ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

มหาดไทยเปิดช่องใช้ 'เงินสะสม' อปท. สนับสนุนนโยบายรัฐ

เริ่มโดย ฅนสองเล, 12:34 น. 02 มี.ค 59

ฅนสองเล

ที่มา สำนักข่าวอิศรา
http://www.isranews.org/thaireform/thaireform-documentary/item/45165-dla1.html

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นหน่วยงานรัฐที่มีแหล่งรายได้ที่สำคัญ จากภาษีอากรที่จัดเก็บเอง ภาษีอากรที่ได้รับการจัดสรร และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ซึ่งเมื่อได้มีการดำเนินการใช้จ่ายเงินตามข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้ว จะมีเงินเหลือจ่ายจำนวนหนึ่งที่ตกเป็นเงินสะสม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำเงินสะสมไปใช้จ่ายในกิจการด้านบริการชุมชน และสังคม หรือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยการอนุมัติของสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นได้นั้น

แต่ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา หน่วยงานตรวจสอบ อย่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีข้อทักท้วงเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ใช้จ่ายเงินสะสมโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวม บางกรณีมีการใช้จ่ายเงินในลักษณะสุ่มเสี่ยงจะขัดต่อกฎหมาย

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ กระทรวงมหาดไทยได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงแนวทางที่จะดำเนินการเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินสะสมไปใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2559

โดยกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสะสมอย่างเข้มงวดรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะใช้จ่ายเงินสะสมได้ จะต้องเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนไม่อาจรอไปตั้งในงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ ดังนี้

- โครงการที่ดำเนินการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่เป็นการใช้จ่ายในกิจกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์หรือฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น

- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้จ่ายเงินสะสมตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงินการเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงินและการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยจะต้องคำนึงถึงสถานะทางการคลัง เสถียรภาพทางการเงินการคลังในระยะยาว

ทั้งนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องสำรองเงินจำนวนหนึ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เงินที่ต้องสำรองจ่ายก่อนที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (ค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ/ผู้พิการ ฯลฯ) เงินสะสมที่มีภาระผูกพันแล้ว และสำรองจ่ายกรณีเกิดสาธารณภัย เป็นต้น หลังจากนั้นจึงจะนำเงินสะสมที่เหลือไปใช้จ่ายได้

- กำหนดกรอบประเภทโครงการที่จะดำเนินการได้แก่

1) สนับสนุนการดำเนินงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

2) การปรับปรุงหรือจัดให้มีแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร

3) ปรับปรุงหรือจัดให้มีแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค

4) ส่งเสริมการท่องเที่ยว

5) ส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศ

- โครงการที่จะดำเนินการจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนเหมาะสมกับเงินที่มีอยู่ และไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่หน่วยงานของรัฐอื่นได้ดำเนินการแล้ว

- กำหนดแนวทางการควบคุมค่าใช้จ่ายเงินสะสมให้เกิดความโปร่งใสทุกขั้นตอน

การที่พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำเรื่องนี้เสนอครม. นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์รายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เรื่องนี้มีการพูดคุยกันมานานแล้ว เหตุเพราะ อปท.นำเงินสะสมมาใช้ไม่ได้ ด้วยติดขัดระเบียบบางประการที่ล็อคเอาไว้ กระทรวงมหาดไทยเองซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา จึงมาสั่งปลดสิ่งที่ตัวเองก่อไว้

ปัจจุบันเงินสะสมของท้องถิ่นกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นเงินที่ได้รับจากรัฐบาลกลางตาม พ.ร.บ.การกระจายอำนาจ กว่า 10 ปี มีเงินสะสมอยู่กว่า 3 แสนล้านบาท ถูกนำไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ เพียงเพราะไม่มีความชัดเจน จึงทำให้ที่ผ่านมาท้องถิ่นหลายๆ แห่ง ไม่กล้าใช้เงิน

คาดกันว่า ผลจากการใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักเกณฑ์ ที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดขึ้นนี้ จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งจะทำให้ประชาชนในท้องถิ่น และชุมชนทั่วประเทศได้รับความสะดวกสบายจากสาธารณูปโภค สาธารณูปการ

นอกจากนั้นยังจะสามารถสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้คนในท้องถิ่นจากการท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจ