นั่นก็มีนโยบายที่ค่อนข้างชัดเจนและเอาจริงเอาจัง

หลายชุมชน..เค้าให้ผู้นำชุมชน ช่วยกันก่อร่างสร้างแนวคิด  การคัดแยกขยะ เช่นโครงการรณรงค์ "ธนาคารขยะ" เพื่อให้ปริมาณขยะคงเหลือที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้นั้นเหลือน้อยลงจากเดิม

และที่สำคัญใครที่เข้าไปในเขตเทศบาลนครสงขลา ตอนนี้โปรดทราบว่า ขืนมักง่าย ทิ้งขว้างขยะ.หรือขี้บุหรี่ หรือสารพันลงบนที่ถนนหนทางหรือที่สาธารณะไม่ยอมทิ้งลงถังขยะละก้อ ที่นั่น  เค้า "จับ..ปรับ!" กันจริงจัง

เค้าเอาจริง..เพราะ ต้องการให้ เทศบาลของเค้า เป็นเมืองน่าอยู่ และสอดคล้องกับนโยบายแม่ คือการเป็นเมืองที่ช่วยกันทำให้ปริมาณคาร์บอนมอนอคไซด์ ที่สูดดมกันทุกวันมันลดลง และลูกหลานวันหน้าจะได้เกิดมา "ครบ 32!"

แต่กระนั้น..ปัญหาปริมาณขยะ ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด กับกรณี บ่อขยะเกาะแต้ว ก็ยังเป็นปมปัญหาให้ สงขลา ต้องแสวงหาหนทางกำจัดขยะในแนวทางที่ฉลาดและยั่งยืนมากกว่าที่เป็นอยุ่

หันมาที่หาดใหญ่... เค้าก้าวหน้าไปกว่านั้น  เพราะดันสนับสนุนให้ คนหาดใหญ่ ร่วมใจกันทิ้งขยะมันข้างถนนนั่นละ!

ไม่รู้ใครไปสอนท่านไพร..หรือหน้าไหนที่เอาแนวคิดการแก้ปัญหาเรื่อง ขยะ ด้วยการมา บอกให้ เอาถังขยะออกซะ  ..เราก็จะไม่เห็นขยะและเมื่อไม่เห็นถังขยะคนก็จะไม่ทิ้งขยะ!!!???

ดังนั้น...เราจึงเห็นว่า เมืองหาดใหญ่จึงกลายเป็นเมืองที่ หาถังขยะได้ยากที่ยิ่งกว่าพวกเทศกิจ จริงๆ
นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นชาวต่างชาติอย่างพวกมาเลย์มักง่าย (บางคน) เดินกรวดกร่างแคะขี้ฟันบนถนนล้งเล้ง แถมถุยขากดีดขี้บุหรี่ลงบนถนนไทยได้อย่าง สง่างาม  ไม่นับพฤติกรรมอหังการ์จอดรถซ้อน ..จะขึ้นจะลงกินโน่นนี่หน้าร้านอาหารดังที่ไหนในหาดใหญ่ได้สะดวก 

เรื่องเหล่านี้.... มาเลย์ชนไม่ใช่คนโง่  เพราะเค้ารู้ว่าจะทำเรื่องห่วย ๆ แบบนี้ได้ที่ไหนบ้าง  ยกเว้นบ้านเค้าและเพื่อนบ้านอย่างสิงค์โปร์

ก่อนหน้าถ้าใครติดตามเรื่อง "ขยะ" ของหาดใหญ่ ก็จะเห็นว่า มีหลายข่าวที่บอกว่า หาดใหญ่มีปัญหาเรื่องขยะมากมาย เพราะก่อนหน้าเราใช้วิธีการฝังกลบ แต่เนื่องจากปริมาณขยะมหาศาล ทำให้ฝังก็ไม่ได้สุดท้ายเอาไปทิ้งให้กลายเป็น "ภูเขาขยะ" ส่งกลิ่นเหม็นและสร้างปัญหามลภาวะจนทุกร้องเรียน และมีปัญหาระหว่าง เทศบาลกับเทศบาลใกล้เคียงอย่างควนลัง

หาดใหญ่ ...มีการประกาศจัดสร้างโรงงานเผาขยะเพื่อกระแสไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันแล้วเสร็จ แนวคิดคือการนำขยะจากภูเขาเหล่านั้นทะยอยไปเผา และพลังงานที่ได้ก็นำไปผลิตกระแสไฟฟ้าขายต่อไป  ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี และควรจะได้มีการดำเนินการไปนานแล้วหากไม่ประสบปัญหา ต่อรองผลประโยชน์กันระหว่างเทศบาลต่อเทศบาล กรณีการปล่อยวัตถุดิบคือขยะเอาไปเผา

เทศบาลควนลังก่อนหน้านี้กลายเป็นเมืองรับขยะ เพราะรับขยะที่หาดใหญ่ไปทิ้งจนเบอะบาน..เมื่อมีโรงงานเผาขยะ ก็ต้องต่อรองให้นอกจากหาดใหญ่จะเอาขยะทีตัวเองไปกองไว้เอาไปเผา ก็สมควรจะนำเอาขยะของควนลังรับไปเผาให้ด้วย รวมถึงการต่อรองผลประโยชน์อื่นๆ  ฯลฯ

เรื่องนี้จะจบลงด้วยการ ได้เผาจริงกันเมื่อไหร่..ก็ต้องติดตามหรือวานผุ้ทราบความคืบหน้าช่วยแจ้งให้ทราบอีกที...


[attach=3]
มาเรื่อง "ขยะ" จากกรณีเปรียบเทียบ....ถ้าใครเคยไปเยือนประเทศเยอรมัน ซึ่งถือเป็นต้นแบบของประเทศที่มีระบบการจัดการขยะดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก  .อย่างแรกที่คุณจะพบก็คือ คุณจะพบถังขยะในแทบจะทุก ๆ ที่ ๆ มีมนุษย์อยู่


และถังขยะที่พบนั้นต่าง หลากสีสันหลายแบบ ซึ่งเป็นไปตามหลักว่าด้วยการให้ประชาชน ทิ้งขยะให้ถูกถัง...ถูกประเภท!

ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ประเทศนี้กลับไปเมื่อซัก 100 กว่าปีก่อน ปัญหาเรื่อง "ขยะ" กลายเป็นเรื่องที่ทำให้คนเยอรมัน ตระหนักและรู้ถึงพิษภัย จากกรณีการสร้างภูเขาขยะ และก่อให้เกิดปัญหามลพิษรุนแรง และน้ำเสียจากขยะได้ซึมเข้าสู่ระบบน้ำที่ใช้ผลิตน้ำดื่ม ผลพวงนี้ทำให้ทั้งคนเยอรมันและสัตว์เลี้ยงป่วยและตายเพราะโรคอหิวาต์และมลพิษเหล่านี้นับแสนคน!

"ความสูญเสีย" ทำให้คนประเทศนี้ กลายเป็นคนมีวินัย..และใส่ใจเรื่องของ "ส่วนรวม" อย่างยิ่งยวด ด้วยตระหนักว่า เรื่องของส่วนรวม สุดท้ายก็จะกลายเป็นเรื่องของเราในไม่ช้า

พัฒนาการการกำจัดขยะในทางสร้างสรรค์ จนมาถึง ค.ศ 1972 ประเทศนี้จึงออกกฎหมายเกี่ยวกับ ขยะอย่างเป็นทางการซึ่งเป็นกฎหมายที่รองรับและสนับสนุนการนำขยะใช้แล้วกลับไปทำการผลิตใหม่อย่างเต็มตัว

จึงไม่แปลกที่ประเทศนี้คือต้นแบบของการจัดการด้านขยะและมลพิษได้ดีในอันดับต้น ๆ ของโลก

เด็กอนุบาลของเยอรมัน จะเรียนรู้การแยกแยะสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ดีพอ ๆ กับการแยกออกว่า ขยะแบบใดควรทิ้งที่ใด นั่นทำให้เด็ก ๆ ประเทศนี้ทุกคนรู้จักการคัดแยกขยะ ได้ตั้งแต่เด็กจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

แค่เด็กในห้องคนใด ทิ้งขยะผิดประเภท ..ขยะที่ผิดประเภทนั้นจะถูกรื้อค้นออกมาและสืบสาวหาต้นตอคนทิ้งจนได้ว่า  "ใครเป็นคนทิ้งขยะผิดประเภทเหล่านั้น"

นี่ทำให้เด็ก เยอรมันกลายเป็น "สำนึก" ว่า หากตัวเองมักง่ายเพียงแค่แอบทิ้งเศษลูกแอปเปิ้ลลงในถังขยะสำหรับพลาสติก เค้าจะถูกคนตามหาตัวและตำหนิจนรู้สึกผิดและอับอายได้แล้ว...มิใยที่จะนึกไปถึงว่า  หากทิ้งขยะลงบนถนน จะถูกประชาชนเหยียดหยามได้เพียงใด


สิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝัง..จากเด็กสู่ผู้ใหญ่ ....และจากรุ่นสู่รุ่น
ขยะในประเทศนี้ จะถูกประชาชนช่วยคัดแยกในระดับหนึ่งแล้ว อาทิ  ขยะพวกที่สามารถรีไซเคิลได้ หรือขยะจำพวกของสดหรือไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ก็จะถูกแยกไปใส่ในถังที่ถูกต้อง
ขยะทุกชนิด เยอรมันนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างที่ธรรมชาติผู้เสียสละ..ต้องสรรเสริญ


[attach=5]
[attach=4]
ขยะสด(Bio Waste)ที่กำลังถูกนำไปผลิตเป็นปุ๋ย

ขยะสด..ถูกนำเปลี่ยนไปกลายเป็น ปุ๋ยอย่างดี แพ็คถุงส่งจำหน่าย..  สร้าง "รายได้"
ขยะพลาสติก,ขวดแก้ว กระดาษ ฯลฯ  ถุกนำไปแปรรูปตามต้นแบบต่าง ๆ ....สร้าง "รายได้"
ส่วนที่ใช้ไม่ได้แล้ว ถูกนำไปเผาผลิตไฟฟ้า,ผลิตน้ำมัน...นอกจากได้พลังงานแล้ว สุดท้ายที่เหลือยังได้ ผงยิบซั่มจากการเผา เอาไปสร้าง "รายได้"
นี่ไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใด เยอรมนีจึงมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง..กว่าแทบทุก ๆชาติ


ประเทศไทย...โดยเฉพาะ หาดใหญ่  คำว่า "ขยะ" คือทุกอย่างที่ไม่เอา

ดังนั้น บ้านเราแค่การเอาทุกอย่างที่ไม่ต้องการใช้ใส่รวมในถุงดำเอาไปทิ้ง นั่นคือนิยามของ "ขยะ" และถือว่าได้ทำอย่างหรูแล้ว

ก่อนหน้า...เรื่องการคัดแยกขยะ  ซึ่งทั่วโลกถือเป็นเรื่องดีมาก  เมืองไทยก็รับแนวคิดนี้  แต่ ปัญหาก็คงคล้ายกับที่ พลเอกประยุทธ์ ท่านพูดเมื่อไม่กี่วันว่า

"รณรงค์กันจะเป็นจะตายให้แยกขยะ...สุดท้ายพวกเก็บขยะมันก็เอาไปรวมกันอยู่ดี!" 

ผมไม่รู้ว่า  นายกฯเล็กหาดใหญ่ ได้ยินท่านพูดคำนี้หรือปล่าว เลยตีความว่า  จะมีถังขยะวางให้เสียงบไปทำไมเพราะสุดท้ายเสียเวลาคนเก็บที่ต้องไปเก็บไปดึงเอาจากในถังขยะ (แถมอาจถูกลักถังอีก)

สู้ให้กองมันบนถนนนั่นละ...ไม่ต้องคัดต้องเคิดขยะให้เสียเวลา เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็โกยใส่รถไปเผาอยู่ดี!

แนวคิดแบบนี้...... ดีหรือไม่  เห็นที ท่านประยุทธ์ต้องลงมาถามด้วยตัวเองว่า  "ที่ผมพูดไปน่ะ...คุณหมายถึงทำแบบนี้ จริง ๆ อ่ะหรือ?"
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

Mr.No

ปฎิรูปหาดใหญ่...ปฎิวัติตัวเรา! 2 ตอน :  ขยะกับจิตสำนึกของหาดใหญ่ (จบ)


ผมเขียนเรื่อง "ขยะ" เพราะมาถึงเรื่องที่จะทำให้หลายท่าน ได้เข้าใจว่า  เราจะสามารถ เป็น  ฅ.ฅน พลเมืองไทยได้อย่างสง่าและคุ้มค่า เพราะจิตสำนึกเพื่อ "บ้านเมือง" ทำได้ด้วยเรื่องง่าย อย่างทีว่า โดยเฉพาะ สองคำคือ "วินัย" และ "เสียสละ"

แนวคิดการปฎิรูปการขับขี่และปฎิบัติตามกฎจราจรที่มีผู้ตั้งกระทู้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "วินัย" ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศที่ก้าวหน้า

และเมื่อ "วินัย" รวมเข้ากับ การ "เสียสละ" สองอย่างนี้คือพลังทีทำให้เรา ๆ ท่าน ๆ นั้นกลายเป็น สัตว์โลกที่มีค่า

การรู้จัก "ขยะ" คือบทฝึกหัดในการสอนให้เรา เปลี่ยนความคิดและมองเห็น "ขยะ" คือ "ของมีค่า" ที่เพียงแต่รอเวลาปรับแต่งและเปลี่ยนแปลง

[attach=1]
ขยะสด,มูลสัตว์ ทุกชนิด.... เมื่อรวมกัน   เราได้ ปุ๋ยชั้นดี จะปุ๋ยหมักผ่านกระบวนการอบแห้งหรือแค่ การทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ หรือก้าวหน้าหน่อยหากมีปริมาณมากพอเราอาจได้ แก๊สชีวภาพใช้ในชุมชน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนสร้างมูลค่าได้แทบทุกบ้าน


หรือแค่คนหาดใหญ่คนไหนอยาก "รวย" แบบฝรั่งเริ่มคิดเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ด้วยการตั้งบริษัทฯ รับซื้อ น้ำมันเหลือใช้( ปัจจุบันมีผู้เริ่มทำหลายรายแล้ว), เศษอาหารสดรายวัน จากร้านอาหาร,ร้านค้าหรือบ้านเรือน โดยมีเงื่อนไขในการรับซื้อคือ ขยะสดเหล่านั้นต้องปราศจากเศษวัสดุอื่นแอบแฝงอื่น

ทุกวันจะมีรถบรรทุกมารับเศษอาหารเหล่านี้ เพื่อนำเข้าโรงงานแปรรูปเป็น "ปุ๋ย" ผ่านกระบวนการบดและใช้ความร้อนจนกระทั่งมันยุ่ยแห้งกลายเป็น ปุ๋ยชั้นดี บรรจุกระสอบส่งขาย (เรื่องนี้ ที่ร้านอาหาร และโรงแรมในญี่ปุ่นก็ทำและลงทุนทำเองเพราะอาหารเหลือใช้ในโรงแรมมีปริมาณมาก ..จึงนำเศษอาหารมาผลิตเป็นปุ๋ยและส่งขายหรือแจกจ่ายให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชและส่งขายให้ทางโรงแรมในราคาถูกเช่นกัน)


ที่ขอนแก่น.. เอาขยะไปคัดแยก ผลิตเป็นน้ำมันได้...แม้นจะยังน้อย แต่ก็กำลังต่อยอดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้า ถือว่า ก้าวหน้ากว่าหลายเทศบาลในประเทศไทย

"ขยะ" จึงไม่ใช่ของไร้ค่า อย่างทีคิด เพียงแต่เปลี่ยนวิธีคิด และเพิ่มภูมิความรู้เข้าไปอีกหน่อย  ขยะก็จะกลายเป็น "ของมีค่า"

เริ่มจากที่ตัวเรา....  "คิด"  ก่อนจะ "ทิ้ง"  

[attach=2]
ถึงแม้น ขยะที่เราแยกให้แล้ว   ...เทศบาลยังไม่รุ้ว่าจะเอาไปสร้างประโยชน์ได้อย่างไร  ก็เก็บไว้ขายหรือแจกจ่ายลดภาระให้แก่คนที่ลำบากกว่าที่ไม่ต้องไปรื้อค้นขยะหาของมาขาย
อาหาร,ของสด  อดทน..หากขยันและทำต่ออีกนิด  เราก็จะลดปริมาณขยะ  และช่วยประหยัดเงินซื้อปุ๋ยมาใส่ต้นไม้หรือพวกน้ำยาดับกลิ่นห้องน้ำ ฯลฯ

ดังนั้น ...เมื่อจำเป็นจะต้องเอาขยะไปกองไว้ข้างถนน   หากช่วยกันลดปริมาณและเสียสละเวลาคัดแยกเพื่อการต่อยอดประโยชน์อย่างอื่นที่บอก ทำได้ดังนี้  ก็ต้องซูฮกและนับถือว่า ได้ทำหน้าที่ พลเมือง อย่างน่ายกย่องแล้วละครับ.





..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

เห็นแล้วเพลีย

ถามจริงๆเถอะมีนักกินเมืองตัวไหนของไทยที่มันเข้ามาเพื่อต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้นจริงๆมั่ง เงินเดือนการเมืองกระจิ๊ดริ๊ด แต่มันรวยกันเป็นร้อยล้าน

เอาง่ายๆ ผมอยากรู้ว่าไอ้พวกที่เป็นนักกินเมืองพวกนี้ ขับรถอยู่บนท้องถนนเหมือนเราๆ แล้วเห็นรถมาหลังปาดขึ้นไปจอดข้างหน้าหรือรถที่มันจะเลี้ยวแล้วมันไม่ยอมเปิดไฟเลี้ยว เค้ามีความรู้สึกอย่างๆรครับ เฉยๆหรือเป็นเดือดเป็นร้อน?

ถ้าคำตอบคือเฉยๆนี่ก็คือจบชีวิตแล้วครับกับการที่คุณจะเข้ามาเป็นตัวแทนเพื่อพัฒนาบ้านเมือง

แต่ถ้าคำตอบคือเป็นเดือดเป็นร้อน แต่ผมยังไม่เห็นอะไรที่คุณคิดมาเพื่อแก้ปัญหาพวกนี้สักที ทั้งๆที่คุณก็ควรจะมีอำนาจในการทำงานไม่ใช่รึ อย่างน้อยก็ไปประสานงานกับพวกหัวปิงปองก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้มายืนจับหมวกเด็กๆไปวันๆ

พวกองค์การ อบต อบจ นี่เห็นสมควรให้ยุบเป็นอย่างยิ่ง ทำงานเก็บภาษีชาวบ้านซ้ำซ้อน แถมเอาพวกวันๆนั่งเล่นนกกรงหัวจุกมาเป็นนายก แถวบ้านผมคนเป็นนายกไม่ได้รู้แมวอะไรเลย อาศัยว่าเป็นผู้สืบทอดจากนายกคนเดิมซึ่งขึ้นไปกินระดับจังหวัดต่อไป ป้ายสวนสาธารณะก็มีรูปตัวเองโชว์หลา ทำยังกะออกเงินสร้างเองยังไงยังงั้น

เห็นแล้วมันทุเรศลูกกะตากับวงการนี้ในบ้านเมืองเราจริงๆ
ประชาธิปไตยที่ดีที่สุด คือ การไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

เกลียดโจร

ส่วนมากหมาเพขับรถ เลยเส้น ฝ่าไฟแดง จอดที่ห้ามจอด มันหมาเพที่ขับ มี % น้อยที่บางคนบอกว่า เขาไม่อยากฝ่าไฟแดง มันกลายเป็นข้ออ้างให้หมาพวกนั้น

Pong77

อ้างจาก: เห็นแล้วเพลีย เมื่อ 10:43 น.  08 ก.ย 57
ถามจริงๆเถอะมีนักกินเมืองตัวไหนของไทยที่มันเข้ามาเพื่อต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้นจริงๆมั่ง เงินเดือนการเมืองกระจิ๊ดริ๊ด แต่มันรวยกันเป็นร้อยล้าน

เอาง่ายๆ ผมอยากรู้ว่าไอ้พวกที่เป็นนักกินเมืองพวกนี้ ขับรถอยู่บนท้องถนนเหมือนเราๆ แล้วเห็นรถมาหลังปาดขึ้นไปจอดข้างหน้าหรือรถที่มันจะเลี้ยวแล้วมันไม่ยอมเปิดไฟเลี้ยว เค้ามีความรู้สึกอย่างๆรครับ เฉยๆหรือเป็นเดือดเป็นร้อน?

ถ้าคำตอบคือเฉยๆนี่ก็คือจบชีวิตแล้วครับกับการที่คุณจะเข้ามาเป็นตัวแทนเพื่อพัฒนาบ้านเมือง

แต่ถ้าคำตอบคือเป็นเดือดเป็นร้อน แต่ผมยังไม่เห็นอะไรที่คุณคิดมาเพื่อแก้ปัญหาพวกนี้สักที ทั้งๆที่คุณก็ควรจะมีอำนาจในการทำงานไม่ใช่รึ อย่างน้อยก็ไปประสานงานกับพวกหัวปิงปองก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้มายืนจับหมวกเด็กๆไปวันๆ

พวกองค์การ อบต อบจ นี่เห็นสมควรให้ยุบเป็นอย่างยิ่ง ทำงานเก็บภาษีชาวบ้านซ้ำซ้อน แถมเอาพวกวันๆนั่งเล่นนกกรงหัวจุกมาเป็นนายก แถวบ้านผมคนเป็นนายกไม่ได้รู้แมวอะไรเลย อาศัยว่าเป็นผู้สืบทอดจากนายกคนเดิมซึ่งขึ้นไปกินระดับจังหวัดต่อไป ป้ายสวนสาธารณะก็มีรูปตัวเองโชว์หลา ทำยังกะออกเงินสร้างเองยังไงยังงั้น

เห็นแล้วมันทุเรศลูกกะตากับวงการนี้ในบ้านเมืองเราจริงๆ
สภาพที่เราพบเห็นมันเป็นอย่างที่ท่านว่า ชาวบ้านทำมาหากินตาดำๆอย่างเราๆไม่มีอำนาจ
จะไปโวยวายอะไรได้ ทั้งๆที่ระบบการปกครองท้องถิ่นก็มีช่องทางที่เราจะเสนอให้เขานำไปพิจารณาแก้ไข
แต่เดือดร้อนลำบากกันแบบดาวกระจาย โวยวายไป เขาก็ไม่ได้ยิน เราก็รวมกันตั้งข้อปัญหาให้เป็นเอกภาพ
ในกลุ่มมวลชน ยิ่งในโซเชียลมิเดียที่พวกเราเข้ามาบ่น-ระบาย-ด่า-ฟ้อง-ตัดพ้อ-กันแบบต่างคนต่างส่งมา
ไม่มีพลังขับเคลื่อน มันต้องรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แนวทางเดียวกัน เสียงจะดังไปถึงผู้รับผิดชอบที่สูงขึ้นกว่า
กรุณาอย่าพลาดในการสนับสนุนกระทู้ของคุณ-กลุ่มรณรงค์ปฎิรูปการขับขี่-นะครับ
โมเดลของเขานี้-อาจจะ-เป็นต้นแบบที่สำคัญให้โครงงานต่อๆไป ก่อรูปร่างขึ้นเพื่อสังคมของเรา....

ครูเสื้อเหลือง

ต้องปฏิรูปที่ระบบการศึกษาให้มีคุณภาพทัดเทียมนานาอารยประเทศก่อน ประเมินเกินประมาณ เลิกเสียทีเถอะ
ครูที่ดีมีอุดมการณ์ ทำงานไม่หวังเงิน ตำแหน่ง และอำนาจ ในสังคมนี้ยังมีอีกมั้ย ปฏิรูปครูก่อน แล้วค่อยไป
ปฏิรูปนักเรียน ปลูกจิตสำนึกให้มีจิตสาธารณะ ระบอบทักษิโณมิกส์ มันฝังรากลึก จนยากจะรักษาเยียวยา
เหมือนคนป่วยอาการโคม่า น่าสงสารประเทศไทยจริงๆ เป็นกำลังใจให้ คสช. และรัฐบาลนี้ ที่ทำงานอย่างเต็มที่
รวดเร็ว และยั่งยืน มองการณ์ไกล และ มีวิสัยทัศน์ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่า ประโยชน์ส่วนตน ส.สู้ๆ

Zenki

เยี่ยมมากเลยคับทุกความคิดเห็นที่กล่าวมา แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นกก็ต้องช่วยกันทำจากเล็กๆคับไปใหญ่ เพราะคนทุกวันนี่เห็นแก่ตัวกันเยอะ

Mr.Yes

ร่วมด้วยช่วยกัน วันนี้ รัฐบาล คสช. แถลงผลงานที่ผ่านมา
รอติดตามดูว่า ทำผลงานอะไร ไปถึงไหน? แล้วย้อนกลับมา
มองเมืองหาดใหญ่บ้านเรา ว่าได้สนองนโยบาย สร้างผลงาน
ไปถึงไหนแล้วเหมือนกัน ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว พวกท่าน
ทำอะไรไปถึงไหนแล้ว ย้ำเตือนกันอีกครั้ง ไม่เมา ไม่ขับ
ขอให้โชคดี สวัสดีปีใหม่ 2559 ล่วงหน้าครับ... ส.ยกน้ิวให้

kowit หนามบิน

ผมมาทำงานที่สงขลา หาดใหญ่..ผ่านมา................9...........ปีแล้ว........การจอดรถในที่ห้ามจอด....จอดซ้อนคันแถวหน้าโรงเรียน..2-3 แถว..ถนน 4 เลนเหลือเลนเดียว..รถก็ติดสิครับ...ในจังหวัดสงขลา...มีเหมือนเดิม....ไร้สำนึก.....เดินไกลอีกนิด..ไม่เป็น..กลัวจราจรไม่มีงานทำ...ต้องมาจัดรถจอดหน้าโรงเรียนทุกวัน...ไม่พัฒนาจริงๆ...แต่ก็ชินแล้ว...หงุดหงิด..เลี่ยงได้จะไม่ผ่านเวลานั้นเช้า-เย็นหน้าโรงเรียน...